Thai-Hindi 23 March 24
Thai-Hindi 23 March 24
- (คราวที่แล้วพูดถึงปัจจัย พูดถึงรูปที่มีสมุฏฐาน ๔ แต่ละรูปต้องเกิดจากสมุฏฐาน ๑ คุณอาช่าอยากจะสนทนาเรื่องนั้นต่อ) เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจความจริง) เมื่อไหร่ (ในปัจจุบัน)
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเราในสิ่งที่กำลังมี มากหรือน้อย (น้อยมาก) ถ้าเราพูดถึงสิ่งอื่นที่ไม่มีเดี๋ยวนี้จะสามารถให้เราสนใจเข้าใจความจริงว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราได้ไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปเรียน “ชื่อปัจจัย“ เรียน “เรื่องปัจจัย” แล้วก็ลืมว่า เดี๋ยวนี้แม้มีปัจจัยก็ยังไม่รู้
- เพราะฉะนั้นที่เราจะไปเรียนปัจจัยโดยละเอียดทุกปัจจัยแต่เวลาที่กำลังมีสภาพธรรมปรากฏ เราจะต้องคิดถึงปัจจัยไหม หรือสามารถที่จะรู้สิ่งนั้นตามความเป็นจริงที่เราได้เรียนจนกระทั่งสามารถเข้าใจได้
- รับรองได้ว่า ขณะที่สภาพธรรมปรากฏไม่ได้คิดถึงปัจจัยแต่เพราะได้เข้าใจปัจจัยไม่ลืมแต่ไม่ได้คิดเป็นคำ แต่สามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจากการที่เข้าใจปัจจัยได้ เพราะฉะนั้นไม่ลืมประโยชน์ยิ่งใหญ่คือสามารถเข้าถึงความเป็นธรรมของสิ่งที่กำลังปรากฏโดยขณะนั้นไม่เป็นการที่จะคิดถึงชื่อเลยแต่สามารถที่จะรู้ความเป็นปัจจัยของสิ่งนั้นได้
- เดี๋ยวนี้มีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดแน่นอน เข้าใจความจริงอย่างนี้ก็ยังละการยึดถือเห็นไม่ได้ การที่จะเข้าใจ “ความจริงของเห็น” ต้องเริ่มทีละน้อยมากเพราะไม่เข้าใจความจริงของเห็นมาก่อน
- เริ่มเข้าใจเห็นเกิดขึ้นแล้วเพราะมีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้และเป็นผู้ที่มั่นคงอย่างนี้ก็จะรู้ได้ว่า ไม่ใช่เฉพาะเห็นเท่านั้นทุกอย่างที่เกิดจะต้องมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นทั้งหมด เกิดเองไม่ได้เลย
- ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงว่า สิ่งที่เกิดไม่ว่าอะไรทั้งหมดต้องมีปัจจัยก็จะทำให้ไม่ลืมที่จะรู้ว่า “ไม่มีเรา” แต่มีสิ่งที่เกิดเพราะปัจจัยแล้วก็ดับเท่านั้น ฟังอย่างนี้ร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่สามารถที่จะละความเป็นเราออกได้ แต่ฟังอย่างนี้เพียงครั้งเดียวแต่มีความเข้าใจมั่นคงจะค่อยๆ รู้ว่า ไม่ว่าอะไรต่อๆ ไปก็เป็นสิ่งที่มีชั่วคราวที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยเท่านั้น
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของทุกอย่างที่มีจริงถึง ๔๕ พรรษา ไม่ใช่ทรงแสดงให้เข้าใจแล้วจำ ๒๔ ปัจจัยใหญ่ๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและค่อยๆ เข้าใจปัจจัยที่ทำให้แต่ละอย่างเกิดขึ้นไม่ใช่รีบร้อนไปจำชื่อจำเรื่องทั้งหมด
- การเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรมทั้งหมด จิตแต่ละขณะเกิดตามใจชอบไม่ได้ต้องเป็นไปเพราะปัจจัยที่ทำให้แต่ละ ๑ เกิดขึ้น
- เดี๋ยวนี้กำลังเห็นมากมายหลายขณะแต่ต้องรู้ว่า ถ้าไม่มีปัจจัยทำให้เห็นเกิดขึ้นแต่ละขณะ เห็นก็เกิดไม่ได้เลยสักขณะเดียว แต่ต้องรู้ความจริงก่อนว่า เห็นคืออะไร ไม่สงสัยเลยว่า เห็นกำลังเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทุกอย่างที่เกิดต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดเห็น ต้องมีปัจจัยที่ทำให้สิ่งที่ถูกเห็นเกิดขึ้นถูกเห็น
- ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมแม้ขณะ ๑ ก็ไม่สามารถที่จะละความเป็นเราและความไม่รู้ได้ เพราะฉะนั้นเพียงเห็น ๑ ขณะต้องเข้าใจและเข้าใจเห็นขณะอื่นและสภาพธรรมอื่นๆ ด้วยทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมหมายความว่า กำลังศึกษาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏว่ามี มิฉะนั้นแล้วจะไม่รู้จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมว่าฟังเพื่ออะไร
- ไม่ลืมว่า ไม่รู้ความจริงของทุกอย่างแม้แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นจึงต้องฟังความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อค่อยๆ เข้าใจความจริงของเห็นและสิ่งที่ถูกเห็นเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังเห็น ฟังเพื่อเข้าใจความจริงที่จะรู้ว่า เห็นจริงๆ คืออะไรและสิ่งที่ถูกเห็นคืออะไร
- คุณอาคิ่ลกับคุณอาช่ากำลังเห็น รู้จักเห็นหรือยัง เราไม่ต้องพูดอะไรยาวเพื่อจะคิดเรื่องอื่นแต่สั้นๆ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น มีเห็นแน่นอนและมีสิ่งที่ถูกเห็นด้วย รู้จักเห็นเดี๋ยวนี้เราพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เพื่อจะค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คุณอาคิ่ล คุณอาช่ารู้จักเห็นหรือยัง ตอบเลย (ไม่รู้จัก) ทั้งๆ ที่กำลังเห็นใช่ไหม (ทั้งๆ ที่เห็นก็ยังไม่รู้)
- เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังทุกคำที่เกี่ยวกับเรื่องเห็นให้เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าเห็นลึกซึ้งมาก ถ้าไม่ได้ฟังตลอดชาติกี่ชาติที่เห็นก็ไม่รู้ความจริงว่าเห็นคืออะไร
- เห็นมีจริงไหม (มีจริง) อาจจะเบื่อที่ถามคำนี้บ่อยๆ “เห็นมีจริงไหม?” ไม่ใช่เป็นเพียงคำถามแต่ให้รู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้มีจริงจะได้ไม่ลืมว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังเห็น
- เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเห็นอะไร (เห็นเห็นสิ่งที่เห็นอยู่) ถามว่า เห็นเกิดขึ้นเห็นอะไร (เห็นสิ่งที่เห็นเห็นอยู่) ถูกต้อง ทีละน้อยๆ เพื่ออะไร เพื่อเตือนให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังเห็นไม่ต้องไปสนใจอื่น กว่าจะเข้าใจเห็นได้ก็ต้องพูดถึงเห็นอีกนานมากกว่าจะค่อยๆ เริ่มสนใจและค่อยๆ เข้าใจเห็นแต่ถ้าไม่พูดถึงเลยไม่มีทางมีแต่ชื่อทั้งหมด
- อย่าลืม เห็นมีอยู่ทุกโลกแต่ไม่รู้จักเห็นเลยไม่ว่าจะอยู่โลกไหน จนกว่าจะค่อยๆ ฟังและกำลังเห็นเท่านั้นจึงจะค่อยๆ เริ่มรู้จักเห็นได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้มีคำตอบว่า เห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นเห็นหมายความว่าเป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทุกคนตอบได้ว่าจริงแต่รู้จักสภาพที่เห็นไหมว่าเป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นต้องเห็นเท่านั้น
- คนที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสเรื่องเห็นกับเขาเพราะทรงรู้ว่า เขายังไม่รู้ว่าเห็นจริงๆ ชั่วขณะที่แสนสั้นเกิดขึ้นรู้คือเห็นแล้วก็ดับ เมื่อวานนี้ที่เห็นมากมายทั้งวันใช่ไหมแล้วรู้จักเห็นไหม (ไม่รู้จัก) เพราะฉะนั้นก็เห็นอีกเหมือนเมื่อวานนี้อีกขึ้นอยู่กับว่าจะเริ่มเข้าใจเห็นบ้างไหม
- ถ้าเราไม่พูดถึงเห็นวันนี้มีโอกาสที่จะไม่ลืมเห็นที่กำลังเห็นและเริ่มค่อยๆ คิดถึงและเข้าใจเห็นได้ไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นไม่พูดถึงเห็นดีไหม (ควรฟังต่อควรคุยเรื่องเห็นต่อ) ต้องไม่ลืมจนกว่าจะรู้จักเห็นตามความเป็นจริง
- นี่คือการศึกษาธรรมใช่ไหม ศึกษาตัวธรรมไม่ใช่เรื่องและชื่อของธรรม นี่เป็นการเข้าใจอริยสัจธรรมที่ ๔ ใช่ไหม ถ้าไม่รู้อย่างนี้ทุกคนจะไม่พูดถึงหนทางที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเลยเพราะคิดว่านั่นไม่ใช่หนทางที่จะเริ่มเข้าใจจนกระทั่งประจักษ์แจ้งอริยสัจทั้ง ๔
- เพราะฉะนั้นหนทางที่จะรู้ความจริงของเห็นลึกซึ้งใช่ไหม (ใช่) เพราะต้องเป็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่เข้าใจอย่างอื่น เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นไหมว่า หนทางลึกซึ้ง ธรรมลึกซึ้ง จะฟังเรื่องเห็นต่อไปดีไหม (จะฟังต่อ)
- เห็นเกิดขึ้นเองได้ไหม (ไม่ได้) อะไรเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น (คำตอบของคุณอาช่าทีแรกพูดถึงสีแต่ก็ตอบปัจจัยต่างๆ เช่น อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัยและปัจจัยอื่นๆ) ถามเขาว่า ดิฉันถามอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เลยเราต้องการให้เขาคิดเอง เราไม่บอกเขา เขาลืมไปเขาได้แต่นึกถึงชื่อแล้วก็ตอบแต่หนทางคือ คำถามของเราจะเป็นปัจจัยให้ไม่ลืมและคิดและตอบตรงคำถามที่ลึกลงไปทุกขณะ คำตอบต้องตรงคำถาม เราให้เขาคิด เราไม่ได้บอกเขา ถ้าบอกเราบอกไปเยอะแยะแล้วแต่เขาก็จะไม่ได้คิดและได้แต่จำและได้แต่พูดตาม แต่เดี๋ยวนี้กำลังเห็นให้เขาได้คิดถึงว่า ขณะนี้เห็นเกิดขึ้นต้องมีปัจจัยและปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้นคืออะไร ให้เขาเริ่มคิดเริ่มไตร่ตรองไม่ใช่บอกไปหมดให้เขาได้เริ่มคิด
- ถามว่าเห็นเดี๋ยวนี้ที่จะเกิดขึ้นได้อาศัยอะไรจึงจะเกิดขึ้นได้ไม่ได้ไปถามชื่ออะไรเลย (เพราะมีสี เพราะมีสิ่งที่เห็น) ทำไมสีเป็นปัจจัยให้เกิดเห็น (ถ้ามีเห็นก็ต้องมีอารมณ์) เพราะฉะนั้นยังไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเลย ยังเหมือนเดิมและมีแต่ชื่อต่างๆ (อาจเป็นเพราะไม่เข้าใจคำถาม ตอนนี้ตอบว่า ถ้าไม่มีสีกระทบตาก็ไม่มีเห็น)
- ถามว่าเพราะอะไรสีจึงเป็นปัจจัยให้เห็นเกิด (ไม่ทราบ) ต้องตรงเพราะเหตุว่าคุณสุขินใจดีช่วยแนะให้เขาคิดแต่ไม่เหมือนกับที่เขาคิดเองที่เขารู้ว่าเขาไม่รู้ใช่ไหมเพราะว่าธรรมลึกซึ้ง เพียงเรื่องเดียวคำเดียวสามารถที่จะลงไปถึงความลึกซึ้งให้เห็นความลึกซึ้งจนกระทั่งเป็นเหตุให้ไม่ให้ติดข้องหรือหวังว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงโดยที่ไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งเลยเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นลองถามให้เขาคิดเองถ้าเขาตอบว่าไม่ได้ จะได้ต่อไปได้
- ถามว่าทำไมสีจึงเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น (ถามไปแล้ว) อีกครั้งหนึ่งเผื่อเขาจะคิดออก (ขอท่านอาจารย์ถามใหม่) ถามสั้นๆ เลยและไม่ต้องช่วยเขาให้เขาคิดเองดูสิว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร ถามว่าทำไมสีเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดได้ ปล่อยให้เขาคิดเองดูสิ เขาจะคิดออกไหมหรือจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ไหม
- (พิจารณาดูแล้วเพราะว่า เห็นที่เป็นผลของกรรมเห็นได้เฉพาะสีที่เป็นอารมณ์ของเห็นเป็นสิ่งที่เห็นเห็นได้) ไม่ใช่คำตอบเลย ไม่ใช่ไปให้เขาคิดอะไรมากมายแต่ให้คิดให้ตรงคำถาม ถามสั้นตอบสั้นแสดงว่าคิดตรงไม่ใช่ไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เป็นการตอบคำถาม เพราะฉะนั้นถามอีกครั้งหนึ่งให้คิดให้ตรงเฉพาะตรงนี้สั้นๆ
- ทำไมสีสันวัณณะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิด (เพราะว่าสีกระทบตา) แล้วทำไมสีเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิด ถามสั้นๆ ตรงๆ ว่าทำไมสีเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดแค่นี้เอง (ที่ตอบมาแล้วตอบอย่างเดิมว่าเห็นก็ต้องเห็นแต่สี) ทุกคนรู้อย่างนั้นใช่ไหม (ทุกคนตอบได้)
- เพราะฉะนั้นถ้าคิดให้ละเอียดก็จะเห็นความไม่ใช่เราและเป็นสภาพธรรมที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะรู้ง่ายๆ ว่า จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสีและสีทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น แต่ความจริงสิ่งที่เราเรียกว่าสีนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวจากทั้งหมดในสภาพธรรมทั้งโลกไม่ว่าที่ไหนทั้งหมดเป็นสิ่งเดียวที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้
- เห็นความอัศจรรย์เห็นความลึกซึ้งไหม สภาพธรรมมีมากมายหลายอย่างทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นกลิ่น เป็นรส เป็นแข็ง เป็นความคิด เป็นความจำทั้งหมดที่มีไม่สามารถกระทบกับจักขุปสาทรูปได้นอกจากสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถกระทบจักขุปสาท เพียงกระทบแต่ไม่ได้รู้อะไรเลยแต่เป็นรูปที่กระทบกันได้ จักขุปสาทกับสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นปัจจัยที่อาศัยทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ และมีปัจจัยหลายปัจจัยที่เราจะค่อยๆ รู้ว่า ที่เราเรียนมาทั้งหมดอะไรเป็นปัจจัยชั่ว ๑ ขณะจิตที่เกิด น่าอัศจรรย์ในความไม่มีเราและไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงธรรมได้
- นี้เป็นความน่าอัศจรรย์เพียงเห็นชั่ว ๑ ขณะยังเกิดเองไม่ได้ ต้องมีปัจจัยคือ ต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้ เห็นจึงเกิดขึ้นเห็นเพียง ๑ ขณะแล้วดับ เพราะฉะนั้นเห็นจะเกิดเองไม่ได้เลย ต้องมีปัจจัยหลายปัจจัย เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระทบตาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น
- ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นเกิดขึ้นแม้เห็น ๑ ขณะก็เกิดไม่ได้ เห็นเกิดดับทั้งวันทุกวันตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นความไม่รู้เหมือนความมืดสนิทของคนตาบอดที่ไม่สามารถจะเข้าใจแม้ ๑ ขณะจิตที่เห็นก็เกิดเองไม่ได้แต่มีปัจจัยทำให้เกิดต้องเกิด
- จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่กำลังปรากฏกระทบตา เห็นจึงเกิดขึ้นเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาเท่านั้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระทบตาเป็นสิ่งที่ถูกจิตเห็นจึงใช้คำว่า “อารมฺมณ” หรือ “อารมณ์” ในภาษาไทย จิตเห็นเห็นสิ่งที่ปรากฏสิ่งที่ปรากฏเป็นอารมณ์เป็นสิ่งที่จิตเห็นเกิดขึ้นรู้
- ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกรู้จิตก็เกิดไม่ได้เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นจึงใช้คำว่า “อารัมมณปัจจัย” เป็นปัจจัยโดยเป็นสิ่งที่จิตรู้ในขณะนั้น
- จิตมีมากมายเพราะฉะนั้นเราก็เริ่มเข้าใจจิตที่มีในชีวิตประจำวันก่อน จิตทุกประเภทเกิดขึ้นต้องรู้ สิ่งที่ถูกรู้เป็นปัจจัยหนึ่งชื่อว่าเป็นอารัมมณปัจจัย เลือกให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ได้ไหม จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นี้ไม่ให้จิตรู้อารมณ์นี้ได้ไหม ให้รู้อารมณ์อื่น มีใครเลือกให้จิตรู้อารมณ์นั้นอารมณ์นี้ได้บ้าง เริ่มเข้าใจธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
- กว่าจะละความเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ต้องเป็นความรู้ที่ละเอียดลึกซึ้งและรู้ชัดจึงสามารถที่จะรู้จริงและละความไม่รู้ได้ มีแต่อารมณ์ปัจจัยไม่มีธาตุรู้ ไม่มีจิตได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นไม่มีอารัมมณะไม่มีจิตได้ไหม เป็นเหตุที่อารัมมณะเป็นปัจจัยหนึ่งเรียกว่าหรือชื่อว่า อารมัมณปัจจัยเพราะอารัมมณะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้จิตเกิด
- อารัมมณปัจจัยเป็นปัจจัยให้ฝนตกได้ไหม (ไม่ได้) ถูกต้อง ต้องไม่ลืมความหมายของอารัมมณะเป็นสิ่งที่จิตรู้จึงเป็นปัจจัย ๑ โดยเป็นอารัมมณะเท่านั้นสำหรับจิต สิ่งที่ไม่ใช่จิตจะมีอารัมมณปัจจัยให้เกิดไม่ได้
- มีอะไรบ้างไหมที่ไม่เป็นอารัมมณปัจจัย มีอะไรบ้างไหมที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย (รูปอื่นที่จิตไม่รู้ตอนนั้น รูปอื่นไม่เป็นอารัมมณปัจจัย) เพราะฉะนั้นต้องละเอียดมากเพราะเหตุว่าถามถึงปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัยด้วยว่า นอกจากอารัมมณปัจจัยแล้ว รูปเป็นปัจจัยได้ไหม (นอกจากอารัมมณปัจจัยยังมีอีกหลายปัจจัย) เพราะฉะนั้นคำถามอย่างนี้จะตอบว่าอย่างไร
- (ขอคำถามอีกครั้ง) นอกจากรูปเป็นอารัมมณปัจจัยเป็นปัจจัยอื่นได้ไหม (ท่านอาจารย์ถามว่ารูปในขณะที่เป็นอารัมมณปัจจัยเป็นปัจจัยอื่นได้ไหมใช่ไหม) รูปที่ไม่เป็นอารัมมณปัจจัยของจิตเป็นปัจจัยอื่นได้ไหม (นอกจากรูปที่เป็นอารมณ์ของจิตก็มีรูปอื่นที่เกิดและดับเป็นเหตุปัจจัยต่างๆ)
- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม มั่นคงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดจะเกิดเองไม่ได้เลยไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจิตเจตสิกหรือรูปอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดไม่ว่าจะเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปก็ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าสนใจไปจำชื่อเรียนชื่อแต่ไม่รู้ความจริงว่า ขณะนี้ที่จะเกิดเพียง ๑ ขณะยังเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิด
- เพราะฉะนั้นการที่จะไม่มีเรา เข้าใจสิ่งที่มีว่าไม่ใช่เราได้ต้องอาศัยการเข้าใจที่ละเอียดขึ้น มั่นคงขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่จำเรื่องปัจจัยแล้วคิดว่าขณะนั้นละความเป็นเรา เพราะฉะนั้นเราพูดเรื่อง “อารัมมณปัจจัย” ก็ต้องรู้ว่าหมายความว่าต้องมีธาตุรู้สิ่งที่ถูกรู้จึงเป็นอารัมมณปัจจัยได้
- ไม่มีจิตมีรูปได้ไหม (ถ้าไม่มีจิตรู้รูปอะไรแต่ก็มีรูปที่จิตไม่รู้ที่มีจริงก็มีอยู่) เพราะฉะนั้นถามว่า ไม่มีจิตมีรูปได้ไหม (มีได้) ไม่มีจิตไม่มีอารมณ์ได้ไหม (ไม่มีจิตไม่มีอารมณ์) ไม่มีจิตไม่มีอารมณ์แล้วมีรูปได้ไหม (ได้) ถูกต้อง นี้คือความต่างกันของธาตุรู้จิตเจตสิกกับรูปซึ่งไม่รู้อารมณ์ เรื่องรูปไม่มีข้อสงสัยแล้ว
- เรื่องอารัมมณะไม่มีข้อสงสัยแล้วนะคะต่อไปนี้เราจะพูดเพื่อเข้าใจจิตเพิ่มขึ้นเฉพาะจิตไม่พูดถึงอารมณ์เลย ถ้าไม่มีปัจจัยจิตจะเกิดได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นนอกจากอารมณ์เราไม่พูดถึงแล้ว เราพูดถึงเฉพาะจิตนั้นอะไรเป็นปัจจัยให้จิตเกิด (เจตสิกที่เกิดพร้อมจิต ถ้าไม่มีเจตสิกจิตเกิดไม่ได้) เจตสิกเกิดพร้อมจิต จิตเกิดพร้อมเจตสิก อาศัยกันและกันหรือเปล่า (สหชาตปัจจัยและสัมปยุตตปัจจัย)
- อาศัยกันและกันเป็นปัจจัยอะไร (ตรงนี้หมายถึงสหชาตปัจจัย) สหชาตปัจจัยคืออะไร (เกิดพร้อมกัน) เพราะฉะนั้นถามว่า จิตอาศัยเจตสิก เจตสิกอาศัยจิตหรือเปล่า (เข้าใจความหมายแต่จำชื่อไม่ได้ ไม่ใช่สหชาตปัจจัยต้องเป็นปัจจยัอื่นแต่จำชื่อไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ ไม่ใช่จำชื่อแต่ความที่จิตต้องอาศัยเจตสิกและเจตสิกต้องอาศัยจิตเกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัย สามารถที่จะเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นแยกไม่ออกเพราะรู้สิ่งเดียวกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกันด้วยก็เป็นสัมปยุตตปัจจัย แต่การที่ต่างอาศัยซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยอีก ๑ ซึ่งต่างจาก ๒ ปัจจัยนั้นคือ “อัญญมัญญปัจจัย”
- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราทบทวนจิตเกิดขึ้นมีปัจจัยอะไรบ้าง (อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย สัมปยุตตปัจจัยและอัญญมัญญปัจจัย) เห็นไหมเพียงชั่ว ๑ ขณะจิตถ้าขาดปัจจัยเหล่านี้จิตเกิดไม่ได้เลยที่จะเห็น เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตาชัดเจนว่าไม่มีใครเลยแต่มีธรรมคือ จิต เจตสิก รูปซึ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดต้องเกิดเมื่อมีปัจจัยเฉพาะที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระทบตาได้เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเห็นเกิดไม่เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิด
- เริ่มเห็นปัจจัยซึ่งทำให้มีสภาพธรรมที่เกิดได้ปรากฏอยู่แล้วก็ดับไปอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ เริ่มรู้ว่าธรรมลึกซึ้งแค่ไหนใช่ไหม เกิดดับๆ ก็ไม่รู้ ทำให้รู้ว่า ทุกขณะที่แสนสั้นเกิดยังต้องอาศัยปัจจัยมากมายแล้วดับไปจะเป็นเราจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงตลอดไปไม่ได้เลย
- มีอะไรเป็นเราไหม มีอะไรเป็นของเราไหม (ไม่มี) มีใครไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้ไหม เห็นความลึกซึ้งและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นบ้างไหม ถ้าไม่รู้อย่างนี้อยู่ในความมืดสนิทเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี อยู่ในความมืดเดี๋ยวนี้ใช่ไหม มีแสงสว่างบ้างไหม (มีเพราะที่ฟังก็เห็นประโยชน์) เพิ่งเริ่มแต่แสงนั้นยังอ่อนมากยังไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งที่เป็นจริงตามความเป็นจริงได้
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายที่ว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเพราะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ค่อยๆ ออกจากความมืดสนิทและเพราะมีแสงสว่างนำไป รู้แค่นี้พอไหม พอหรือยัง (ไม่พอ) เห็นหนทางที่จะรู้ขึ้นหรือยัง เพราะฉะนั้นหนทางเริ่มจากความเข้าใจพระธรรมรู้ว่า มีธรรมทุกขณะแต่ไม่เคยคิดว่าเป็นธรรมจนกว่าจะฟังอีกเข้าใจอีกจึงรู้ว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสูงสุดทำให้รู้ความจริงในความมืดที่ไม่รู้ความจริง
- เพราะฉะนั้นการ “ฟังทุกคำ” ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ฟังแล้วคิดแล้วจำตามที่ได้ฟังเท่านั้นแต่ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่เพิ่งเริ่มจะได้ฟังและเริ่มจะเข้าใจ ฟังแล้ววันนี้มีอะไรสงสัยบ้างไหม
- (จะเข้าใจได้อย่างใรความต่างในการใช้คำว่าปัจจัยกับสมุฏฐาน) ใช้คำไหนก็ทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเกิดตามลำพังไม่ได้ต้องอาศัยสิ่งที่จะทำให้เกิดขึ้น จะใช้คำว่าปัจจัยชื่อต่างๆ หรือจะใช้คำว่าสมุฏฐานก็แล้วแต่ว่าจะหมายความถึงอะไรขณะไหนซึ่งจะต้องศึกษาโดยละเอียด
- พยายามจะไปเข้าใจคำแต่ไม่รู้ความจริงอันนั้นจะไม่สามารถทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของแต่ละคำได้ ละเอียดขึ้นๆ ในการที่จะต้องไม่ประมาทเลยในความละเอียด ต้องฟังต่อไปอีก ข้อสำคัญคือ ฟังแล้วต้องไตร่ตรองจนเข้าใจขึ้นมั่นคงขึ้น
- สำหรับวันนี้ก็ยินดีกับกุศลของคุณสุขินมากเลยนะคะที่ได้ช่วยทำให้ผู้ที่ไม่รู้จักภาษาไทยได้เข้าใจ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลคุณสุขินในความเกื้อกูลแปลคำจริงให้สหายธรรมชาวอินเดียได้ฟัง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณอัญชิสา (พี่สา) ที่ช่วยเหลือตรวจทาน
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ