ลักษณะของธรรมะ
ผมพอสรุปลักษณะของธรรมะได้ดังนี้.
1.ไม่แน่ไม่นอน 2.บอกเวลาเกิดดับไม่ได้3.ละเอียดลึกซึ้งเข้าใจยาก4.เป็นแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย5.ไม่มีตัวไม่มีตน.6.ไม่ใช่สัตว์บุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มนุษย์เรียกให้ความหมายกัน.7.เกิดจากเหตุปัจจัยแน่ๆ หลายๆ เหตุปัจจัย.8.เกิดจากการสะสมจากอดีตกับปัจจุบัน.9.เกิดดับมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน.10.ควบคุมบังคับบัญชาให้เกิดดับเมื่อไหร่อย่างไรไม่ได้ 11.บอกอดีตบอกอนาคตไม่ได้. 12.ทุกสิ่งคือธรรมะทั้งหมด..หรือทุกสิ่งคือปกติหรือธรรมดา..ผมคิดได้ประมาณนี้ .ขอความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมด้วยครับ ... หรือสิ่งใดที่เป็นความเห็นผิดช่วยชี้แนะด้วยครับ..
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ขอให้ค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาสะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละเล็กทีละน้อย
๑. ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งใดก็ตามที่จะเกิด ล้วนเกิดเพราะเหตุปัจจัย แน่นอนที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ความจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
๒. ธรรมที่เกิด มีอายุที่สั้นแสนสั้น เมื่อเกิดแล้วก็คล้อยไปสู่ความดับ และดับไปในที่สุด
๓. "ธรรมละเอียดลึกซึ้งเข้าใจยาก" นั่นเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ถึงแม้ว่าจะละเอียดลึกซึ้งและยากเพียงใด ผู้ที่เห็นประโยชน์ ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา ก็สามารถเข้าใจได้
๔. ธรรม แต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกัน และไม่ปะปนกันด้วย
๕. ไม่มีตัว ไม่มีตน นั่นถูกต้อง เพราะมีแต่ธรรมเท่านั้น
๖. "ไม่ใช่สัตว์บุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่มนุษย์เรียกให้ความหมายกัน" ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ที่กล่าวว่าเป็นคนนั้นคนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็เพราะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปนั่นเอง
๗. "เกิดจากเหตุปัจจัยแน่ๆ หลายๆ เหตุปัจจัย" เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เช่น เห็น เกิดเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง ต้องอาศัยตาเป็นที่เกิด ต้องมีสีเป็นอารมณ์ ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตเห็น ต้องมีกรรมเป็นเหตุให้เกิดเห็น แสดงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตาจริงๆ
๘. "เกิดจากการสะสมจากอดีตกับปัจจุบัน" ตรงนี้กล่าวถึงความเป็นจริงของแต่ละชีวิตที่เกิดมา แตกต่างกันตามการสะสม ที่มีพฤติกรรมความประพฤติอย่างไร ก็เป็นเพราะเคยสะสมมาแล้ว และจะสะสมเหตุใหม่ต่อไป ที่ประเสริฐที่สุดคือการสะสมความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม
๙. "เกิดดับมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน" ถูกต้องอย่างแน่นอน กว่าจะมาถึงขณะนี้ ผ่านมาแล้วกี่ขณะ นับชาติไม่ถ้วนเลยจริงๆ
๑๐. "ควบคุมบังคับบัญชาให้เกิดดับเมื่อไหร่อย่างไรไม่ได้" เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเพราะธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
๑๑. "บอกอดีตบอกอนาคตไม่ได้" ควรจะได้พิจารณาว่า สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับแล้วนั้น เป็นอดีต ที่จะเกิดต่อไป เป็นอนาคต ความจริงเป็นอย่างนี้ จะรู้หรือไม่รู้ ความจริงก็เป็นเช่นนี้
๑๒ "ทุกสิ่งคือธรรมะทั้งหมด..หรือทุกสิ่งคือปกติหรือธรรมดา" ควรที่จะได้เข้าใจว่า
ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้นย่อมมีลักษณะของแต่ละธรรม สิ่งที่มีจริง ประมวลแล้วไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก รูป และนิพพาน แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง มีความเป็นจริงของแต่ละธรรม ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ Kuat639 และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
เกิดและดับทันที.มีการสะสมมานานนับชาติไม่ถ้วน.ยากที่จะเข้าใจอย่างประจักษ์แจ้ง..ถ้าเกิดแล้วไม่ดับทันทีสภาพธรรมอื่นก็เกิดไม่ได้.รวดเร็วคล้ายๆ เวลาวินาทีดิจิตอล.ละเอียดถี่ยิบ.ไม่สามารถเป็นคน สัตว์ เรื่องราวสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์สมมุติเรียกได้..
ความจริง ละเอียดลึกมาก ยากต่อความเข้าใจ.เพราะทีผ่านมาความจริงถูกปกปิดโดยอวิชชาหนาแน่นมากๆ นับชาติไม่ถ้วน..
1.ธรรมะมีจริงแต่ละหนึ่ง (คล้ายๆ คำแต่ละคำ) เดี๋ยวนี้เท่านั้นไม่ปนกัน
2.ธรรมะถูกสะสมมานับชาติไม่ถ้วนเหมือนเวลาและจะถูกสะสมต่อไปนับชาติไม่ถ้วนหาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
3.ธรรมะไม่ใช่เราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด
4.ธรรมะเกิดดับอยู่ตลอดเวลานานแสนนานโดยไม่รู้
5.ธรรมะยากละเอียดลึกซึ้ง.
6.ธรรมะมีมากหลากหลายมหาศาลเกิดดับเร็วมากไม่พร้อมกันเลยแต่ละหนึ่ง..แต่เหมือนยังไม่ดับยังคาอยู่
7.ธรรมะบังคับบัญชาให้เกิดดับตอนไหนมากน้อยอย่างไรไม่ได้
8.ธรรมะเกิดเพราะเหตุปัจจัยมากมาย
9.คนไม่เคยได้ยินได้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้เลย.โดยเฉพาะคำถามว่า คืออะไร? (ไม่สามารถตอบได้) เพราะคนไทยเอาคำภาษาบาลีมาใช้โดยไม่เข้าใจ
10.ธรรมะมีอยู่แต่ไม่ปรากฏตามความเป็นจริง (คือการปรากฏหนึ่งเดียวเท่านั้น) เห็นการปรากฏเกิดดับขั้นประจักษ์แจ้ง.
11.ธรรมะที่ปรากฏมากที่สุดคือความไม่รู้ (อวิชชา) ปรากฏทั้งวัน