Thai-Hindi 04 May 2024

 
prinwut
วันที่  4 พ.ค. 2567
หมายเลข  47723
อ่าน  274

Thai-Hindi 04 May 2024


- มีอะไรสงสัยไหม (คราวที่แล้วพูดเรื่องปัจจัยและเจตสิก ขอให้สนทนาเรื่องนี้ต่อ) เราพูดถึงเจตสิกกับปัจจัยใช่ไหม ทีละ ๑ เจตสิกหรือทีละ ๑ ปัจจัยดีไหม (เริ่มจากอะไรก็ได้) ลองถามคนอื่นสิคะ ต้องการฟังอะไร (เรื่องปัจจัย)

- เดี๋ยวนี้มีปัจจัยอะไร (เวลานี้มีวิบาก นั่นก็เป็นปัจจัยหนึ่ง) อะไรเป็นวิปากปัจจัยเดี๋ยวนี้ (เห็น) เห็นเป็นปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุบบัน (เจตสิกที่เกิดพร้อมกับเห็น) วิบากจิตเป็นเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากเจตสิกใช่ไหม (ใช่)

- วิบากจิตกับวิบากเจตสิก “เกิด” เป็นปัจจัยอะไรพร้อมกัน (เป็นสหชาตปัจจัย) แล้วเป็นปัจจัยอะไรอีก (นึกชื่อไม่ออกแต่เข้าใจว่า มีสหชาตปัจจัยและอีก ๑ ปัจจัยที่เป็นปัจจัยระหว่างจิตกับเจตสิก มีกับรูปไม่ได้ มีเฉพาะกับนามธรรม)

- เพราะฉะนั้นจำหรือเข้าใจ (จำ ถ้าจะถามว่าเข้าใจอะไร ไม่ทราบ) เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่สำหรับจำแต่สำหรับเข้าใจ

- เพราะฉะนั้นจิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน ต้องจำชื่อไหมหรือเข้าใจว่า จิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดพร้อมกันทุกครั้ง ไม่ใช่ให้จำว่า ”อะไร“ เป็นสหชาตปัจจัย หมายความว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยต้องเกิดพร้อมกับสิ่งที่เป็นปัจจยุบบัน

- นอกจากจิตเจตสิกเกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัยแล้ว มีอะไรอีกที่เกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัย (รูป) รูปอะไรเป็นปัจจัย (เห็นเกิดเมื่อไหร่มีสีเป็นอารมณ์ เข้าใจว่า สีเป็นสหชาตปัจจัย) เป็นไปไม่ได้เพราะเหตุว่า สีต้องเกิดก่อน ถ้าสีไม่เกิดก่อนจะกระทบจักขจุปสาทไม่ได้

- เพราะฉะนั้นจักขุปสาทเกิดพร้อมกับจิตเห็นได้ไหม (ได้) จักขุปสาทเกิดก่อนหรือเปล่า (เกิดก่อน) เพราะฉะนั้นเกิดพร้อมกันกับจักขุวิญญาณได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นจักขุปสาทเป็น “ปุเรชาตปัจจัย” แก่จักขุวิญญาณ

- เพราะฉะนั้นเราไม่ศึกษาชื่อและเรื่องของปัจจัยโดยที่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ธรรมลึกซึ้งมากกำลังมีอยู่ก็ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นการที่จะรู้คุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เมื่อรู้ว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ เราไม่มีวันที่จะรู้ความจริงว่าเห็นเดี๋ยวนี้เกิดเพราะอะไร

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ละเอียดขึ้นๆ ไม่ใช่รู้ชื่อรู้เรื่องแล้วจะละความเป็นเราได้แต่ต้องรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในชีวิตประจำวันทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงแต่เรายังไม่รู้

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมทำไม (เพื่อเข้าใจ) เข้าใจอะไร (สิ่งที่มีจริง) เมื่อไหร่ (เมื่อปรากฏ) ปรากฏเมื่อไหร่ (ตอนนี้) แน่นอนเพราะฉะนั้นต้องตรงคำถามเพราะปรากฏเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่ถ้าเขาตอบว่าเดี๋ยวนี้ จะค่อยๆ สนทนากับเขาเพื่อให้รู้สึกว่า เขาได้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แค่ไหน

- เดี๋ยวนี้มีอะไร (เห็น) เราเห็นหรือเปล่า (ไม่) นกเห็นหรือเปล่า (นกไม่เห็นหมายถึงว่า ”เห็น“ เห็นไม่ใช่นกเห็น) เพราะฉะนั้นไม่ใช่นกเห็นแต่ไม่ใช่นกไม่เห็น คนเห็น นกเห็น ปูเห็น ปลาเห็น ม้าเห็นใช่ไหม (ใช่)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- ถ้ารู้ว่า เห็นไม่ใช่นกเมื่อไหร่จะรู้ว่าไม่ใช่นกเห็น (มั่นคงว่าเป็นธรรม) พูดว่า “เห็น” แต่เดี๋ยวนี้ใครเห็น (จริงๆ แล้วยังเป็นเราแต่ถ้าพิจารณาแล้วถึงรู้ว่าไม่ใช่เราที่เห็น)

- เพราะฉะนั้นต้องฟังจนกว่าจะรู้ความจริง ค่อยๆ เข้าใจว่า เห็นเป็นธรรมอย่าง ๑ เท่านั้น ถ้าไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร เห็นเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ไม่มีการที่จะรู้ความจริงว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นไม่รีบร้อนที่จะไปจำปัจจัย แต่ค่อยๆ รู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย

- เพราะฉะนั้นพูดเรื่องจิต พูดเรื่องเจตสิก พูดเรื่องรูปเพื่อค่อยๆ เข้าใจว่า จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป เพราะฉะนั้นที่จะรู้ว่า จิตเป็นจิต ยากไหม (ยาก)

- เดี๋ยวนี้มีเจตสิกไหม (มี) เจตสิกอะไร (มีเอกัคคตา มีชีวิตินทริยะ) ทีละหนึ่งๆ รู้ทั้งสองอย่างแล้วหรือ ถ้าไม่รู้ก็ต้องเข้าใจทีละ ๑ (ชีวิตินทริยะ) ชีวิตินทริยะปรากฏหรือเปล่า (ไม่) แล้วชีวิตินทริยะคืออะไร (เข้าใจว่าเป็นเจตสิกที่เกี่ยวกับว่ามีชีวิตอยู่)

- หมายความว่า เจตสิกนี้มีชีวิตอยู่ในขณะไหน (ตอนที่มีอยู่ตอนนี้) เมื่อไหร่ (เห็น) ตอนเกิดมีชีวิตินทริยเจตสิกไหม (มี) รู้ได้อย่างไร (จากที่ฟัง) ไม่พอ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีชีวิตเพราะมีเจตสิกที่ดำรงชีวิตให้เห็น เพราะฉะนั้นการเห็นขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตเพราะมีเจตสิกที่มีชีวิตเกิดร่วมด้วย

- เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็นเป็นขณะที่มีชีวิตเพราะมีเจตสิกที่เป็น “ชีวิตินทริยเจตสิก” เกิดร่วมด้วย เดี๋ยวนี้มีอาช่าไหม (ไม่มี) มีอะไร (มีเห็น) เป็นอะไร (เป็นสิ่งที่มีจริงอย่าง ๑ ที่เกิดด้วยปัจจัยแล้วดับ) ถามถึงเห็น (นั่นคือคำตอบว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ) อะไรบ้างเป็นสิ่งที่มีจริงไม่เกิดเพราะมีปัจจัยแล้วดับ (มีแต่นิพพาน)

- ฟังดีๆ เขาบอกว่าขณะนี้มีอะไร (เห็น) ถามว่า เห็นเป็นอะไรไม่ใช่หรือ เขาตอบว่าอะไร (ตอบว่าเห็นเป็นสิ่งที่มีจริง) ทุกอย่างมีจริงแล้วเป็นเห็นหรือเปล่า

- (ขอถามใหม่) ถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร (เห็น) มีเห็น เป็นเห็นเพราะอะไร (เพราะว่าเห็นอยู่) เพราะว่าเห็นอยู่ ต่างกับเจตสิกอย่างไร (เพราะว่าเห็นเป็นจิต) ต่างกับเจตสิกอย่างไร (เพราะว่าเห็นเห็นสิ่งที่เห็นอย่างชัด) แล้วเจตสิกหล่ะ (เจตสิกไม่ได้รู้เหมือนที่จิตรู้)

- เวลาที่พูดถึงจิตขณะนี้เดี๋ยวนี้ คุณอาช่าคิดถึงเห็นที่กำลังเห็นและเรากำลังพูดถึงเรื่องเห็นหรือเปล่า (เวลานี้ไม่สามารถฟังด้วยดีเพราะคุณอาคิ่ลไม่สบาย คุณสุขินจะถามใหม่) คุณอาช่ามีโอกาสจะฟังไหมถ้าคุณอาคิ่ลยังป่วยอยู่ (สนทนาต่อเท่าที่เป็นไปได้)

- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมจุดประสงค์ของการสนทนาธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ต้องไม่ลืม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ กว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา แต่ละขณะเป็นธรรมแต่ละ ๑ ก็ต้องอีกนานมาก

- เพราะฉะนั้นการที่จะไม่ใช่เพียงจำชื่อ แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ความลึกซึ้งของธรรมอยู่ที่ธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ใช่อยู่ที่ชื่อต่างๆ เห็นทุกวัน เราพูดถึงเห็นแต่กว่าจะรู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับยากมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- ถ้าฟังมากๆ แต่ไม่เริ่มเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นฟังเรื่องเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้บ่อยๆ มีประโยชน์ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นไหม (มี) เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดเรื่องอื่นมากๆ แต่ไม่เริ่มคิดถึงเห็นที่กำลังเห็นแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

- พูดถึงจิตเห็นขณะนี้หรือว่าทำไมเห็นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เพราะแม้ว่าเราจะพูดถึงชีวิตินทริยเจตสิก แต่ชีวิตินทริยเจตสิกก็ไม่ได้ปรากฏเพราะกำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังเห็น แต่เมื่อเข้าใจว่า ขณะเห็นต้องมีชีวิตินทริยเจตสิกเกิดด้วย ถ้าจิตไม่มีชีวิตินทริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยก็ไม่ดำรงความเป็นสภาพรู้แม้เพียงชั่วขณะเดียว

- เพราะฉะนั้นสภาพที่ดำรงชีวิตที่เกิดกับจิตทำให้จิตที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ แม้เพียงมีชีวิตอยู่ ๑ ขณะก็ต้องอาศัยชีวิตินทริยเจตสิกเกิดขึ้นทำให้จิตนั้นดำรงเป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นทำให้มีความเข้าใจมั่นคงว่า จิตเจตสิกต้องเกิดพร้อมกันเป็น “สหชาตปจฺจย”

- เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพรู้ เจตสิกเป็นสภาพรู้ เจตสิกเกิดโดยปราศจากจิตไม่ได้ จิตก็เกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ ทั้งสองอย่างจึงเป็น “อัญญมัญญปัจจัย” ต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ต่อไปจะต้องเข้าใจละเอียดขึ้นๆ จึงสามารถค่อยๆ ละความไม่รู้ที่ทำให้ติดข้องในความเป็นเรา

- เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งและทรงพระมหากรุณาแสดงให้ฟังอย่างละเอียดยิ่ง เพื่ออะไร (ฟังเพื่อเข้าใจและลดความไม่รู้เป็นเหตุผลที่ฟัง) เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดคือละความไม่รู้ซึ้งเป็นเหตุให้เกิดอกุศลทั้งหลาย

- ถ้าเป็นคนที่มีสมบัติมาก มีความรู้มาก มีเกียรติยศมากแต่ไม่รู้ความจริง ดีไหม (ไม่มีประโยชน์) เพราะฉะนั้น “ดี” คืออะไร (สิ่งที่ดีที่มีประโยชน์คือความเข้าใจ) เพราะเป็นทางเดียวที่จะเป็นคนดี เพราะฉะนั้นเห็นพระคุณเห็นประโยชน์สูงสุดของการที่จะเป็นคนดีทีละเล็กทีละน้อยเมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

- เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดคือ ได้เข้าใจพระธรรมเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นคนดีขึ้นๆ จริงไหม (จริง) คุณสุขินดีไหม ดิฉันดีไหม (ถ้าถามสุขินไม่ดีแน่นอน) ไม่ใช่ (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ถามอาช่า ไม่เป็นไรถามเขา มีคุณสุขิน มีอาช่า มีอาคิ่ล มีดร.ราเจส (ไม่ดี) เพราะอะไร (เพราะจริงๆ แล้วมีแต่ธรรม มีแต่จิตเจตสิกรูป ไม่มีบุคคล ไม่มีสิ่งใด)

- เพราะฉะนั้นสุขินดีไหม อาช่าดีไหม ดร.ราเจสดีไหม เพราะอะไร (เพราะกุศลธรรมเกิดบ่อย) ถามว่าดีไหม เขาบอกว่าเพราะกุศลธรรมเกิดบ่อยหรือ

- (ท่านอาจารย์ถามว่า ยกตัวอย่างท่านอาจารย์และดร.ราเจส ถ้าจะบอกว่าเป็นคนดีเป็นเพราะอะไร คำตอบของอาช่าคือ เป็นเพราะกุศลธรรมเกิดบ่อยในกรณีนี้) ยังไม่ข้ามไปไหนเลย ตอบตรงคำถาม (ขอให้ถามใหม่)

- ถามว่า คุณสุขิน สุจินต์ ดร.ราเจส อาคิ่ล อาช่า อานิล ดีไหม (ไม่ใช่บุคคลพวกนี้ที่จะดี ที่ดีเพราะว่าธรรมที่เกิดนั้นดีถึงเรียกว่าดี) นั่นก็คิดแล้ว แต่คำถามถามว่า ดิฉัน คุณสุขิน ดร.ราเจส อาช่า อาคิ่ล อานิล ดีไหม (คำตอบของอาช่าว่าดี)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- เวลาดิฉันโกรธ ดีไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นต้องตรง เวลาดิฉันอยากให้คนเข้าใจถูกเพราะรู้ว่าธรรมลึกซึ้งมาก ถ้าไม่เริ่มสะสมความเข้าใจเดี๋ยวนี้ไม่มีทางที่จะรู้จักและเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นคนดีได้ทั้งหมด

- เวลาดิฉันไม่อยากให้ใครรู้ธรรมเพราะเขาเป็นคนเลว ดีไหม (ไม่ดี) เวลาดิฉันไม่อยากให้ใครเป็นคนเลว ดิฉันพยายามให้เขาเข้าใจธรรม ขณะนั้นดีไหม (ตอนนั้นดี)

- ดิฉันรู้ว่า คนนี้ไม่ดีแต่ดิฉันรู้ว่า ถ้าเขาได้เข้าใจธรรมขึ้น เขาจะค่อยๆ เป็นคนดีแล้วดิฉันพยายามที่จะให้เขาเป็นคนดีให้เข้าใจธรรม ขณะนั้นดีไหม (ดี)

- ถ้าดิฉันรู้ว่า ธรรมมีประโยชน์สูงสุดที่สามารถจะทำให้ทุกคนดีได้แล้วดิฉันพยายามทุกอย่างที่จะให้คนเข้าใจพระธรรม ดีไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างนี้ว่า ทุกคนที่ไม่รู้ความจริง มืดสนิทอยู่ในเหวลึกของความไม่รู้และจะจมอยู่ออกมาไม่ได้เลย พระองค์จึงทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะรู้ความจริงและให้คนอื่นได้รู้ด้วย ประเสริฐที่สุดไหม

- ดร.ราเจสจะช่วยให้คนอื่นเข้าใจธรรมไหม (คุณอาช่าตอบแทน รู้ว่า ดร.ราเจสพยายามอยู่เรื่อย มีโอกาสเมื่อไหร่ก็พูดธรรมให้คนอื่นเข้าใจ) เป็นความคิดของคุณอาช่าใช่ไหม (อาช่าคิดเอง)

- ก่อนคุณอาช่าพูด ดร.ราเจสพูดยาวมากว่าอะไร (อธิบายว่าถ้าไม่ฟังธรรมก็เป็นคนดีไม่ได้ พอฟังธรรมไปก็ดีขึ้น ผู้ที่ฟังธรรมไปก็เห็นอยู่ว่าดีขึ้น มีหนทางเดียวก็คือ ฟังธรรม ดร.ราเจสก็ช่วยคนอื่นให้เข้าใจธรรมเพื่อที่จะให้เขาเป็นคนดีขึ้น)

- เพราะฉะนั้นก็ยินดีอย่างยิ่งที่ทุกคนเห็นประโยน์สูงสุดของพระธรรม และร่วมกันร่วมแรงร่วมใจกันที่จะเผยแพร่พระธรรมไม่ว่าที่ไหน แม้แต่ดิฉันที่เมืองไทยและชาวต่างประเทศที่อยู่ประเทศนั้นๆ และทุกคน ถ้าทุกคนเห็นประโยชน์สูงสุดและช่วยกันทำให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรมด้วยเป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตใช่ไหม

- ผู้ที่ช่วยกันให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมเป็นผู้ที่รู้คุณและทำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเพราะไม่ใช่เพียงแต่รู้คนเดียวคนอื่นไม่รู้ แต่ว่าต้องการให้คนอื่นได้รู้จักพระพุทธเจ้าได้เห็นพระคุณสูงสุด และรู้ว่าถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนไม่สามารถที่จะเป็นคนดีได้

- คนไม่ดีจะช่วยเขาอย่างไรดี (แล้วแต่เหตุปัจจัย ไม่ว่าจะพูดอะไรสุดท้ายก็คือ พยายามให้เขาเข้าใจความจริง) เพราะฉะนั้นใครไม่ดีเราไม่โกรธ เราไม่เกลียด แต่เราเห็นใจและมีความเป็นเพื่อน นั่นคือเริ่มเป็นเมตตาบารมี

- ถ้าเห็นใครแล้วไม่ชอบ ขณะนั้นจะทำอะไร ควรทำอะไร (พยายามที่จะมีเมตตา) ถ้าเห็นเขาไม่ดีความไม่ดีเป็นของเขา แต่ขณะที่ไม่ชอบเขาเป็นความไม่ดีของเราเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องว่า ขณะนั้นมีสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ควรจะมีต่อไปไหม ถ้าเราเรียนเรื่องปัจจัยมากๆ ทุกปัจจัย พยายามเข้าใจปัจจัยทุกอย่างแต่ขณะที่ไม่ชอบ ขณะนั้นเป็นประโยชน์ไหม

- ถ้าขณะใดก็ตามที่เราเข้าใจคำเรื่องอกุศลทั้งหลายแต่ขณะนั้นเรายังต้องการทรัพย์สมบัติ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ดีไหม (ไม่มีประโยชน์) เพราะฉะนั้นไม่ลืมคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราเข้าใจถูกตามความเป็นจริงที่จะรู้ว่า เราเข้าใจพระธรรมแค่ไหนก็คือ เมื่อเราเริ่มเป็นคนดีขึ้นแค่ไหนที่แสดงว่าเราเข้าใจขึ้นเท่านั้น

- เราไม่ประมาทความลึกซึ้งของพระธรรมเลย เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังเรื่องชีวิตินทริยะแล้วยังสงสัยอะไรไหม (เวลานี้ไม่มีคำถาม) เพราะฉะนั้นยิ่งเข้าใจธรรมยิ่งเห็นความเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้เพราะเป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลาตามเหตุปัจจัย

- ไม่จำเป็นที่จะต้องไปรู้ชื่อของปัจจัยมากๆ แต่เพียงเข้าใจถูกว่า ชีวิตินทริยะคืออะไรและไม่ลืมว่า ธรรมทุกอย่างเพียงอาศัยปัจจัยเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมด รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ความรู้ต่างๆ เกิดเพราะปัจจัยแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยเป็นธรรมทั้งหมด

- เพียงรู้ว่า จิต ๑ ขณะก็ต้องมีชีวิตินทริยเจตสิกทำให้ดำรงอยู่ที่เพียงเห็น ๑ ขณะแล้วดับไปก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดให้ทุกคนเริ่มรู้คุณว่า แม้เพียงการที่ได้ยินเพียงคำธรรมคำ ๑ สามารถที่จะค่อยๆ มีความรู้เพิ่มเติมในความเป็นอนัตตาของธรรมนั้นได้โดยประการอื่นๆ

- กว่าจะรอบรู้ในความเป็นธรรมเพียง ๑ ว่า ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าไม่เริ่มฟังบ่อยๆ ฟังแล้วฟังอีกกว่าจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นในธาตุรู้ในจิตเจตสิกและรูปก็ต้องอาศัยคำของพระองค์ที่ทรงแสดงไว้มากมาย

- ต้องอดทนไหมที่จะเป็นคนดีเพราะเข้าใจความจริง อดทนที่จะรู้ว่า มีจิตที่เกิดทุกชาติก็ยังไม่รู้จักจิตโดยแท้จริง ถ้าไม่มีขันติบารมีที่จะอดทนที่จะฟังสิ่งเดียวซ้ำๆ บ่อยๆ จนกว่าจะไม่ลืม จนกว่าจะเริ่มสนใจ จนกว่าจะเริ่มเข้าใจถูกเพื่อละความไม่รู้ทั้งวันทุกวัน

- เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังแล้วเข้าใจก็จะทำให้อดทนที่จะรู้ว่า ความเข้าใจเกิดยากและน้อย วันหนึ่งๆ กุศลธรรมก็เกิดยากและกุศลธรรมที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งก็ยิ่งยาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีกุศลธรรมเลยหรือมีน้อยมาก ก็ต้องรู้ว่ากว่าจะพอที่จะฝ่าฟันคลื่นลมพายุของอกุศลยากแค่ไหนกว่าจะรู้ความจริง

- อดทนต่อไปไหมที่จะรู้ว่า อกุศลไม่มีประโยชน์เลยแต่กุศลแม้เพียงขณะ ๑ ก็มีประโยชน์เพราะทำให้ขณะต่อไปค่อยๆ เพิ่มขึ้น นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเมื่อนับถือพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ไม่ศึกษาไม่เข้าใจแล้วคิดว่านับถือ

- เป็นบุญสูงสุดในชีวิตในสังสารวัฏฏ์ใช่ไหมที่ได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ เพื่อรู้ว่าเป็นธรรมที่มีจริงๆ แม้ชีวิตินทริยะก็ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจ ก็ได้เริ่มรู้ได้เริ่มเข้าใจว่า ธรรมเกิดไม่ได้แน่นอนถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดแต่ละ ๑

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้จะเข้าใจ “สหชาตปจฺจย“ ”อญฺญมญฺญปจฺจย“ ได้ไหม กว่าปัญญาจะค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้นๆ และรู้ว่า นี่คือหนทางเดียวซึ่งเป็นอริยมรรคที่ ๔ ในอริยสัจจธรรมที่ ๔ ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความลึกซึ้งของธรรมซึ่งเป็นอริยสัจจะไว้ ๓ รอบ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

- (อาช่าต้องขอหยุดเพียงเท่านี้) ได้ค่ะ หวังว่าคุณอาคิ่ลจะสบายดี แต่เราสนทนากันต่อไปได้กับ ดร.ราเจส เชิญเลยค่ะ มีอะไรที่อยากจะรู้ไหม (ไม่เป็นไรถ้าอาคิ่ล อาช่าไม่อยู่ ได้ยินเท่าไหร่ก็เข้าใจเท่านั้น ดีกว่าไม่เข้าใจ) แต่อยากให้เขาเข้าใจขึ้น สนทนาต่อไปจะเป็นประโยชน์มาก

- ใครก็ได้ที่อยู่สนทนาได้เพราะเรายังมีเวลา เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด (ดร.ราเจสให้ท่านอาจารย์ถามได้ หรือจะสนทนาเรื่องอะไรก็ได้) อยากให้เขาคุย อยากให้เขาบอกว่า ขณะนี้เป็นอะไร

- (เวลานี้มีธรรมอยู่ตลอดแต่ถ้าถามว่ามีอะไร ไม่สามารถตอบได้) เห็นไหม (เห็น) จะบอกว่าไม่มีอะไรได้ไหม (พูดไม่ได้ว่าไม่มีอะไรเพราะมีเห็น มีได้ยิน มีเสียง)

- เพราะฉะนั้นเห็นมี แล้วเห็นเป็นอะไร (ดร.ราเจสยุ่งอยู่เพราะมีคนไข้ตลอด) ถ้าอย่างนั้นมีใครอีกไหม (ดร.ราเจสมาตอบว่า เป็นธรรมที่เกิดแล้วดับไม่มีใครบังคับบัญชาได้) เห็นเป็นสภาพรู้ว่ามีสิ่งที่ถูกเห็น ถ้าเห็นไม่เกิดมีเห็นไหม (ไม่) ใครทำให้เห็นเกิด (ไม่มีใครทำ) เห็นเกิดแล้วดับไหม (ดับ)

- เพราะฉะนั้นเราให้ดร.ราเจสคิดเองว่า มีอะไรบ้างตั้งแต่เกิดมา มีเห็น มีได้ยิน มีจำ มีคิด ฯลฯ ทุกอย่างมีจริงๆ แต่ว่าต่างกันเป็น ๒ ประเภท ไม่ใช่ตอบว่า “ธรรมๆ ” “มีจริงเป็นธรรม” แต่สิ่งที่มีจริงหลากหลายมากและต่างกันเป็น ๒ ประเภท

- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราเริ่มพูดใหม่ เราไม่ได้พูดว่า เราพูดเรื่อง “ธรรม” แต่เราพูดเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องคิด เรื่องชอบ เรื่องไม่ชอบ ทุกอย่างที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราพูดใหม่ก็ได้ กำลังพูดเรื่องอะไรกัน เรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องชอบ เรื่องคิด เรื่องอะไรต่างๆ เรื่องแข็ง เรื่องอ่อน เรื่องอาหาร ร้อนเย็น ฯลฯ เรากำลังพูดถึงเรื่องต่างๆ เหล่านี้ยังไม่ใช่คำว่า “ธรรม” เลย

- เพราะถ้าเราบอกเขาว่า จะสนทนาธรรม เขาไม่รู้จักธรรม แต่เราบอกเขาว่า วันนี้เราจะพูดเรื่องเห็น เรื่องคิด เรื่องจำ เรื่องสนุก เรื่องทุกข์ เขาเข้าใจได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็ถามเขาว่า เห็นมีจริงไหม คิดมีจริงไหม ชอบมีจริงไหม

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เริ่มให้เขาได้ยินคำว่า “ธรรม” แต่บอกว่า เราจะสนทนากันเรื่องเห็น ฯลฯ และเมื่อมีจริงสิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีจริงเป็น “ธรรม”

- เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มให้คนเข้าใจ ไม่ใช่ถามเขาว่า “ธรรมคืออะไร” “ธรรมมีอะไรบ้าง” เพราะฉะนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจธรรมได้ใช่ไหมว่า ทุกอย่างที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ เป็นธรรมที่ไม่ปะปนกัน

- ถ้าคนไข้ถามว่า คุณราเจสพูดอะไร เราก็บอกว่า พูดเรื่องเห็น เรื่องคิด เรื่องจำตามที่เราเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เช่น เห็นต้องเกิดถ้าไม่เกิดมีเห็นไหม ก่อนได้ยินไม่มีเสียงปรากฏ

- เพราะฉะนั้นถ้าคุณราเจสสนใจที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมก็พูดเรื่องสิ่งที่มีให้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า สิ่งที่มีต้องเกิดขึ้น ไม่เกิดไม่มี ไม่ใช่บอกอะไรๆ เขาหมดแต่ให้เขาเริ่มฟังทีละคำและคิดทีละคำเป็นความเข้าใจของเขาเอง ให้เขาเริ่มเข้าใจตั้งแต่ต้นโดยคิดเอง ดร.ราเจสอาจจะเริ่มตั้งแต่ต้นว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร เขาพอจะคิดได้ใช่ไหม ให้เขาคิดซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะให้เขาได้เริ่มเข้าใจด้วยตัวเขาเองว่ามีอะไรบ้าง

- ยินดีในกุศล ขอบคุณคุณสุขินมากๆ ที่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจธรรม ยินดีในกุศลของทุกคนค่ะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 4 พ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาคุณสุขินผู้แปลคำจริงเป็นภาษาฮินดีเพื่อประโยชน์แก่สหายธรรมชาวอินเดียผู้มีโอกาสได้ยินได้ฟังทุกท่าน

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นและกราบยินดีในกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 4 พ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง ไพเราะจับใจอย่างยิ่ง ครับ
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ