เป็นเราด้วยตัณหา มานะและทิฏฐิ
เป็นเราด้วยตัณหา มานะ และ ทิฏฐิ (ความเห็นผิด)
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ ๓๐๙
ในบทว่า รูปํ เอตํ มม เป็นต้น การถือว่า นั่นของเรา เป็นตัณหาคาหะ (ยึดถือด้วยตัณหา) การถือว่าเรา เป็นนั่น เป็นมานคาหะ (ยึดถือด้วยมานะ) การถือว่า นั่นเป็นตัวของเราเป็นทิฏฐิคาหะ (ยึดถือด้วยความเห็นผิด) เป็นอันตรัส ตัณหา มานะ และทิฏฐิ ซึ่งมีรูปเป็นอารมณ์ ด้วยประการฉะนี้
ความเป็นไปของปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสนั้น ย่อมยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นเราด้วยอำนาจตัณหา คือ โลภะ ความติดข้องยินดีพอใจ บ้าง ด้วย มานะความถือตัวบ้าง และ ด้วยมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดบ้าง เพราะยังไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เข้าใจธรรมะเมื่อไหร่ จึงรู้จักว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ เปลี่ยนไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำทำให้ความมืดเพราะไม่รู้ ค่อยๆ มีแสงสว่างเกิดขึ้น นำไปสู่ปัญญาที่เข้าใจธรรมะถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
เพราะมีการทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกจึงมีโอกาสได้ฟังและมีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง
อ่านเพิ่มเติม ...
Photo cr. Napa Chantarangsu
🍂คำทุกคำของพระพุทธเจ้าเป็นคำของปัญญา ทำให้เข้าใจถูกเห็นถูก คำที่ไม่ทำให้เข้าใจถูก คำนั้นไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า
🍀อย่าเพิ่งเบื่อธรรม ต้องฟังแล้วฟังอีก ไม่เบื่อว่าอะไรจะปรากฏ ถ้าเข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม จะไม่เดือดร้อนเลย รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ถ้าไม่มี จะไปรู้ทำไม รู้ได้อย่างไร ไม่มีประโยชน์!!!
🍂แล้วสาระอยู่ที่ไหน? เพียงธรรมที่เกิดแล้วดับ เห็นแล้วก็ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย
🍀 ต้องฟังธรรมด้วยความเคารพ ให้เข้าใจแต่ละคำอย่างถูกต้อง รอบรู้ ไม่เปลี่ยน จนเป็นปัญญาของตนเอง
🍂 ไม่รู้อะไร แล้วไปปฏิบัติอะไร แล้วจะรู้อะไร??? ก็ไม่รู้อะไรเพราะไม่รู้จึงปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็ไม่รู้ต่อไป
🍀กรรมเป็นอจินไตย เห็นเป็นผลของกรรม แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็นผลของกรรมใด มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ได้ว่าวิบากนี้เป็นผลของกรรมใด ผู้รู้เรื่องของกรรมโดยละเอียดยิ่ง คือ พระพุทธเจ้า
สนทนาธรรมวันมาฆบูชา
บ่าย ๒๒ ก.พ. ๕๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปุถุชนและพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกันแสนไกล จะรู้จักพระองค์และมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษา และเข้าใจธรรมทั้งหมดถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าธรรมทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย และดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับให้เกิดขึ้นเป็นไป หรือไม่ให้เกิดได้
อนุโมทนาในคุณความดีและกราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโมทนาเจ้าภาพดอกไม้และผู้จัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ