ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๐

 
khampan.a
วันที่  14 เม.ย. 2567
หมายเลข  47692
อ่าน  2,017

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๐



~
เห็นประโยชน์ของการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง?
พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ต้องฟังจนรอบรู้ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริง

~
จะฟังพระธรรมต่อไปไหม? (จะฟังอีก) นี่คือ วิริยบารมี เพื่อรู้แจ้งสัจจะ เป็นสัจจบารมี เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ง่าย อีกนานมากกว่าความรู้จะค่อยๆ รู้ทีละเล็กทีละน้อย

~
ไม่รู้มานานเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่ไม่รู้เฉพาะชาตินี้เท่านั้น แต่ชาติก่อนๆ ก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้กี่พระองค์ผ่านไป ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น อีกนานเท่าไหร่ ไม่ต้องคิดเลย แต่ก็รู้ได้ถ้าฟังพระธรรมด้วยความอดทน ด้วยความเพียร ด้วยความตรงซึ่งเป็นบารมีทั้งหมด ถ้าขาดบารมี ๑๐ ทุกชาติ จะสามารถรู้ความจริงได้ไหม?

~
พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง สมควรที่จะได้ไตร่ตรองให้เข้าใจความลึกซึ้งทุกคำ ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่าพระธรรม เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม แต่พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ การที่จะรู้ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการฟัง
ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจในคำนั้นยิ่งขึ้น

~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา มีคำที่ประมาณไม่ได้ภายใน ๔๕ พรรษา ทุกคำลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อให้เริ่มต้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไตร่ตรองจนเป็นการเห็นที่ถูกต้อง ไม่ประมาทในความลึกซึ้งอย่างยิ่งของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~
ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ที่กำลังบำเพ็ญบารมีขณะนี้ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าบารมีคือคุณความดีทั้งหมด เพราะว่า ขณะใดที่คุณความดีเกิดขึ้น
ขณะนั้นความไม่รู้และความไม่ดีก็เกิดไม่ได้

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และหนทางก็มี เพราะเหตุว่า ขณะนี้ก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่จะต้องเข้าใจ ข้อสำคัญที่สุด คือ ไม่ใช่ไปคิดว่าจะทำ แต่ว่าสภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน ควรที่จะได้เริ่มคิดที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ว่า แท้ที่จริงแล้วการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่รู้อื่น นอกจากสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้


~ การศึกษาธรรมที่ถูกต้อง คือ ศึกษาเริ่มจากไม่รู้จึงศึกษา
การศึกษาทั้งหมดก็จะละคลายความไม่รู้ และละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว บำเพ็ญความดี ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลด้วย

~ ทรัพย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์อื่นใด คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกหรือปัญญานั่นเอง เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะมีทรัพย์อื่น ก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากความทุกข์ได้ อาจจะเป็นห่วง แล้วยิ่งมีทรัพย์มาก ก็ยิ่งทุกข์มากก็ได้ แต่ว่าถ้ามีปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ละคลายอกุศลค่อยๆ หมดไป จนกระทั่งไม่เกิดอีกเลยได้

~ ก็ต้องเป็นคนตรง จะเป็นชาวพุทธแบบไหน แบบโดยชื่อ
โดยกําเนิดทะเบียนบ้านหรืออะไร หรือว่า เป็นชาวพุทธที่เคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้เข้าใจแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อประโยชน์ให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย ได้เข้าใจถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้น ชาวพุทธเข้าใจทุกคําของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกต้องหรือเปล่า คําไหนเป็นคําของพระองค์ จารึกไว้ตั้งแต่หลังจากที่ปรินิพพานแล้วตลอดเรื่อยมา ดํารงรักษา แต่จะดํารงรักษาได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจถูกต้องในแต่ละคํา ถ้าเข้าใจผิด ไม่ใช่การรักษา ไม่ใช่การดํารงพระพุทธศาสนา เพราะความเข้าใจผิด เป็นการทําลายพระพุทธศาสนา

~ ชาวพุทธ คือ ผู้ที่ได้เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ความเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรดี ก็จะไม่ทําดีหรือ? ถ้ารู้ว่าอะไรชั่ว จะไม่งดเว้นความชั่วหรือ? เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละประเทศชาติมีคนที่ทําสิ่งที่ไม่ดี เพราะไม่ได้รู้ความจริง

~ ถ้ามีความเข้าใจธรรม ประเทศชาติเจริญมากทีเดียว เพราะว่า ทุกคนทําดี เว้นชั่ว ถ้ามีความทุจริตทุกวงการทุกแห่งทุกระดับ จะชื่อว่าเป็นชาวพุทธไหม? (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้น เป็นชาวพุทธหรือเปล่า ทุกคนก็ต้องรู้ว่า ถ้าไม่มีการเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร มีอะไรที่ทําให้เป็นชาวพุทธ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมและไม่ประพฤติดีตามพระธรรม

~ ถ้ามีความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องแล้วประพฤติตาม ความไม่ดีทั้งหลายก็ลดน้อยลง หนทางอื่น มีไหม? ไม่ยากเลย ประเทศจะเจริญ ก็ต่อเมื่อทุกคนเป็นคนดีและทําดีเท่านั้นเอง แน่นอน ไม่ใช่หนทางอื่น

~ ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อไหร่ขณะไหน แต่ว่า ก่อนที่จะจากไป เข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า หรือมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง พฤติกรรมที่เกิดเพราะความเห็นแก่ตัวต่างๆ ไม่คิดถึงคนอื่น ไม่คิดถึงความเดือดร้อน ไม่คิดถึงความไม่ดี ซึ่งเมื่อทําสิ่งที่ไม่ดี ผลที่ได้รับที่จะเกิดต่อไป ต้องไม่ดี

~ ค่อยๆ เข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา ความเห็นแก่ตัวจะลดน้อยลงไหม? ความเข้าใจเห็นใจในความไม่รู้ของคนอื่น จะมากไหม? ไม่ได้ไปตําหนิความไม่ดีของใคร เพราะไม่มีใคร แต่มีธรรมฝ่ายไม่ดีนั้นซึ่งเกิดขึ้นหลากหลายมากซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดถึงความไม่รู้สิ่งที่มีอยู่ตามความเป็นจริง คือ อวิชชา เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูก เริ่มต้นเมื่อได้ฟังแล้วไตร่ตรอง ค่อยๆ ละอวิชชา ความไม่รู้ เป็นเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น คือ วิชชา นี้คือ เหตุและผลทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งละคลายความเป็นเราที่แผ่ซ่านไปหมดไม่ว่าในสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น

~ ประโยชน์สูงสุดของการฟัง แม้ในวันนี้ ก็คือ ได้ความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม เริ่มเข้าใจในความเป็นธรรม

~ รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ที่อกุศลยังมากมาย เพราะกุศลยังน้อย ยังน้อยมาก เพราะฉะนั้น ก็ยังต้องมีการสะสมทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ คือ ความเห็นถูก

~ จะเป็นประโยชน์มากที่จะรู้จักตัวเอง ซึ่งสามารถจะเริ่มเข้าใจจากการฟังพระธรรม ซึ่งเป็นการสะสมใหม่ เพราะเหตุว่าการสะสมเดิม คือ อวิชชาและโลภะ แต่ว่าเมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเป็นการสะสมใหม่ คือ สะสมปัญญา ซึ่งตรงกันข้ามกับอวิชชา แล้วก็สะสมอโลภะ (ความไม่ติดข้อง) อโทสะ (ความไม่โกรธ) ซึ่งตรงกันข้ามกับโลภะ โทสะ

~ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำการช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใด กระทำกิจในพระธรรมโดยการศึกษา โดยการอ่าน โดยการสนทนา โดยการเกื้อกูลบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม ขณะนั้น เป็นสติ (ระลึกเป็นไปในกุศล) ทั้งนั้น ถ้าสติไม่เกิด การกระทำอย่างนั้นๆ ก็เกิดไม่ได้

~ ขณะใดที่กุศลมีกำลัง ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ แต่กำลังก็ต้องค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น แม้แต่กำลังที่จะมาฟังธรรม มีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ขณะใดที่ไม่ได้มาฟังธรรม หรือ ไม่ได้ฟังธรรม อะไรมีกำลัง ก็คือ อกุศลมีกำลัง แล้วทั้งกุศล และ อกุศล มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่ค่อยๆ เกิดค่อยๆ มี เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ ฟังพระธรรมทำไม? เพื่อเข้าใจความจริงที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ใคร ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปรากฏแล้วเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด จะมีได้อย่างไร เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็รู้อย่างนี้ ไม่ใช่รู้ผิดจากความเป็นจริง

~ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักปราชญ์ จะมีความรู้มากสักเท่าไร แต่ก็แสดงธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ไม่ได้ เพราะเหตุว่า ไม่ได้ตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๙

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
jaturong
วันที่ 15 เม.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 15 เม.ย. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kuthum
วันที่ 15 เม.ย. 2567

นอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์สุจินต์ ยินดีและอยุโมทนาในการเจริญกุศลของทุกท่านเพื่อสืบทอดพระธรรมคำสอนของพุทธองค์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 15 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มังกรทอง
วันที่ 15 เม.ย. 2567

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Lai
วันที่ 16 เม.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
shsso2551
วันที่ 16 เม.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kukeart
วันที่ 16 เม.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ