ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง

 
เมตตา
วันที่  9 ก.พ. 2567
หมายเลข  47375
อ่าน  349

สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๗

บุญสำเร็จจากการฟังธรรม ย่อมได้ปัญญา

[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 470

มีอธิบายอย่างไร มีอธิบายว่า แม้เชื่อธรรมนั้นแล้ว เข้าไปหาพระอาจารย์และอุปัชฌาย์ตามกาล เข้าไปนั่งใกล้ด้วยการทำวัตร ในกาลใด พระอาจารย์และอุปัชฌาย์มีจิตอันการเข้าไปนั่งใกล้ให้ยินดีแล้ว ประสงค์จะกล่าวคำไรๆ ในกาลนั้น ก็เงี่ยโสต ด้วยความเป็นผู้ใคร่จะฟังอันถึงแล้วฟังอยู่ย่อมได้ปัญญา ก็แม้ฟังอยู่ด้วยดีอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท ด้วยการไม่อยู่ปราศจากสติ และมีปัญญาเครื่องสอดส่อง ด้วยความเป็นผู้รู้สุภาษิตและทุภาษิตนั่นแล ย่อมได้ปัญญา บุคคลนอกนี้ ย่อมไม่ได้ปัญญา ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง เพราะบุคคลปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ด้วยศรัทธาอย่างนี้แล้ว ฟังอุบายอันเป็นเครื่องบรรลุปัญญา ด้วยการฟังด้วยดี คือ โดยเคารพ ไม่หลงลืมสิ่งถือเอาแล้ว ด้วยความไม่ประมาท และถือเอาสิ่งไม่หย่อน ไม่เกินและไม่ผิด ด้วยความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ย่อมกระทำให้กว้างขวางหรือ เงี่ยโสตลง ด้วยการฟังด้วยดี ย่อมฟังธรรมอันเป็นเหตุได้เฉพาะซึ่งปัญญา

ครั้นฟังด้วยความไม่ประมาทแล้วย่อมทรงธรรม ย่อมใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมทั้งหลายที่ทรงจำด้วยความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ในลำดับนั้น ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถ์ โดยลำดับ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกอาฬวกยักษ์ทูลถามว่า บุคคลย่อมได้ปัญญาอย่างไร


อ.อรรณพ: กราบท่านอาจารย์ครับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ฟังมาไม่แล้ว ฟังที่อุดรมาก็ดีมาก ไม่แล้ว แล้วไม่ได้เลยครับ เพราะว่าสัจจะที่ ๒ มากมายคอยเกิด สัจจะที่ ๔ จะได้เริ่มก็ไม่ได้เริ่มสักที บางคนก็ไปติดอย่างอื่น ก็ไม่ฟังแล้วไม่สนใจ มีโลภะ มีความสำคัญตนในหน้าที่การงานบ้าง หรือโลภะที่เกิดกับความเห็นผิดไปสำนักปฏิบัติก็เยอะเยะ แต่แม้ว่าคิดว่าจะฟัง ดูซิ ท่านอาจารย์กล่าวทีละคำว่า ฟังธรรมแล้วจะได้อะไร ฟังคืออะไร ธรรมคืออะไร และได้อะไร ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า จะได้ด้วยโลภะ คือจะได้เรื่องได้ราว ได้ความสำคัญตน อะไรต่ออะไร ลาภสักการะ แต่ได้ คือได้ความเข้าใจ ก็เลยระลึกถึงพระพุทธพจน์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา แต่เจ้าโลภะนี่ อริยสัจจ์ที่ ๒ ก็ให้ ๑. ไม่ฟัง ๒. ฟังแบบไม่ดีฟังแบบอยากได้ แต่ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา เพราะฉะนั้น ก็มาอีก ฟังด้วยดี ก็เป็นโอกาสอันประเสริฐที่สุดที่ได้ท่านอาจารย์กล่าวธรรมมายาวนาน พวกเราก็ฟังกันมาจะเอาเวลามาพูดมากน้อยก็คงไม่ใช่ประมาณ ประมาณ คือความเข้าใจ กว่าปัญญาที่จะค่อยๆ เกาะขึ้น ค่อยๆ งอกขึ้นมาสักนิดหนึ่ง โห้ ... ไม่ได้ล่ะ จะมีเจ้าเหมือนเวลาเราเพาะเมล็ดพันธ์อะไร พอเขาจะงอกขึ้นมาสักหน่อย หนูก็มากินไป กว่าปัญญาจะงอกขึ้นมาแล้วไม่ทันได้งอก เดี๋ยวโลภะก็ตัดช่องไปหมดเลย

ท่านอาจารย์กล่าวที่อุดรก็ดี หรือขณะนี้ก็ดีนะครับ ถ้าไม่มีผู้กล่าวอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะได้เริ่มอริยสัจจ์ ๔ เพราะไม่รู้จักโลภะตั้งแต่ต้นเลย ก็ไปหาทางอื่นไปทำอื่นอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว อันนั้นหาทางผิด แสวงหาทางที่ผิดที่จะไปทำละวาง ได้ยินคำว่า ละวาง ก็อยากจะละ ละอะไรก็ยังไม่รู้ ละวางอะไรก็ยังไม่รู้ แล้วละวางด้วยอะไรก็ยังไม่รู้ ท่านอาจารย์กล่าวที่อุดรเป็นประโยชน์มากเลยครับ ท่านอาจารย์ก็ประกาศ อริยสัจจะ ด้วยคำที่เราพอจะเข้าใจได้ด้วยภาษาเรา

ขอเชิญคณะอาจารย์ครับในเรื่อง ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระอริยทั้งหลายท่านได้ประจักษ์แล้วจึงเป็นอริยสัจจธรรม ไม่ใช่เปลี่ยนเป็น ความจริงของสิ่งที่มีจริง ก็มีอยู่ แต่เราไม่มีปัญญาอะไรจะรู้ เป็นโอกาสนะครับพระธรรมสำคัญที่สุด อริยสัจจ์ ๔

อ.ณภัทร: ความจริงเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเหตุว่ามีสภาพกำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏรวมกัน ดังนั้น กราบท่านอาจารย์ว่า ขณะนี้ก็มีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็มีการรู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็มีได้ยิน แล้วก็มีเสียง แล้วก็มีสภาพรู้ความหมายของเสียง สภาพธรรมก็เกิดดับสืบต่อกันเป็นปกติอย่างนี้ครับท่านอาจารย์ ดังนั้น การที่จะค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี่ครับ จะเป็นการเจริญขึ้นของปัญญาอย่างไรครับท่านอาจารย์ ที่จะค่อยๆ รู้ เพราะว่า ขณะนี้ก็มีเห็นสลับกับได้ยิน แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็ทางหู เป็นต้นครับ

ท่านอาจารย์: แต่ละหนึ่ง ทั้งหมดควรรู้ยิ่งไหม?

อ.ณภัทร: ควรรู้อย่างยิ่งครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจจะรู้ได้ไหม?

อ.ณภัทร: ไม่มีเหตุปัจจัยให้คิดถึงขณะนี้ได้เลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ได้ฟังมาบ้างแล้ว ได้รู้อะไรบ้างแล้ว?

อ.ณภัทร: ได้รู้ว่า ธรรมที่มีเป็นอย่างไร ที่เป็นรูปธรรมเป็นอย่างไร ที่เป็นนามธรรมคืออย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: ทีละหนึ่ง

อ.ณภัทร: ทีละหนึ่ง ก็รูป สีสันวรรณะที่ปรากฏทางตาครับ

ท่านอาจารย์: คืออย่างไร ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นเดี๋ยวนี้คืออย่างไร สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้คืออย่างไร แต่ละหนึ่ง จนกว่าจะรู้ทั่วในแต่ละหนึ่ง

อ.ณภัทร: ครับ จนกว่าจะรู้ทั่วแต่ละหนึ่ง

ท่านอาจารย์: รู้ทั่ว เห็นไหม คำว่า ทั่ว ก็ต้องแต่ละหนึ่งทั่ว ไม่เว้นเลย

อ.ณภัทร: ครับ รู้ทั่วนี่ก็ต้องไม่ใช่ครั้งเดียวแน่นอนครับท่านอาจารย์ ต้องรู้แล้วรู้อีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนมั่นคงว่าเป็นธรรมที่เป็นรูปอย่างนั้นใช่ไหมครับ

ท่านอาจารย์: ที่เป็นความจริง

อ.ณภัทร: ที่เป็นความจริงครับ ค่อยๆ เข้าใจในแต่ละหนึ่งครับท่านอาจารย์ เป็นความรวดเร็ว มีความละเอียดอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: เข้าใจอะไร เดี๋ยวนี้?

อ.ณภัทร: เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คือเสียงของท่านอาจารย์ที่กำลังปรากฏขณะนี้ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าเป็นความเข้าใจเสียง จะมีเสียงของใครไหม?

อ.ณภัทร: ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เสียงมีจริงใช่ไหม?

อ.ณภัทร: เสียงมีจริงครับ

ท่านอาจารย์: เสียงเกิดหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: เสียงเกิดครับ

ท่านอาจารย์: แล้วเสียงดับหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: เสียงก็ดับครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เสียงเป็นอย่างอื่นได้ไหม?

อ.ณภัทร: เสียงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ได้ยินเป็นอย่างหนึ่ง เสียงเป็นอย่างหนึ่ง เข้าใจเป็นอย่างหนึ่ง แต่ละหนึ่งละเอียดมากที่จะต้องค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ จนสามารถที่จะเข้าใจความจริงทางหนึ่งทางใดที่กำลังปรากฏ

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

ไม่ฟังด้วยดี มีอันตราย

ฟังด้วยดีคืออย่างไร

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

ฟังด้วยดี ฟังอย่างไร

ฟังด้วยดีคืออย่างไร

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.พ. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nui_sudto55
วันที่ 12 ก.พ. 2567

สาธุครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ