ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๒
~ การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมีเหตุที่สมควร ไม่ใช่ว่าใครก็ตามนึกอยากจะเป็นก็ได้ และเมื่อได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะเห็นพระมหากรุณาที่ได้ทรงแสดงพระธรรมสำหรับพวกเราในยุคนี้ด้วย เพราะเหตุว่าคำสอนที่ผู้ได้รับฟังจากพระโอษฐ์ก็ได้สืบทอดต่อๆ มา จนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฎก และยังไม่สูญสิ้นไป เพราะฉะนั้น เราก็ยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรมแท้ๆ จากที่ได้ทรงแสดงแล้ว แล้วก็จารึกไว้ เพราะฉะนั้น จะเห็นพระมหากรุณาว่าแม้จะปรินิพพานไปแล้ว แต่พระธรรมก็ยังอยู่ เป็นศาสดาแทนพระองค์
~ แต่ละชาติก็สะสมอกุศลไว้มาก แต่ยังมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่เกิดมาไม่ใช่อย่างอื่นเลยนอกจากความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว และเข้าใจทีละคำ เป็นผู้ที่รอบรู้ในคำนั้นอย่างมั่นคง
~ ความหมายของเมตตาง่ายๆ คือ ความเป็นเพื่อน ซึ่งความเป็นเพื่อนก็หมายความว่าเป็นผู้ที่หวังดีพร้อมที่จะเกื้อกูล ไม่หวังร้าย ถ้าใครเป็นเพื่อนใครแล้วหวังร้าย พูดร้าย คิดร้าย ทำร้าย นั่นคือไมใช่เพื่อน แต่ถ้าเป็นเพื่อนจริงๆ จะไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น แม้ข้อความในพระไตรปิฎกท่านก็กล่าวว่าไม่แข่งดี เพราะฉะนั้น ถ้าใครเกิดคิดแข่งดีเมื่อไรกับใคร รู้ตัวเองว่าไม่ได้เป็นเพื่อนกับคนนั้น เพราะว่า ธรรมสำหรับใคร? ที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดสำหรับประโยชน์ของผู้ฟังผู้ไตร่ตรองผู้เข้าใจความจริง
~ ถ้าเรามีความเป็นมิตรกับคนอื่นบ่อยๆ ใจเราสบายมาก เราจะไม่มีศัตรูเลย รับรองได้จริงๆ ว่าเราไม่มีศัตรู เพราะใจเราไม่เป็นศัตรูกับใคร คนอื่นไม่ชอบเรา เขาเดือดร้อน เขาวุ่นวาย เขาไม่ชอบเรา แต่เรามีความเป็นมิตร หวังดี ช่วยเขา เราจะไม่เดือดร้อนเลย แต่คนที่ไม่ชอบเราที่เป็นศัตรูกับเรานั้นเดือดร้อนตลอด แล้วเราจะเป็นคนไหนดี คนที่เดือดร้อนกับคนที่ช่วยคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาโกรธเรา แต่เราก็ไม่โกรธเขา เราก็ช่วยเขาได้
~ ไม่มีใครสามารถบังคับธรรมได้เลย ไม่ว่าอกุศลธรรมหรือกุศลธรรม บางกาลกุศลธรรมก็มีปัจจัยที่จะเกิดมาก บางกาลอกุศลที่ยังไม่ได้ดับก็มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น แม้ว่าในชาติหนึ่งจะเป็นผู้ที่ได้พยายามอบรมตน ฝึกตน ขัดเกลากิเลส แต่เมื่อกิเลสยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท (คือ ยังไม่ได้ดับได้อย่างเด็ดขาด) ยังมีเชื้อที่จะทำให้เกิดขึ้น ก็ทำให้มีการกระทำซึ่งเป็นไปตามกำลังของกิเลสนั้นๆ
~ ฟังพระธรรมเพื่อที่จะได้เข้าใจความจริง ไม่รีบร้อนไปไหน ถ้าไปก็ผิด เพราะเหตุว่าไปด้วยความต้องการ เบิกบานานไหมที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจถูกว่ามีกิเลส เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อน ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์ แม้รู้ว่ามีกิเลส แต่เป็นความเข้าใจถูกก็เบิกบานที่ได้เข้าใจความจริงว่าเป็นผู้ที่มีกิเลส นั่น ถูกต้อง
~ ถ้าไม่มีความมั่นคงจริงๆ ปัญญายังไม่คมกล้า ก็ไม่สามารถที่จะสู้กับกิเลสอกุศลได้ และในวันหนึ่งๆ ลองสังเกตดูว่าอกุศลชนะบ่อยไหมหรือว่ากุศลชนะมากกว่า? ถ้าเป็นผู้ที่กุศลชนะมากกว่า ก็แสดงถึงความตั้งใจมั่นในกุศลที่จะไม่ยอมเปลี่ยนไปตามกิเลส
~ แม้ขณะที่ให้ก็เพื่อประโยชน์สุขของผู้รับเท่านั้นจริงๆ ธรรมเป็นเรื่องที่ตรง แล้วในขณะนั้นเป็นธรรมที่เห็นประโยชน์สุขของคนอื่น จึงได้ให้ ไม่ได้มุ่งหวังสิ่งใดเพื่อตนเอง ขณะนั้นก็จะเป็นการที่จะสละละความต้องการเพื่อตัวเอง
~ การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ให้ทราบว่าประโยชน์จริงๆ ที่ได้รับจากการเข้าใจธรรม คือ การขัดเกลากิเลส จะมีการละ การคลาย แต่ไม่ใช่โดยรวดเร็วหรือว่าไม่ใช่ด้วยความเป็นเราที่อยากจะหมดกิเลส
~ เมื่อมีกรรม ก็ต้องมีผลของกรรม แล้วผลของกรรมจะเป็นของคนอื่นได้ไหม นอกจากของผู้ที่ได้กระทำกรรมนั้น
~ เราก็ยังคงเป็นผู้ที่มีกิเลสมาก แล้วก็จะต้องมีการขัดเกลามาก จึงต้องอาศัยการฟังอีก อย่าคิดว่าฟังพอแล้ว แล้วเมื่อฟังแล้วยังต้องพิจารณาอีก จนกว่าจะเป็นปัจจัยให้มีปัญญาเพิ่มขึ้น แล้วปัญญานั้นก็ทำหน้าที่ของปัญญาเอง
~ ถึงแม้ว่าจะได้ทำสิ่งที่ผิดมานาน แต่ว่าเพราะการสะสมความเห็นที่ถูกต้องมา จึงทำให้บุคคลนั้นสามารถพิจารณาเข้าใจได้ว่าอะไรถูกและอะไรผิด แล้วก็สามารถที่จะมีกำลังที่จะทิ้งความเห็นผิดได้ เพราะว่าความเห็นผิด ถ้าคุ้นเคยมาก ก็ทิ้งยาก นอกจากว่าจะมีปัญญาที่สะสมมาจริงๆ ที่สามารถที่จะทิ้งได้
~ การฟังธรรมเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก เพราะถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ยินคำของพระองค์ ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นทุกครั้งที่ได้ฟังคำที่ตรัสด้วยพระองค์เองจากการที่ได้ทรงตรัสรู้
~ ธรรมที่ดีเกิดแล้วดับ ธรรมที่ไม่ดีเกิดแล้วดับ เริ่มเห็นความต่างกันเพราะเกิดบ่อยๆ แล้วก็สะสมต่างๆ กัน ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความจริง จะคิดเองได้ไหมว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใครแต่เป็นธรรมทั้งหมดแต่ละหนึ่งๆ หลากหลายตามปัจจัย
~ การตั้งจิตไว้ชอบ คือ ฟังพระธรรมเพื่ออะไร? ไม่ใช่ฟังเพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น แต่ฟังเพื่อเข้าใจความจริง เพราะทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมแต่ละคำให้เราเข้าใจ
~ ความจริงก็คือสิ่งที่มีจริงมีเมื่อเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย เพราะว่าแต่ละหนึ่งไม่ซ้ำกันเลย แม้แต่เดี๋ยวนี้เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด แต่ละหนึ่งต้องเกิดแน่นอนแล้วดับไปด้วย แต่ไม่มีการรู้ว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นและดับไปแล้ว เพราะการสืบต่อรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้
~ ได้ยินคำว่าทุกอย่างเป็นธรรม เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่เกิดเป็นธรรม เท่านี้ไม่พอ จนกว่าจะมีความมั่นคงขึ้นตามลำดับ การศึกษาทุกอย่างต้องเริ่มไปตามลำดับ จะมีความเข้าใจมากขึ้นโดยไม่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้นอย่างละเอียดเป็นไปไม่ได้
~ เริ่มเห็นคุณของพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งที่แท้จริงที่จะทำให้เราเกิดปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะว่าสิ่งอื่นพึ่งจริงๆ ไม่ได้เลย ทรัพย์สมบัติที่มีมาก ยุคนี้สมัยนี้ก็สูญหายกันไปได้ แต่ความดีหรือความเข้าใจธรรมจะติดตามไปได้ เมื่อฟังอีก ก็จะเข้าใจได้เร็วและสามารถเข้าใจขึ้นๆ ได้
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖๑
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ