Thai-Hindi 06 April 2024
Thai-Hindi 06 April 2024
- รู้จักธรรมไหม (คุณราเจสตอบว่า ที่เห็นอยู่ ที่ได้ยินอยู่ ที่รู้สัมผัสทางกายเป็นธรรม) เดี๋ยวนี้รู้จักธรรมอะไร (สิ่งที่ปรากฏให้เห็น) อะไรคะ (สี) เดี๋ยวนี้ไม่มีคุณราเจส ไม่มีใคร ไม่มีคุณสุขินหรือ (เข้าใจว่าที่กำลังเห็น เห็นสี)
- เข้าใจเป็นรู้แจ้งหรือยัง (ทีแรกได้ยินได้ฟังว่าเป็นอย่างนี้ ทีนี้รู้เลยว่าเป็นอย่างนี้) รู้เลยหรือว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีคุณสุขิน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไร (ตอนนี้เข้าใจอย่างนั้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีราเจส ไม่มีสุขิน)
- เข้าใจแต่ปรากฏอย่างนั้นหรือเปล่า (ที่เข้าใจตอนนี้คือหลังจากฟังพิจารณาแล้วเข้าใจ ต้องฟังต่อไปอีกเยอะกว่าจะรู้จริง) เพราะฉะนั้นรู้จักธรรมหรือยัง (ถ้าใช้คำว่า “รู้จริง” ยังไม่รู้ เพียงเริ่มเข้าใจ) รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม (เริ่มรู้จัก) รู้จักว่าอย่างไร (เข้าใจว่า ธรรมนี้มีแต่พระพุทธองค์ที่สอนได้และไม่มีใครอีกที่สอนได้ ธรรมลึกซึ้งมากต้องฟังถึงเข้าใจและวันหนึ่งก็จะเข้าใจความลึกซึ้งจริงๆ)
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ความรู้ความเข้าใจพระพุทธเจ้า รู้จักพระพุทธเจ้าแค่ไหน (เพิ่งเริ่มรู้จัก) รู้จักว่าอะไร (ว่าพระพุทธองค์สอนสิ่งที่มีจริงและลึกซึ้งมากและต้องฟังคำสอนจนกว่าวันหนึ่งจะรู้ธรรมจริงๆ)
- เดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้งมาก) ลึกซึ้งอย่างไร เริ่ม (ที่ลึกซึ้งเพราะถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเราที่เห็นทั้งๆ ที่ฟังแล้วเข้าใจขั้นฟังแล้วว่า จริงๆ แล้วไม่มีเรามีแต่เห็น ตรงนั้นยังไม่เห็น ยังเป็นเราที่เห็นอยู่)
- ถ้าไม่รู้ว่าเห็นเป็นอะไรจะค่อยๆ เข้าใจความจริงของเห็นได้ไหม (จะไม่รู้ความจริงถ้าไม่เข้าใจว่าเห็นคืออะไร) เพราะฉะนั้นได้ฟังมาแล้วหรือยังว่า เห็นคืออะไร (ถึงตอนนี้ก็เข้าใจว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง และถามต่อ ให้พูดมากกว่านี้ได้ไหม) เราถามเขาดีกว่าทีละเล็กทีละน้อยให้เขาคิดเองๆ จนกว่าจะไตร่ตรองลึกซึ้งขึ้น (คำตอบคือเป็นธรรมอย่างหนึ่ง)
- เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ธรรมคืออะไร (เป็นสิ่งที่มีจริง) เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้มีเห็นจริงๆ ใช่ไหม (กล่าวอย่างนั้นได้) เห็นมีจริงหรือเปล่า (จริง) เห็นเกิดหรือเปล่า (เกิด) ใครทำให้เห็นเกิด (ไม่มีใคร) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้)
- เห็นเดี๋ยวนี้เป็นคุณราเจสเห็นใช่ไหม (ตอนนี้ก็ยังเป็นราเจสเห็นทั้งๆ ที่ได้ฟังและได้เข้าใจว่า ไม่มีราเจสมีแต่เห็น) ถูกต้องแต่เห็นเกิดเพราะมีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดหรือเห็นเกิดได้เอง (เกิดเองไม่ได้ ต้องเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย)
- มีเหตุปัจจัยทำให้เห็นเกิด เห็นเกิดแล้วดับทันทีใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นปัจจัยทำให้เห็นเกิด เพราะฉะนั้นเห็นเกิดเห็น ไม่เห็นไม่ได้เพราะเห็นเกิดจึงเป็นเห็นที่เกิดขึ้นเห็น เข้าใจถูกแล้วขณะที่ฟังและขณะอื่นๆ เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นไหม (บางครั้งที่สนทนาอยู่ก็มีคิดถึงเห็นแต่ไม่ได้เข้าใจอย่างตอนที่สนทนา)
- แน่ใจหรือว่า ตั้งแต่เช้ามาคิดถึงเห็นแล้วก่อนที่จะได้ฟัง (คิด) เมื่อไหร่ตอนไหนที่คิดถึงเห็นตั้งแต่เช้ามาก่อนที่จะได้รับฟังธรรม (เหตุการณ์ที่ชัดๆ คือ ก่อนที่จะเข้ามาสนทนาธรรมก็เริ่มคิดพิจารณา) บ่อยไหม (คุณราเจสบอกว่า ก่อนฟังไม่เคยพิจารณาเลย แต่หลังจากฟังก็เริ่มพิจารณาจนถึงขนาดที่ว่า มีการพูดถึงธรรมกับคนอื่นรอบตัววันละอย่างน้อย ๗-๘ ครั้ง ถ้าไม่ได้พิจารณาเวลาอื่นก็คงจะไม่มีความสนใจที่จะพูดให้คนอื่นฟังและคงจะไม่มีความสามารถที่จะพูดให้คนอื่นฟังเพราะว่าพิจารณาถึงธรรมในชึวิตประจำวันอยู่เพิ่มขึ้นทีละนิดทีละหน่อยถึงเป็นอย่างนั้น)
- เขาสนทนาธรรมเรื่องเห็นกับครอบครัวใช่ไหม (นอกจากเห็นก็เรื่องธรรมอื่นด้วย) ดิฉันถามว่า คุณราเจสสนทนาธรรมกับครอบครัวใช่ไหม (สนทนากับครอบครัวและให้ครอบครัวรู้ว่าควรจะแชร์ให้คนอื่นที่รู้จักต่อๆ ไปด้วยเพราะว่าเห็นว่า ตนเองไม่มีความรู้และเริ่มมีความรู้ และรู้ว่าคนอื่นที่ไม่รู้ก็ควรจะได้รู้ได้เจริญความเข้าใจ)
- เขาเริ่มสนทนากับคนอื่นว่าอย่างไร (เริ่มจากคำถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่มีจริงเพราะว่าพอรู้ว่าผู้ฟังเริ่มสนใจธรรมก็พูดต่อไปว่า นี้เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์สอนเพื่อให้เรารู้ และพูดเรื่องธรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และชักชวนให้มาเข้าสนทนาอย่างเช่นที่กำลังสนทนากันเมื่อมีโอกาส ให้รู้ว่าการที่จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ทำได้โดยวิธีเดียวก็คือ ฟังและฟังต่อซึ่งมีค่ามากและควรจะทำ)
- แล้วครอบครัวของคุณราเจสสนใจไหม (เริ่มเข้าใจทีละนิด) ยินดีมากกับกุศลของคุณหมอราเจสเพราะว่าเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรม ไม่ใช่เรารีบไปรู้โน่นรู้นี่แต่เพียงชื่อ แต่ต้องรู้จริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมและยากที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นเพียงธรรมแต่ละหนึ่งๆ
- (ตามที่เข้าใจจากที่ท่านอาจารย์เตือนเรื่อยๆ ว่า ศึกษาธรรมอย่างไร ก็พยายามพูดให้คนอื่นเข้าใจอย่างนั้นด้วย) ถูกต้องที่สุด ก่อนอื่นไม่ใช่รีบให้เขาจำแต่ต้องให้เขารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องให้เขาเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่างที่กำลังมีทุกขณะเดี๋ยวนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่างทุกประการเพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงให้รู้เริ่มความจริงของทุกสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- ก่อนเห็น ไม่มีเห็น เมื่อเห็นเกิดแล้วเห็นก็ดับเพราะฉะนั้นจะเป็นเราไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้นอกจากเป็นเห็นเท่านั้น ก่อนเห็นไม่มีเห็นแล้วเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เห็นดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยจะเป็นอะไรเป็นใครไม่ได้เลยเพราะไม่เหลือ
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางให้รู้ความจริงขณะนี้ที่เห็นเกิดแล้วดับด้วย นี้เป็นเหตุที่เราพูดถึงเห็นเดี๋ยวนี้ให้รู้ความจริงว่า ถ้าเราไม่พูดถึงเห็นเดี๋ยวนี้ เราไม่คิดถึงเห็นและลืมตลอดเวลาว่า เห็นเกิดแล้วดับ
- ความลึกซึ้งของเห็นคือ แม้เรากำลังพูดเรื่องเห็นก็ยังไม่รู้ความจริงที่เห็นเกิดดับ เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าใจเห็นต้องไม่ใช่ขณะที่เราไม่พูดถึงเห็นเลยที่กำลังเห็น เพราะขณะที่กำลังเห็นแต่ถ้าเราไม่พูดถึงเห็นเลยเราจะไม่สนใจและไม่เข้าใจเห็น
- เพราะฉะนั้นเห็นประโยชน์ไหมว่า ทำไมเราพูดถึงเห็นที่กำลังเห็น เบื่อไหมเราพูดถึงเห็นทุกครั้งที่สนทนากัน (คุณราเจสไม่เบื่อเพราะเห็นว่า เห็นอยู่ตลอดและยังไม่เข้าใจเลย และเห็นถ้าไม่ฟังก็คิดว่าเราเห็นบุคคลนี้บุคคลนั้น แต่หลังจากฟังก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจเพราะฉะนั้นก็ต้องฟังต่อและไม่เบื่อ) ยินดีอย่างยิ่งในกุศลในความเข้าใจถูกต้องของคุณราเจส
- (หลังจากที่ฟังธรรมควรจะพูดให้คนอื่นเข้าใจด้วย ยกตัวอย่างก่อนฟังธรรม เราก็พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังและหลังจากฟังธรรมก็รู้ว่าเรื่องเหล่านั้นไร้สาระและไม่เป็นความจริง หลังจากฟังและเข้าใจความจริงยิ่งต้องพูดเรื่องนี้ให้รู้ว่าอะไรคือความจริง) ถูกต้องอย่างยิ่งแต่ต้องรู้ว่าเราไม่ได้บอกเขา แต่เราเริ่มจากถามให้เขาคิดไตร่ตรองเพราะว่าทุกคนไม่เคยคิดเรื่องธรรมเพราะไม่เคยฟัง
- (คุณราเจสบอกว่า พูดตามเท่าที่เข้าใจเพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้จึงชักชวนคนอื่นให้มาฟังจากท่านอาจารย์โดยตรงก็จะได้ประโยชน์มากกว่า) แต่เราต้องรู้เหตุที่จะให้เกิดการเข้าใจธรรม
- เราเอาความรู้ของเราไปมอบให้ใครไม่ได้เลยแต่เราสามารถช่วยให้เขารู้หนทางที่จะเข้าใจธรรมได้ เขาจะเข้าใจธรรมได้ต่อเมื่อเขาคิดไตร่ตรองด้วยตัวเอง นี้เป็นเหตุให้มีการสนทนาธรรมและจะรู้ว่าเขาเข้าใจหรือไม่ก็คือถามเขาไม่ใช่บอกเขา เพราะถ้าบอก เขาฟัง เขาจำ แต่เขาไม่ได้ไตร่ตรองด้วยตัวเอง
- กว่าทุกคนจะเข้าใจธรรมและคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ต้องเริ่มฟังแล้วไตร่ตรองด้วยตัวเอง ถ้าจำที่คนอื่นบอกไม่ได้เข้าใจด้วยตัวเองเขาก็ลืมเพราะไม่เข้าใจจริงๆ
- เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ต้องการให้เข้าจำแล้วตอบแต่ให้ไตร่ตรองคำที่เขาได้ฟังซึ่งเป็นคำที่ลึกซึ้งเพราะเป็นคำที่กล่าวถึงธรรมที่ลึกซึ้ง
- เริ่มให้เขาสะสมนิสัยความคุ้นเคยใหม่ที่จะต้องคิดด้วยตัวเอง พิจารณาด้วยตัวเองให้รอบคอบละเอียดขึ้นทุกอย่าง
- ก่อนจะฟังธรรมถ้าไม่รู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ลึกซึ้ง ฟังแล้วจำเท่านั้นเองไม่ได้เข้าใจอะไร (เป็นอย่างนั้น) เพราะฉะนั้นเพียงคำว่าเห็นสามารถที่จะเข้าถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความลึกซึ้งของพระคุณ
- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความจริงของเห็น เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยในความลึกซึ้งของพระปัญญาคุณ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นจากเห็นมีจริงเพราะฉะนั้น ธรรมคืออะไรจะทำให้เป็นอย่างอื่นนอกจากเห็นที่กำลังเห็นได้ไหม (ไม่ได้)
- ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหมว่าเห็นคืออะไร (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นฟังคำของพระพุทธเจ้า ไตร่ตรอง เข้าใจ มั่นคง ไม่เปลี่ยนเพราะเป็นความจริง
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็น คืออะไร (เหมือนเขายังไม่เข้าใจเห็น ยังพูดซ้ำๆ ว่าเห็นเป็นสี อยากให้ท่านอาจารย์เกื้อกูล) นี่เป็นเหตุที่การสนทนาธรรมเป็นมงคลเพราะถ้าไม่มีการสนทนาธรรม เขาก็ไม่รู้ความละเอียดลึกซึ้งและเข้าใจผิด
- ฟังนะคะและเริ่มคิดละเอียด เห็นเป็นเห็น หมายความว่าอะไร เพียงคำว่า เห็นเป็นเห็น คิดพิจารณาไตร่ตรองลึกซึ่งหมายความว่าอะไร หมายความว่าอะไรเห็นเป็นเห็น ไตร่ตรองอีกไม่อย่างนั้นไม่คิด (เห็นเป็นความจริง)
- เห็นเป็นความจริงแต่เห็นเป็นเห็นหมายความว่าอะไร หมายความว่าอะไร (เริ่มรู้ว่า ความเข้าใจน้อยมาก รู้แค่ว่าเห็นมีจริง) เพราะฉะนั้นมีความเข้าใจมั่นคงไหมว่า เห็นเป็นเห็นไม่เป็นอะไรทั้งสิ้นนอกจากเป็นเห็น
- (ท่านอาจารย์ถามใหม่ได้ไหม) เข้าใจคำว่า เห็นเป็นเห็นหมายความว่าอย่างไร (เปลี่ยนไปถามอาช่าดีไหม) ได้เลยถามใครก็ได้ว่า เห็นเป็นเห็นเข้าใจว่าอย่างไร (คำตอบอาช่าคือ เป็นสิ่งที่มีจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็นเป็นเห็น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เป็นธรรม ๑)
- อย่าลืมนะคะ ได้ยินคำ่า “เห็นเป็นเห็น” ยังไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ยังไม่ต้องตอบอะไรเลยทั้งสิ้นแต่ได้ยินคำว่า “เห็นเป็นเห็น” เข้าใจว่าอย่างไร นี่คือหัดคิดให้ละเอียดให้รอบคอบเพราะว่าจะต้องมีเรื่องที่ลึกซึ้งกว่านี้ที่จะต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบยิ่งกว่านี้ นี่เป็นการเริ่มต้นฝึกนิสัยให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ
- (อาช่าตอบใหม่ว่า เห็นเป็นเห็นเป็นธรรมเป็นนามที่รู้สิ่งที่ถูกเห็น ท่านอาจารย์ได้ฟังคำตอบของอาช่าไหม) ได้ฟังแล้วแต่ดิฉันไม่ได้ถามว่า เห็นคืออะไรสักคำ ถามเพียงว่า ได้ยินคำว่าเห็นเป็นเห็นเข้าใจว่าอย่างไร (ดูเหมือนว่าจะหาคำตอบตามที่เคยได้ฟัง) เพราะฉะนั้นนี่เป็นการฝึกหัดอบรมให้คิดละเอียดรอบคอบเพราะทุกคนขาดการคิดละเอียดรอบคอบ แม้ว่าธรรมจะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก ความลึกซึ้งต้องอาศัยการไตร่ตรองละเอียดรอบคอบจึงจะเข้าใจได้มั่นคง
- อย่าลืมนะคะ ฟังดีๆ เพื่อที่จะได้มีความมั่นคงในความจริง เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นอื่นไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นเห็นเป็นนกไม่ได้ เห็นเป็นคนไม่ได้ เห็นเป็นปลาไม่ได้ เห็นเป็นเห็น เริ่มมีความมั่นคงในความเป็นธรรมแต่ละ ๑
- กว่าจะละความเป็นเราแค่ฟังเท่านั้นไม่พอแต่ต้องมีความมั่นคงในความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงฟังคิดว่าเข้าใจแต่ยังต้องมั่นคงทุกครั้งที่ได้ยินคำที่เป็นธรรมแต่ละคำ
- เห็นเป็นคิดได้ไหม ทุกคนเข้าใจมั่นคงแล้ว ความเข้าใจมั่นคงนี้เองเป็นหนทางที่จะละความติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะความจริง ๑ ธรรมเปลี่ยนไม่ได้เป็น ๑ ธรรมนั้นๆ เท่านั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้มั่นคง ไม่ว่าจะโกรธ ไม่ว่าจะชอบ ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะจำ แต่ละ ๑ เป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้นเท่านั้นไม่เป็นอื่น
- เริ่มเข้าใจมั่นคงขึ้นในทุกอย่างที่เป็นธรรมแต่ละ ๑ เมื่อเป็นธรรมที่มีจริงแต่ละ ๑ เกิดขึ้นดับไปก็ไม่ใช่เราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น ฟังอย่างนี้ทุกชาติๆ ๆ จนมั่นคง
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงและถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงหนทางที่จะรู้ความจริงซึ่งทุกคนเริ่มมีความมั่นคงว่า เป็นแต่ละ ๑ ซึ่งไม่ใช่เรา ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงหนทางใครก็ถึงการที่จะประจักษ์แจ้งความจริงนี้ไม่ได้
- เพียงฟัง ๒-๓ คำก็ต้องมั่นคงเพราะฉะนั้นถ้าฟังอีกก็ต้องมั่นคงอีก จะเห็นได้ว่ากว่าจะเข้าใจค่อยๆ มั่นคงขึ้นๆ ต้องอาศัยการฟังความละเอียดขึ้นและการไตร่ตรองต้องรอบขึ้นจนกว่าจะสามารถรู้ว่า หนทางที่จะรู้ความจริงคืออย่างไร เพราะฉะนั้นรู้หนทางหรือยัง หรือว่าเริ่มรู้จักหนทางหรือยัง (ก็เริ่มรู้แต่เวลานี้ก็ยังน้อยมากหนทางเข้าใจความจริง)
- ทางอื่นมีไหม (ไม่มี) นั่นคือความรู้จัก “ปริยัติ” รอบรู้คำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงสิ่งซึ่งกำลังมีทุกขณะ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จะอ่านพระไตรปิฎกด้วยการประมาท ไม่รู้ว่าขณะที่อ่านนั้นเพราะอะไร ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งของพระธรรมก็จะอ่านด้วยความต้องการจะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไรใน ๔๕ พรรษา
- ถ้าอ่านเพราะอยากรู้คำอยากเข้าใจความหมายเท่านั้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อได้ฟังคำเพียงคำเดียวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็นความลึกซึ้งจึงศึกษาด้วยความเคารพที่จะได้รู้ความจริงที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นผู้ที่จะรู้ตัวเอง ศึกษาเพราะเคารพสุงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งแม้เพียงคำเดียว “เห็นเป็นเห็น“ ก็ต้องรู้ว่ามีความลึกซึ้งที่เป็นอื่นไม่ได้
- ถ้าเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม ๑ ก็จะเห็นความลึกซึ้งในขั้นเข้าใจในคำนั้นแต่ละ ๑ จึงรู้ว่า ผู้ที่ได้ตรัสคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจมั่นคง เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด จำเป็นจำก็เข้าใจความหมายของคำว่า ธรรมสิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นธรรมซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัยเป็นอนัตตา เริ่มมีความมั่นคงในคำว่า “ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา” และเริ่มตรงต่อความจริงรู้ความจริงว่า ก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเราทั้งหมด เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด ไม่รู้ความจริงว่าเป็นแต่ละ ๑ เห็นเป็นเห็น จำเป็นจำเป็นต้น
- ก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเห็น เราคิด เราจำ เราชอบ มีความเป็นเรามานานเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ เริ่มจะเข้าใจความจริงในขั้นฟังจากการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- จากวันที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดร.ราเจสจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม (เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นพระสาวกได้) ฟังคำถามดีๆ จากการที่ได้เริ่มเข้าใจธรรม เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดร.ราเจสจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม (คำตอบว่าไม่ได้) ทำไมไม่ได้ (เพราะว่าเป็นผู้ฟัง) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ฟังหรือเปล่า (อย่างที่ท่านอาจารย์บอก เพราะฉะนั้นถ้าฟังต่อไปวันหนึ่งก็เป็นไปได้ว่าความเข้าใจจะถึงระดับนั้น)
- ทำไมท่านพระสารีบุตรก็ฟังธรรมมาและได้เข้าใจธรรมแล้วไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (เพราะเหตุปัจจัยไม่พอ เหตุปัจจัยต่างกัน) เหตุปัจจัยที่จะไม่ทำให้ท่านพระสารีบุตรถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจธรรม เหตุปัจจัยนั้นคืออะไร (ไม่ทราบแค่รู้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยเป็นอย่างไรผลก็ต้องเป็นอย่างนั้น)
- ถ้าไม่รู้เหตุปัจจัยก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็เข้าใจในเหตุที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหมจึงได้เป็น (ตรงนี้ไม่มีความรู้พอที่จะให้คำตอบที่แน่นอน)
- เพราะฉะนั้นทุกคนได้ฟังพระธรรมแล้วขึ้นอยู่กับปัญญาและความเมตตามากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นคนที่ฟังเห็นความลึกซึ้ง เห็นพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย ผู้นั้นมีความอดทน มีความปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่มีพระมหากรุณาอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตั้งความปรารถนาที่จะอบรมเจริญปัญญาละคลายกิเลสจนถึงพร้อมด้วยปัญญาระดับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ถ้าไม่มีผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเลย ต่อไปโลกมืดไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นผู้นั้นมีความอดทนที่จะอบรมคุณความดีทุกประการยิ่งกว่าใครทั้งหมดที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออนุเคราะห์คนอื่น
- ฟังธรรมแล้วใครคิดที่จะอบรมเจริญปัญญาและคุณความดีทั้งหมดถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม มีใครตอบบ้างไหม (อาช่าตอบว่าไม่) เพราะอะไร (ความเข้าใจแค่นี้จะไปคิดไกลขนาดนั้นก็ไม่คู่ควรอยู่และคิดไปก็เหมือนกับไม่มีเหตุผลเพราะฉะนั้นไม่คิดเลย แค่มุ่งแต่ที่จะเจริญความเข้าใจ) ต่างกับความคิดของพระโพธิสัตว์เมื่อได้ฟังธรรมใช่ไหม (ต่างกันมาก) เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ เป็นแต่ละ ๑ ซึ่งทุกคนเท่านั้นที่จะรู้จักตัวเอง
- เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ปรารถนาถึงการที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพราะแต่ละ ๑ ที่รู้ความจริงว่า ธรรมลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ เพียงฟังแค่นี้เป็นขั้นปริยัติซึ่งก็ต้องตรงจึงจะรู้ว่า ต้องอบรมเจริญคุณความดีทุกประการและจากความเข้าใจถูกต้องไม่ผิดจากความจริง ต้องอบรมเจริญคุณความดีเพื่อละอกุศลทุกๆ ชาติอีกนานมากที่จะได้รู้ความจริงซึ่งลึกซึ้ง
- การหวังดีที่จะให้คนได้เข้าใจพระธรรมก็เป็นคุณความดีประการ ๑ ที่เป็นความดีที่สูงยิ่งเพราะเหตุว่า ทำให้คนอื่นได้สามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเข้าใจคำสอนของพระองค์ที่ลึกซึ้ง
- เพราะฉะนั้นนอกจากเห็นประโยชน์สูงสุดที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้วก็ยังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรมด้วย เมื่อรู้ประโยชน์สูงสุดที่ได้เข้าใจพระธรรมก็เห็นประโยชน์ว่า คนอื่นก็ควรจะได้รู้พระธรรมเป็นประโยชน์สูงสุดด้วย แต่พระธรรมลึกซึ้งมากประมาทไม่ได้เลย ถ้าไม่เข้าใจถูกต้องก็ทำให้คนอื่นเห็นผิด
- ชีวิตที่ผ่านมาแล้วในสังสารวัฏฏ์นับประมาณไม่ได้เลยที่ไม่เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มเข้าใจพระธรรม ชีวิตก็ต้องนับประมาณไม่ได้กว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง แต่ก็อดทนด้วยบารมีที่เพียรยึดมั่นคงต่อสัจจะเพื่อที่จะละความเห็นผิดจนกว่าจะได้รู้แจ้งความจริงซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย
- การรู้ประโยชน์ของธรรมก็เมื่อเข้าใจธรรม เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้แล้วชีวิตก็ดำเนินไปในทางที่ละคลายความไม่รู้และเพิ่มกุศลทุกประการที่เป็นบารมี เพราะว่าชีวิตสั้นมากไม่รู้ว่าจะจบสิ้นชีวิตเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นคุณความดีถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ทำทันที
- เพราะฉะนั้นชีวิตที่มีประโยชน์สูงสุดซึ่งไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็คือศึกษาธรรมด้วยความเคารพและให้คนอื่นได้สามารถเข้าใจด้วย การเข้าใจธรรมถูกต้องเห็นคุณค่าของความจริงเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้คิดถึงคนอื่นที่จะช่วยให้เขาได้เข้าใจด้วยตามความสามารถ
- การทำประโยชน์ทุกอย่างเพื่อให้คนได้เข้าใจพระธรรมเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเข้าใจในพระธรรมและคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ดร.ราเจสยกตัวอย่างโดยหันกล้องไปทางอื่นให้เห็นว่าคนอื่นก็กำลังได้ฟังการสนทนาอยู่ด้วย)
- ขอยินดีกับกุศลของทุกคนที่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพและทำประโยชน์ในการที่จะให้คนอื่นได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้คุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลคุณสุขิน ดร.ราเจส คุณอาช่าและผู้ร่วมรับฟังทุกท่าน
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ