ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๓
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ไม่มีเรา มีแต่ธรรมประเภทนั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้น ธรรมฝ่ายดี ก็ให้ประโยชน์ ไม่นำโทษมาให้ ธรรมฝ่ายไม่ดี ก็นำแต่โทษมาให้ คำนึงถึงข้อนี้หรือเปล่าว่า ผลที่จะเกิดขึ้นข้างหน้ารออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดได้ ทำเลย นี่เป็นความหวังดีจริงๆ เวลาไม่รอท่าเลย การจากโลกนี้ไปพร้อมเสมอที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ก็ทิ้งสิ่งที่ผิด เป็นคนที่ตรงแล้วก็เริ่มเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส
~ ธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นเลย ไม่มีเรา เพราะเหตุว่า จะเป็นเราได้อย่างไร เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ เราไม่ได้ไปทำให้เห็นเกิดขึ้น แล้วเห็นก็ดับ ไม่ให้ดับก็ไม่ได้ พอได้ยินเกิด จะไม่ให้ได้ยินก็ไม่ได้ ก็แสดงว่า แสดงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตาทั้งหมด
~ ถ้าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ให้ทราบว่าขณะนั้นอกุศลธรรมครอบงำจิต แล้วทำอย่างไร จึงจะสลัด จึงจะละ จึงจะขัดเกลาอกุศลธรรมที่กำลังครอบงำอยู่ได้ มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ เจริญกุศลทุกประการ ถ้าขณะนั้น ไม่ใช่โอกาสของทาน แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องสงเคราะห์ช่วยเหลือ ก็ช่วยเหลือทันที สงเคราะห์ทันที ขณะนั้นเป็นกุศลจิต มิฉะนั้นแล้ว อกุศลธรรมครอบงำได้ เพราะเหตุว่าปัจจัยของอกุศล ย่อมมีอยู่พร้อมเสมอที่จะเกิดขึ้น เมื่อไหร่ก็ได้
~ ผู้ที่เห็นกิเลสของตนเอง และทราบว่า ถ้ากุศลจิตไม่เกิด ย่อมเป็นปัจจัยให้อกุศลจิตเกิด เพียงเท่านี้ ถ้าเห็นจริงๆ ผู้นั้นก็จะขยันที่จะทำความดีทุกโอกาส เพราะว่า การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด) นี้ ยังอีกแสนไกล ถ้าไม่หมั่นอบรมสะสมเจริญความดีให้ยิ่งขึ้น อกุศลก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นๆ ยากแก่การที่จะดับ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นกิเลสของตนเองว่ามีมาก ก็ย่อมจะเจริญกุศลทุกประการ
~ เวลาที่เห็นใครทำกุศล เขาทำกุศล เป็นคุณความดี เรารู้คุณคือความดีของผู้ที่ทำกุศลไหม? เห็นกุศลของคนอื่น ก็คือว่ารู้คุณของความดีที่คนอื่นทำที่เป็นกุศลของเขา เพียงแค่อนุโมทนา จิตของเราไม่เศร้าหมองเลย ไม่ริษยา ไม่โกรธ สามารถที่จะมีการรู้คุณของความดี จิตผ่องใส เพราะขณะนั้นเบิกบานในกุศลแม้ของคนอื่น เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกุศลของตนเองที่ทำจะยิ่งกว่านั้นจะสักแค่ไหน
~ ความชั่วมีมากมาย เกินที่จะประมาณได้ ที่ไม่เคยรู้ความจริงและประพฤติชั่ว เพราะฉะนั้น เมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเห็นคุณอย่างยิ่งที่คำของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้สามารถละชั่วได้ เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรม เข้าใจพระธรรม เพื่อละชั่วหรือเปล่า ถ้าไม่ละชั่ว ก็เพิ่มความชั่วขึ้นอีกมากมายด้วย
~ วันสำคัญในสังสารวัฏฏ์ คือ วันที่มีโอกาสได้ฟังคำที่ทำให้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีซึ่งก่อนนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของทุกวันทั้งวันแต่ละหนึ่งขณะได้ แต่นี่ไม่ว่าจะวันไหน เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง ก็รู้ว่าวันที่ประเสริฐที่สุดคือวันเริ่มที่จะได้มีความเห็นที่ถูกต้องในความจริง
~ กิเลสทั้งหลาย อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ ใครก็เอาออกไม่ได้ ความไม่รู้และกิเลสทั้งหมดที่สะสมมา ดี ชั่ว อยู่ที่ใจ แต่สิ่งที่ควรพลัดพรากจากไป ก็คือ อกุศลและความไม่รู้ ใครเอาออกไปได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญา
~ ต้องเป็นกุศลทั้งหมด จึงจะเป็นธรรมที่เป็นที่พึ่งได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ท้อถอยในการที่จะให้กุศลเกิดขึ้นแทนอกุศล อกุศลไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดได้บ่อยๆ เกิดเรื่อยๆ เกิดขึ้นขัดขวางการกระทำกุศลหลายประการ เพราะฉะนั้น เวลาที่จะกระทำกุศลแต่ละครั้ง จะเห็นได้ว่าจะต้องมีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในธรรมที่เป็นกุศล
~ เรื่องของความตายซึ่งจะมาถึงเมื่อไหร่ ก็ย่อมเป็นอนุสสติที่จะเตือนให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการทำความดี
~ เป็นคนนี้ชาตินี้ คนนี้ชาตินี้เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง? ถ้าไม่ฟังธรรมเลย จะรู้ไหมว่าเป็นอย่างไรบ้าง? เขาโกรธ เขาว่าเรา เราไม่พอใจ ไหน ... ความไม่ดีอยู่ไหน? อยู่ที่เขาหรือ? กว่าจะรู้ว่าอยู่ที่เรา แล้วสะสมทำไม โกรธเขาทำไม เพราะฉะนั้น ปัญญาเท่านั้นที่จะไม่เป็นไปตามสิ่งที่ชาวโลกไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะละ แต่จะละจริงๆ ก็ต่อเมื่อเห็นถูกต้องว่าไม่มีเรา
~ มีความเข้าใจธรรมขณะใด ขณะนั้นกายงาม วาจางามด้วย แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นอกุศล กาย วาจาก็ไม่งาม การกระทำทางกายก็อาจจะกระทบกระเทือนคนอื่น วาจาก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับปัญญาความเข้าใจ ต้องเข้าใจด้วยว่าปัญญาทำให้ทุกอย่างที่เป็นอกุศลค่อยๆ ลดลง นั่นคือประโยชน์ของการฟังพระธรรมจริงๆ
~ จะเป็นบุคคลนี้เพียงชั่วขณะที่ยังอยู่ในโลกนี้ จากไปก็ไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าเคยเห็นอะไร? เคยชอบอะไร? เคยชังอะไร? เคยดีชั่วอย่างไร? เพราะฉะนั้น การได้ฟังพระธรรม ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้สามารถตั้งตนไว้ชอบ คือ เป็นผู้ตรง สำคัญที่สุดคือเป็นผู้ตรง กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ถ้ามีปัญญาอย่างนี้ เห็นโทษของอกุศล ก็จะทำให้ตั้งมั่นในกุศลเพิ่มขึ้น
~ ขณะที่อกุศลจิตเกิด ไม่ใช่ขณะที่ปัญญาเกิด เพราะฉะนั้น ก็ไม่ถือเอาสิ่งที่ควรถือเอา หรือไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ว่ามีความประพฤติเหมือนดังเข้าไปในเรือนที่มืดตื้อ ทำอะไรก็ไม่ถูก และทำสิ่งที่ผิดๆ ด้วย เพราะไม่มีปัญญาที่จะส่องให้เห็นว่า สิ่งนั้นไม่ควรกระทำ แต่ว่าทำไปแล้วด้วยอวิชชา
~ กิเลสมีมาก ไม่ใช่เพียงแค่ในชาตินี้ ชาติที่ผ่านๆ มาสะสมมามากเท่าไหร่แล้ว และยังจะมากต่อไปอีก ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว
~ บุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและก็ช่วยเหลือคนอื่น
~ คนอื่นทำให้เราโกรธไม่ได้ เราสะสมความโกรธเอง เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินเสียงที่ไม่ดี ประสบกับทุกอย่างที่ไม่ดีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็โกรธ เพราะไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่มีประโยชน์เลยที่จะโกรธ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๒
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...