ธรรมอยู่ไหน?_สนทนาธรรมไทย-ฮินดี The Revanta Lucknow

 
เมตตา
วันที่  25 พ.ค. 2567
หมายเลข  47765
อ่าน  303

เดี๋ยวนี้กำลังศึกษาธรรมหรือเปล่า?_สนทนา ไทย-ฮินดี The Revanta Lucknow

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 770-771

ปัญญาวรรค อภิสมยกถา

ว่าด้วยความตรัสรู้

[๖๙๕] คำว่า ความตรัสรู้ ความว่า ย่อมตรัสรู้ด้วยอะไร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิต ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตหรือ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีญาณก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคลผู้ไม่มีญาณตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยญาณ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณหรือ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยจิตและญาณ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยจิตและญาณหรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยกามาวจรจิตและญาณซิ ย่อมตรัสรู้ด้วยกามาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยสัจจานุโลมิกจิต และญาณซิ ตรัสรู้ด้วยสัจจานุโลมิกจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นอดีตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอดีตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณไม่ได้ (แต่) ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณ ในขณะโลกุตรมรรค.

[๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรคอย่างไร?

ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรคอย่างนี้.


ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม

ชาวอินเดีย: ครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม?

ชาวอินเดีย: มี

ท่านอาจารย์: อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้?

ชาวอินเดีย: ที่เรานั่งฟังธรรมอยู่ นี่คือธรรม

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: เป็น

ท่านอาจารย์: ตา เป็นธรรมหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: เป็น

ท่านอาจารย์: ตา กับเห็น เหมือนกันหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ต่างกันครับ

ท่านอาจารย์: ต่างกันตรงไหน?

ชาวอินเดีย: ผมแค่รู้ว่าต่างกัน และก็คิดด้วยความจำว่า ตา นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ส่วน เห็น ก็คืออีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกันครับ

ท่านอาจารย์: ตา รู้อะไรไหม ตาเห็นไหม?

ชาวอินเดีย: ตาก็รู้ได้ ตารู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ท่านอาจารย์: เห็น เป็นตาหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ต่างกันครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตาไม่เห็น สิ่งที่กระทบตาก็ไม่เห็น แต่เพราะมีสิ่งที่กระทบตา เห็นเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่ตาเห็น

ชาวอินเดีย: ต่างกัน ตาไม่เห็น

ท่านอาจารย์: ตาไม่เห็น สิ่งที่กระทบตาไม่เห็น เพราะฉะนั้น ตาไม่ใช่สิ่งที่กระทบตา เพราะฉะนั้น ตาไม่เห็น สิ่งที่กระทบตาไม่เห็น แต่เมื่อสิ่งที่กระทบตาจึงเกิดสภาพเห็นเดี๋ยวนี้

เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังเห็นจริงๆ อะไรเป็นธรรม?

ชาวอินเดีย: เฉพาะสิ่งที่เห็นเป็นธรรม

ท่านอาจารย์: ตา เป็นธรรมหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ตา เป็นธรรม

ท่านอาจารย์: เห็น เป็นธรรมหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: เป็น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตา เห็นหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ตา เห็นครับ

ท่านอาจารย์: เห็น กับตา เหมือนกันไหม?

ชาวอินเดีย: ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่า ตา ไม่เห็นครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มี จมูก ไหม?

ชาวอินเดีย: มี

ท่านอาจารย์: มีกลิ่นไหม?

ชาวอินเดีย: ไม่มีกลิ่นครับ

ท่านอาจารย์: มีจมูก แต่ไม่มีกลิ่น?

ชาวอินเดีย: ครับ

ท่านอาจารย์: จมูก อยู่ไหน?

ชาวอินเดีย: มีจมูก

ท่านอาจารย์: มีกลิ่นไหม?

ชาวอินเดีย: มีอยู่เรื่อยๆ

ท่านอาจารย์: จมูก เป็นกลิ่นหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ไม่เป็น

ท่านอาจารย์: กลิ่นรู้อะไรได้ไหม?

ชาวอินเดีย: กลิ่นไม่รู้อะไรครับ

ท่านอาจารย์: จมูก รู้อะไร?

ชาวอินเดีย: รู้กลิ่นครับ

ท่านอาจารย์: ถามว่า จมูกได้กลิ่นไหม?

ชาวอินเดีย: ไม่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีจมูก มีกลิ่น แต่ถ้ากลิ่นไม่กระทบจมูก จะได้กลิ่นไหม?

ชาวอินเดีย: ไม่ได้

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อะไรเป็น ธรรม ขณะได้กลิ่น?

ชาวอินเดีย: มีกลิ่น มีจมูก และมีได้กลิ่น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กลิ่นไม่รู้อะไร จมูกไม่รู้อะไร แต่ได้กลิ่น ขณะนั้นรู้กลิ่น ธรรม มีจริงไหม?

ชาวอินเดีย: มีจริงครับ

ท่านอาจารย์: ธรรมต่างกันไหม แต่ละหนึ่งธรรม?

ชาวอินเดีย: ต่างกันครับ

ท่านอาจารย์: ธรรมต่างกันเป็น ๒ อย่าง ธรรมอย่างหนึ่งประเภทหนึ่ง มีจริง เกิดจริง แต่ไม่รู้อะไร แข็ง แข็งเกิดเป็นแข็ง ไม่รู้อะไรเลย นอกจากเป็นแข็ง

เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีจริง เกิดจริง มีลักษณะแต่ละหนึ่ง แต่ไม่รู้อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นรูปธรรม

เพราะฉะนั้น สภาพรู้ เช่น เห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยิน มีเสียงปรากฏ และก็สภาพรู้เสียงคือได้ยิน กลิ่นมี จมูกมี แต่สภาพรู้กลิ่นเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น สภาพรู้ทั้งหมด พระองค์ใช้คำว่า นามธรรม

เดี๋ยวนี้เรากำลังศึกษาธรรมหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ศึกษาครับ

ท่านอาจารย์: ธรรม อยู่ไหน?

ชาวอินเดีย: ที่เห็นอยู่ ที่ได้ยินอยู่ เป็นธรรมครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตลอดทั้งชาติเป็นธรรม เป็นนามธรรม รูปธรรม ใช่ไหม?

ชาวอินเดีย: ใช่ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ความจริงคืออะไร?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่มีตัวตน

นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก ไม่ใช่ตัวตน

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 25 พ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ