Thai-Hindi 20 April 2024

 
prinwut
วันที่  20 เม.ย. 2567
หมายเลข  47701
อ่าน  246

Thai-Hindi 20 April 2024


- (คุณมานิชถามว่า อะไรตัดสินว่าจะปฏิสนธิเป็นผู้ชาย ผู้หญิงหรือมี ๒ เพศ) ถามแค่นี้หรือ ทุกอย่างที่เกิดจะเกิดได้ต้องมีเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้น “กรรม” คืออะไร (มีกุศลกรรมกับอกุศลกรรม) เป็นอะไร (ไม่ทราบ) เพราะฉะนั้นถ้าไม่พูดถึงกรรมให้เข้าใจกรรมแล้วพูดเรื่องอื่นจะเข้าใจไหม

- ไม่ใช่ต้องการรู้เรื่อง ไม่ใช่ต้องการคำตอบแต่ต้องรู้ความจริง เดี๋ยวนี้คืออะไร ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดในชีวิตที่มีโอกาสได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง เมื่อได้เกิดมาแล้วกี่ชาติ ไม่เคยรู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้คืออะไร ทุกๆ ขณะมาจากเดี๋ยวนี้ๆ แต่ละอย่าง

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตอบคำถามทุกคำถามแต่ให้คนนั้นมีโอกาสที่จะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้แล้วก็จะเข้าใจสิ่งที่เขาถาม เขาต้องการคำตอบหรือต้องการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (คำตอบไม่สำคัญแต่เข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้) เพราะถ้าไม่มีโอกาสเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ ไม่มีโอกาสอีกเลยที่จะเข้าใจความจริงในสังสารวัฏฏ์

- เพราะฉะนั้น “กรรม” คืออะไร ต้องคิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่ากรรมคืออะไร (เหมือนกับว่าคุณมานิชไม่เคยได้ยินเรื่องนี้)

- ได้ยินคำว่า “กรรม” ไหม (คุณอาคิ่ลบอกว่าในภาษาฮินดี ภาษาซิกข์ใช้คำเหมือนกันแต่ไม่ใช่ภาษาบาลี ไม่ควรใช้) เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราไม่ได้พูดฮินดี ไม่ได้พูดซิกข์ แต่เราพูดคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสซึ่งเป็นภาษามคธีเป็นภาษาบาลี

- ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาไทยใช้คำอะไรไม่สำคัญแต่คำนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสหมายความถึงอะไร ลืมภาษาของตนแต่ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทีละคำ

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า “กรรม” ไม่ต้องคิดถึงฮินดี ไม่ต้องคิดถึงซิกข์ ไม่ต้องคิดถึงไทย ไม่ต้องคิดถึงภาษาอังกฤษ “กมฺม” คืออะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส (เป็นการกระทำ) มีจริงไหม (มีจริง) เป็นเรา เป็นเขา เป็นโซฮาน เป็นอาคิ่ล เป็นใครหรือเปล่า (ไม่ได้เป็นเรา) แล้วเป็นอะไร (เป็นสิ่งที่มีจริง)

- สิ่งที่มีจริงมีหลายอย่าง ประเภทใหญ่มี ๒ อย่าง ความจริงทั้งหมดคือแตกต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ สภาพ ๑ เกิดขึ้นแข็ง หวาน เสียง มีจริงแต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย เดี๋ยวนี้มีธรรมมีสภาพที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไรใช่ไหม

- สภาพธรรมที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไรมีอะไรบ้าง (มีเสียง มีสี มีรส มีแข็ง มีอ่อน มีร้อน มีเย็น มีกลิ่น) ขณะที่เย็นมีสภาพที่รู้เย็นไหม (มี) เพราะฉะนั้นมีสภาพที่ต่างกันใช่ไหม (ใช่)

- ในขณะที่กำลังรู้เย็นมีอะไรที่ต่างกัน (ตอนที่รู้เย็นมีสภาพที่รู้เย็นและมีเจตสิกต่างๆ ที่เกิดกับสภาพนั้นและมีความเย็น) เพราะฉะนั้นต่างกันตรงไหน (ต่างกันหลักๆ คือมีความจริงอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นต้องรู้ อีกอย่างหนึ่งไม่รู้อะไร) เปลี่ยนสภาพที่รู้ให้ไม่รู้ได้ไหม (ไม่ได้) เปลี่ยนสภาพที่แข็งให้เป็นสภาพที่รู้ได้ไหม (ไม่ได้)

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง พระองค์ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริงๆ เป็นธรรม อะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ต้องคิดถึงฮินดี ไม่ต้องคิดถึงซิกข์ ไม่ต้องคิดถึงอะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรม” เป็นคำของพระองค์ที่ทุกภาษาจะต้องเข้าใจในภาษาของตนๆ แต่ได้ยินคำว่าธรรมไม่ได้เพราะเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสในภาษานั้น

- เพราะฉะนั้นทุกคนเข้าใจคำว่า “ธรรม” แล้ว ไม่ใช่ฮินดี ไม่ใช่อังกฤษ ไม่ใช่ซิกข์ ไม่ใช่ไทย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เปลี่ยนคำว่าธรรมให้เป็นภาษาฮินดีแต่ทุกภาษา ฮินดี ซิกข์ ฯลฯ ต้องเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่าธรรม

- เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง (เสียง) อะไรอีก (สี และมีเห็น มีได้ยิน) มีเห็น เห็นได้ยินเป็นธรรมอะไร (เห็นได้ยินเป็นจิต) จิตคืออะไร (เป็นธรรมที่รู้) ชอบเป็นจิตหรือเปล่า (ไม่ได้เป็นจิตเป็นเจตสิก) ทำไมไม่เป็นจิต (เพราะว่าไม่ได้เป็นใหญ่ในการรู้) ชอบเป็นโกรธได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นโกรธกับชอบเป็นอะไร (เป็นเจตสิก)

- เจตสิกคืออะไร (เป็นธรรมที่เกิดและดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิตและเป็นนามธรรมอย่งหนึ่ง) นามธรรมคืออะไร (เป็นธรรมที่เกิด เกิดแล้วรู้อารมณ์) เดี๋ยวนี้อะไรเป็นนามธรรม (มีเห็นมีได้ยิน) อะไรอีก (คิด ได้กลิ่น ลิ้มรส) อะไรอีก (มีการสัมผัส) สัมผัสคืออะไร (เป็นจิต การรู้ทางกายเป็นจิต)

- อีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง (เวลานี้มีจิตกับรูปที่จิตรู้) เพราะฉะนั้นอะไรเป็นจิตบ้างเดี๋ยวนี้ พูดซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งเขาเข้าใจจริงๆ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นจิต (มีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีสัมผัสทางกาย) ไม่ใช่สัมผัส การรู้ (การรู้ทางกาย) ครบหรือยัง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 20 เม.ย. 2567

- เพราะฉะนั้นมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ต่างกับสภาพที่ไม่รู้อย่างไร (ต่างกันตรงที่ ๑ เกิดแล้วรู้ อีก ๑ เกิดแล้วไม่รู้อะไร) เพราะฉะนั้นมีคำ ๒ คำที่แสดงถึงความต่าง สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วรู้อะไรก็ตามใช้คำว่า “นามธรรม”

- ถามว่า นามธรรมมีอะไรบ้าง (มีจิต ๑ และเจตสิก ๑) จิตคืออะไร เจตสิกคืออะไร (ต่างกันที่จิตเป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เจตสิกรู้อารมณ์เดียวกันแต่ไม่รู้แจ้งเหมือนจิต)

- เพราะฉะนั้นอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นจิตอะไรเป็นเจตสิกเดี๋ยวนี้ (ได้ยินเป็นจิต ได้ยินแล้วชอบหรือไม่ชอบเป็นเจตสิก) มี ๒ อย่างชอบกับไม่ชอบต่างกันอย่างไร (ลักษณะต่างกันอันหนึ่งชอบ อันหนึ่งไม่ชอบ)

- เพราะฉะนั้นตอนนี้มีธรรมหรือไม่มีธรรม (มีธรรม) มีเราไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีธรรมจริงๆ แต่ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด พระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

- เพราะฉะนั้นทำไมเป็นอนัตตา (เพราะธรรมที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลาในชีวิตเกิดโดยไม่มีใครควบคุมได้ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้และที่เกิดในชีวิตเราเกิดเพราะเหตุปัจจัยเพราะฉะนั้นไม่มีใคร ไม่มีอะไร ไม่มีสัตว์ บุคคล บังคับบัญชาไม่ได้)

- มีคุณอาช่าไหม (ไม่มี) แล้วมีอะไรที่ไม่ใช่อาช่า (จิต เจตสิก รูป) นั่นชื่อแต่อะไรที่มีจริงๆ ไม่ใช่อาช่า (มีเห็น มีได้ยิน) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็น เห็นเป็นอะไร (จิต) เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม)

- เดี๋ยวนี้รู้หรือยังว่า เห็นไม่ใช่อาช่า (ยัง รู้แค่จากการฟังและจำได้แต่ยังไม่รู้จริง) มั่นคงไหมว่าจากการฟังไม่มีอาช่าแต่มีเห็น (มั่นคง)

- พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร (ตรัสรู้นามและรูป) นามรูปอะไร (จิตเจตสิกรูป) จิตอะไร (จิตเห็น จิตได้ยิน จิตลิ้มรส จิตได้กลิ่น จิตรู้กระทบสัมผัส จิตคิด ปฏิสนธิจิต จุติจิต) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้หรือเปล่า (ตรัสรู้เห็นที่เห็นอยู่)

- พระองค์สอนให้คนอื่นรู้ความจริงจนรู้แจ้งเห็นหรือเปล่า พระองค์ตรัสรู้ใหุ้กคนรู้ว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วหรือเปล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ก่อนเห็นไม่มีเห็นแล้วเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไปหรือเปล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับเพราะอะไรหรือเปล่า

- ก่อนเห็นไม่มีเห็นแล้วเห็นเกิดเพราะอะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหรือเปล่าว่า เห็นเดี๋ยวนี้ ก่อนเห็นไม่มีเห็นแล้วอะไรเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะรู้ไหมว่า เห็น ก่อนเห็นไม่เห็นแล้วมีปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น (ไม่ทราบถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงสอน) เห็นเกิดขึ้นกี่ขณะ (๑) ก่อนเห็นไม่มีเห็นแล้วมีอะไร (เป็นปัญจทวาราวัชชนะ) ไม่เรียกชื่อได้ไหม (ได้) แต่เป็นจิตที่เกิดก่อนเห็นใช่ไหม (ใช่)

- เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นครั้งแรกเห็นหรือเปล่า ตอนเกิดเห็นหรือเปล่า (ไม่เห็น เป็นไปไม่ได้) เพราะฉะนั้นอะไรเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น (เป็นเพราะกรรมทำให้เกิดเห็น) กรรมก็ยังไม่รู้จัก อะไรก็ยังไม่รู้จัก เราต้องการให้เขารู้จักธรรมหลากหลายมาก (อาช่าจึงตอบว่าอนันตรปัจจัยเหมือนตอบตามที่เคยได้ยิน)

- เราพูดถึงธรรมทีละอย่างไม่ได้พูดถึงอย่างอื่นเลย ถ้าเราพูดทุกอย่างทั้งหมด สับสน แต่ถ้าเราพูดถึงทีละอย่างเราเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมทีละอย่างให้เขาเข้าใจความจริงแม้จิตเห็น ๑ ขณะก็ต่างกับจิตอื่นๆ

- ถ้าเรียนชื่อวันสองวันก็จบแล้วแต่ไม่รู้ความจริงของอะไรเลยมีแต่ชื่อตอบได้ ปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ แต่เราพูดถึงจิตแม้ขณะเดียวเช่น จิตเห็นให้เขารู้ความจริงว่ายากที่จะรู้ได้ ถ้าบอกว่าจิตเห็นเป็นจักขุวิญญาณจบ ไม่มีความเข้าใจอะไร ในการที่จะค่อยๆ เข้าใจจิตที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ต้องพูดถึงบ่อยๆ

- ตั้งแต่เช้ามาคิดถึงเห็นบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจเห็นทีละเล็กทีละน้อยจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม เห็นทุกวันไม่คิดถึงความจริงของเห็นได้แต่ฟังชื่อ “จักขุวิญญาณ” แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ต้องไม่ลืมว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริงของเห็น เมื่อประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นแล้วก็แสดงให้คนอื่นได้เริ่มเข้าใจเห็น

- ถ้าไม่เริ่มคิดถึงเห็น เข้าใจเห็น จะมีวันไหนที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นที่เกิดดับ เห็นทั้งวัน รู้จักเห็นบ้างไหม ๔๕​ พรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่มีทุกขณะ ได้แต่ “เรา” ฟังชื่อ “เรา” จำได้ “เรา” เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับว่า เราจำชื่อทุกขณะในทุกชาติเท่านั้น ไม่รู้ความจริงที่สูงยิ่งที่ประเสริฐสุดที่สามารถรู้ได้

- เราฟังชื่อของธรรมเพื่อให้รู้ว่าหมายถึงธรรมอะไร เพื่อรู้ว่าเรากำลังพูดถึงอะไร เพื่อให้รู้ความจริงว่า เรารู้แค่ไหน ทุกคำที่ได้ฟังเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมี

- เพราะฉะนั้นเราพูดถึงเห็นเดี๋ยวนี้เพราะมีเห็นที่กำลังเห็นจริงๆ เพื่อค่อยๆ เข้าใจเห็น มิฉะนั้นก็มีแต่ชื่อตลอดทั้งหมดตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อจำชื่อรู้จักชื่อแต่ไม่รู้ตัวธรรม เห็นที่กำลังเห็นอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่เข้าใจจำแต่ชื่อจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 20 เม.ย. 2567

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสรู้เพื่อให้เราจำคำต่างๆ แต่ฟังเพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พูดถึงเห็นประโยชน์คือ เพื่อไม่ลืมว่าเห็นเดี๋ยวนี้เกิดตามเหตุตามปัจจัยไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีใครเลยทั้งสิ้นนอกจากธรรม

- ถ้ารู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงความจริงที่กำลังมีให้เข้าใจ ไม่ใช่เพื่อเราเก่งเราจำได้ ธรรมความจริงเป็นความจริง ไม่ใช่เราเก่งคนอื่นไม่รู้ ขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงที่มีทุกขณะ ถ้ารู้จักธรรมจะรู้จักว่าที่เป็นเราที่คิดว่าเป็นเรา เป็นกุศลธรรมเท่าไหร่ เป็นอกุศลธรรมเท่าไหร่ รู้จักธรรมที่เป็นคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เริ่มเป็นคนตรง ถ้าไม่ฟังคำของพระพุทธเจ้าจะไม่รู้จักธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเราได้เลย

- เพราะฉะนั้นกำลังเห็นเราจะพูดอีกเรื่องเห็น แม้แต่คำตอบที่ว่า เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม เป็นจิต ไม่ใช่เพียงแค่จำแต่เป็นการเตือนว่ายังไม่ละเอียดที่จะเข้าใจแต่ละคำที่พูด เช่นคำว่า “ธาตุรู้”

- เดี๋ยวนี้อะไรกำลังปรากฏ (เห็น) เห็น ธาตุเห็นปรากฏหรืออะไรปรากฏ (เห็นไม่ปรากฏแต่สีปรากฏ) เพราะฉะนั้นจะรู้จักเห็นที่ไม่ปรากฏได้ไหม (จะรู้เห็นต่อเมื่อความเข้าใจเจริญถึงระดับที่สมควร) ไม่ใช่เรียกว่าจักขุวิญญาณ

- เพราะฉะนั้นอีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ (เห็นสิ่งที่เห็น) เดี๋ยวก่อนนะคะ ฟัง เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ (สีปรากฏ) สี รู้จักสีหรือยัง (ยัง) เพราะฉะนั้นสีปรากฏยังไม่รู้สีแล้วเห็นปรากฏหรือยัง (ยัง)

- เพราะฉะนั้นขณะนี้จะรู้ความจริงของอะไรได้ (สี ถ้าจะเข้าใจก็สามารถจะเข้าใจสีได้) เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่า จะต้องเข้าใจอะไรทั้งๆ ที่กำลังปรากฏใช่ไหม (ต้องรู้ว่า รู้แต่สิ่งที่ปรากฏได้) เริ่มหรือยัง (เริ่มแล้ว) เริ่มอย่างไร (เริ่มมีความเข้าใจเล็กน้อย) ว่า (เริ่มรู้ว่าที่มีตอนนี้มีแต่จิต เจตสิก รูป) ไม่ใช่ๆ ๆ เดี๋ยวนี้สีกำลังปรากฏเริ่มรู้หรือยัง (อาช่าตอบว่าเท่าที่ฟังก็รู้ว่าสีนี้เกิดแล้วดับ) ไม่รู้เลยยังไม่รู้เลย ได้ฟังมาแต่เดี๋ยวนี้สีกำลังปรากฏเกิดดับหรือยัง ปรากฏหรือยัง แล้วเมื่อไหร่จะรู้จริงๆ (ไม่ทราบแต่รู้ว่าต้องใช้เวลานานมาก)

- เพราะฉะนั้นฟังคำ เข้าใจความหมายของคำ แต่ต้องรู้ลักษณะที่เป็นจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ เริ่มรู้ความจริงว่า ความจริงมีตลอดทุกขณะแต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้นเลย เพิ่งเริ่มรู้ว่าขณะนี้มีอะไรจริงๆ เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรม“ เริ่มรู้ว่ามีธรรมอะไรบ้าง เริ่มฟังว่า ธรรมเป็นอนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่เรา

- เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เราเห็น นกเห็น ปลาเห็น ถ้าไม่เริ่มฟังอย่างนี้จะเข้าใจความต่างของธาตุรู้กับธาตุที่ไม่รู้อะไรไหม ถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละ ๑ ก็เข้าใจว่า เป็นคน เป็นนก เป็นปลา เป็นงู

- เพราะฉะนั้นคำถามทั้งหมดไม่ว่าเกิดมาเป็นอะไร เป็นอย่างไร แต่ถ้าไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่สามารถที่จะละความรู้ได้ เพราะฉะนั้นทุกคำถามไม่ใช่เพื่อให้ได้คำตอบแต่ไม่เข้าใจอะไรเลย

- เพราะฉะนั้นทบทวนคำถามของมานิชอีกครั้ง (ที่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือมี ๒ เพศอะไรเป็นเหตุ) ก่อนจะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุขณะเกิดอะไรเกิด (เป็นจิตอย่างหนึ่ง) แล้วทำไมถามเรื่องคนผู้หญิงผู้ชายกระเทย (มานิชไม่อยู่) ถูกต้อง คนอื่นที่ได้ฟังก็ตอบได้ (ไม่สำคัญ รู้ว่าเป็นจิตจะเป็นผู้ชายผู้หญิงหรือกระเทยก็ไม่สำคัญ)

- เพราะฉะนั้นรูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากอุตุเย็นร้อนก็มี รูปที่เกิดจากอาหารก็มี แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นนามธรรมอะไรเป็นรูปธรรมก็เป็นเรา เป็นบุรุษ เป็นสตรี เป็นกระเทย

- เพราะฉะนั้นคนที่อยากเป็นผู้ชายแต่เป็นผู้หญิงมีไหม (มีเยอะ) แล้วความต่างกันคือผู้หญิงกับผู้ชายอะไรดีกว่ากัน (ไม่มีอะไรดีกว่ากัน) ผู้หญิงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม (ไม่ทราบ) ผู้หญิงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม มีไหมที่ผู้หญิงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า (ไม่เคยได้ยินว่าผู้หญิงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้) เป็นไม่ได้ค่ะ

- เพราะฉะนั้นเราต้องค่อยๆ ฟังเหตุผล ค่อยๆ เข้าใจ เกิดเป็นผู้หญิงชาตินี้ พระมารดาชาติต่อไปเป็นหญิงหรือชาย ทุกคนเปลี่ยนได้หมดไม่ใช่ว่าเป็นผู้หญิงต้องเป็นผู้หญิงตลอดไป เป็นผู้ชายต้องเป็นผู้ชายตลอดไป ทุกคนอยากร่ำรวย มีความสุข มีสมบัติมากๆ แล้วเป็นได้ไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุที่จะให้เกิดตามที่จะต้องเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เป็นผู้หญิงที่เข้าใจธรรมได้กับเป็นผู้ชายที่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจธรรมเลย อะไรดีกว่ากัน (จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงสำคัญที่มีความเข้าใจธรรมดีกว่า)

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือความเข้าใจถูกความเห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร (เข้าใจว่า ไม่มีอะไรสูงกว่า ไม่มีอะไรสมควรมากกว่าการเจริญความเข้าใจ) หมายความว่า ยังไม่รู้อย่างนั้นใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นทั้งสิ้น ในชีวิตคนไม่มีอะไรเลยแต่เข้าใจธรรม เป็นเศรษฐีมหาศาลแต่ไม่เข้าใจธรรม มีเกียรติยศมากมายแต่ไม่เข้าใจธรรมจะเป็นอะไรดี (เกิดมาไม่มีอะไร ไม่มีทรัพย์สิน ชีวิตลำบากแต่มีความเข้าใจดีกว่า) เพราะฉะนั้นไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะอะไรขณะนี้แต่ว่าสามารถที่จะรู้ความจริงขณะนี้ประเสริฐที่สุด

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 20 เม.ย. 2567

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อรู้ว่า ไม่มีเราแต่เป็นธรรม การรู้ว่าไม่ใช่เราแต่เป็นผู้ตรงต่อธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ไม่ใช่ฟังเพื่อจำชื่อ เพราะฉะนั้นต้องตรง ฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่ใช่เรา

- ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรมจะละความเป็นเราได้ไหม พูดว่าธรรมเป็นอนัตตาแต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นต้องเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงเป็นอะไร

- ไม่รู้ว่า ธรรมเป็นอะไร เป็นธรรมอะไร (เป็นเจตสิก) เป็นของใคร (เจตสิกนี้เกิดกับจิตและเวลานี้เป็นของเราเพราะเกิดกับเรา) ถูกหรือผิด (ถ้าเข้าใจผิดว่าเป็นของเรานั้นผิด) เพราะฉะนั้น "ไม่มีเราที่จะไปเข้าใจว่า" แต่ถามว่า ไม่รู้เป็นเราของเราหรือเปล่า (ไม่รู้ไม่ได้เป็นเรา ไม่ได้เป็นของเรา) นี่คือหนทางที่จะค่อยๆ ตรงต่อความเป็นจริง

- คนโน้นไม่รู้ คนนี้ไม่รู้แต่เรารู้ เป็นอะไร (ความไม่รู้) ไม่ใช่ใคร นี่คือเริ่มเข้าใจธรรมค่อยๆ ละความเป็นเรา เป็นเขา เป็นคนโน้น เป็นคนนี้

- มีคำถามอะไรก็เชิญ (มีคำถามค้างอยู่สนทนากันเรื่องเห็น ปฏิสนธิไม่ได้เห็นและเห็นเกิดครั้งแรกอะไรเป็นปัจจัย) ไม่ใช่ครั้งแรก ทุกครั้ง ถ้าเขาตอบว่ากรรมต้องให้เขารู้ว่ากรรมคืออะไร (เวลานี้รู้แต่คำตอบแต่ไม่เข้าใจว่ากรรมคืออะไร)

- กรรมมีจริงไหม (มีจริง) เป็นอะไร (กรรมเป็นการกระทำเช่น หลังจากเห็นได้ยิน มีใครด่าแล้วเราไม่ชอบก็ไปตบหน้าเขา กรรมคือตอนที่ไปตบหน้าเขาเป็นกรรม) เพราะฉะนั้นธรรมมีเท่าไหร่ (มี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน) เพราะฉะนั้นกรรมเป็นอะไร เมื่อกรรมเป็นธรรม กรรมเป็นธรรมอะไร (อาช่าตอบว่าจิต) แสดงว่ายังไม่ละเอียด

- จิตเจตสิกต่างกันอย่างไร (จิตรู้อารมณ์ รู้ชัดแต่เจตสิกไม่รู้อย่างจิต) เพราะฉะนั้นกรรมเป็นจิตหรือเจตสิก (ตอบไม่ได้) จิตไม่ทำอะไรเลยนอกจากรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏที่เป็นอารัมมณะ

- จิตโลภได้ไหม (ไม่ได้) จิตรู้สึกได้ไหม (ไม่ได้) จิตจำได้ไหม (ไม่ได้) จิตเป็นกรรมได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้เพราะฉะนั้นกรรมไม่ใช่จิตแต่เป็นอะไร (เจตสิก) เพราะฉะนั้นกรรมเป็นเจตสิกที่ไม่ใช่ความรู้สึก กรรมไม่ใช่จำ กรรมเป็นความจงใจตั้งใจ เพราะฉะนั้นเมื่อกรรมเป็นเจตสิกที่จงใจตั้งใจก็ทำสิ่งที่จงใจตั้งใจ

- เขาตั้งใจจงใจจะทำอะไรบ้าง (เวลานี้จงใจฟังเพื่อความเข้าใจธรรม) แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมละเอียดยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมคือสภาพที่จงใจตั้งใจเป็นภาษาบาลีว่า “เจตนา”

- เพราะฉะนั้นเราเข้าใจว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเองตามลำพังไม่ได้ต้องอาศัยหลายๆ อย่างร่วมกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานเป็นจิตต้องมีสภาพรู้ซึ่งเป็นเจตสิกเป็นปัจจัยให้เกิดด้วย ธาตุรู้ที่เกิดอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นขณะที่พูดถึงจิตต้องรู้ว่ามีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมคือ เจตสิกเกิดพร้อมกันอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นจิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ปรุงแต่งให้เกิดร่วมไม่ได้ เจตสิกเกิดโดยไม่มีจิตเกิดด้วยไม่ได้ จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกเกิดด้วยไม่ได้แต่จิตไม่ใช่เจตสิก จิตเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้แจ้งเท่านั้น รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏที่จิตรู้

- เดี๋ยวนี้จิตเห็นเกิดขึ้นรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นสีเขียว สีเหลือง สีดำเป็นต้น ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นรู้แจ้งทีละ ๑ จะไม่รู้ว่าต่างกันอย่างไรแต่ละ ๑ ที่ปรากฏ

- จิตเห็นเกิดขึ้นไม่มีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตเห็นได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตแต่ไม่ได้ทำหน้าที่ของจิตแต่ทำหน้าที่ของตน เพราะฉะนั้นจิตเป็นเจตสิกได้ไหม เจตสิกเป็นจิตได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นบางครั้งเราพูดว่า นามธรรมทั้งหมด ๕๓

- เพราะฉะนั้นเจตสิกไม่ใช่จิตทำหน้าที่ของจิตไม่ได้ มีลักษณะของตนทำหน้าที่ของตน เดี๋ยวนี้มีจิตไหม (มี) มีเจตสิกไหม (มี) มีจิตไม่มีเจตสิกได้ไหม (ไม่ได้) มีเจตสิกไม่มีจิตได้ไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นคราวหน้าเราจะพูดถึงธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ยังไม่รู้จักธรรมทุกอย่าง เริ่มเข้าใจความหมายของ “ไม่ใช่เราเป็นอนัตตา” เพราะเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปเท่านั้น

- สำหรับวันนี้ก็ยินดีในกุศลของทุกคน และยินดีในกุศลของคุณสุขินผู้มีคุณด้วยค่ะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 20 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณสุขินในความเกื้อกูล ยินดีในกุศลของสหายธรรมชาวอินเดียผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลคุณอัญชิสาผู้อนุเคราะห์ตรวจทาน

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นและกราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 20 เม.ย. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 22 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ