สนทนาธรรมไทยเนปาล ณ โรงแรม Lumbini Zambala ลุมพินี ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗

 
prinwut
วันที่  6 มิ.ย. 2567
หมายเลข  47814
อ่าน  255

สนทนาธรรมไทยเนปาล ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗


- (สามเณรท่านหนึ่งถามว่า การฝันกับกรรมของเรามีความสัมพันธ์กันอย่างไร) เดี๋ยวนี้กำลังฝันอยู่หรือเปล่า (ไม่ได้ฝัน) เดี๋ยวนี้ไม่ฝันกับฝันต่างกันอย่างไร (ตอนฝันไม่ได้เห็นอะไร แต่ตอนนี้เห็นแล้วคิดซึ่งต่างกับตอนนอนหลับที่ไม่ได้เห็นอะไร)

- เข้าใจถูกต้องเจ้าค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้กำลังเห็น กำลังได้ยิน ”จริงๆ “ แต่ขณะที่ฝัน ”เหมือนเห็น เหมือนได้ยิน“ แต่ไม่เห็น ไม่ได้ยินเลย

- ทั้งชีวิตก็มีแต่ตื่นกับหลับแล้วฝัน อะไรจริง (สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยินคือ ความจริง) ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ชีวิตนี้มีตื่น มีหลับ มีฝัน อะไรจริง (สิ่งที่เราได้ยินคือ ความจริง) ๓ อย่างเจ้าค่ะ ตื่น หลับ ฝัน อะไรจริง (นอกจากนอนหลับ ทุกอย่างคือ ความจริง)

- นอนหลับ จริงหรือเปล่า (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นกำลังฝันก็ไม่รู้ กำลังตื่นก็ไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ต้นไม้ตื่นไหม ต้นไม้ฝันไหม ต้นไม้เห็นไหม (ต้นไม้ก็หลับ ก็ตื่น)

- หมายความว่าอย่างไร (ต้นไม้ไม่ฝัน ต้นไม้ไม่เหมือนมนุษย์ ต้นไม้จึงไม่ได้ฝัน) ต่างกันตรงไหน (ความฝันไม่เป็นความจริง ไม่มีความจริง) ฝันจริงไหม (ไม่จริง) ฝันจริงหรือเปล่า (บางครั้งก็ฝัน) ฝันมีจริงไหม (มีจริง) แต่ไม่รู้ว่า ”อะไร“ ฝัน

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง ถ้ารู้ว่า ขณะนี้มี ”อะไร“ จะสามารถรู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจะรู้ฝัน จะรู้หลับ จะรู้ตื่น ก็ต่อเมื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่ามีจริงๆ

- เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือว่า มีสิ่งที่มีจริงแต่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีหรือเปล่าว่าเป็น ”อะไร“

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นปรากฏ ทั้งหมดมีจริงในขณะที่ปรากฏเพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังเห็น ”เห็น“ ปรากฏให้รู้ว่ากำลังเห็นและเห็น ”เห็น“ สิ่งที่ปรากฏให้รู้จึงชื่อว่า ”เห็น“ สิ่งหนึ่งสิ่งใด

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีเห็นแน่นอน เมื่อมีเห็นก็ต้องมี "สิ่งที่ถูกเห็น“ ด้วย เพราะฉะนั้นเห็นต้องต่างกับสิ่งที่ถูกเห็น

- ได้ยินมีจริง ได้ยิน ”ได้ยิน“ เสียง ต้องได้ยินเสียงเท่านั้นได้ยินอย่างอื่นไม่ได้แต่ได้ยินไม่ใช่เสียงและ ”เสียง“ มีจริงๆ ไม่ใช่ได้ยิน ถ้าไม่เริ่มไตร่ตรองรู้ความจริงของได้ยินกับเสียงก็จะไม่รู้ความจริงของอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น

- ได้ยินเป็นได้ยิน เสียงเป็นเสียง เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นต่างกับสิ่งที่ปรากฏ ขณะที่กำลังรับประทานอาหารมีรสต่างๆ รสปรากฏแต่ไม่ใช่ขณะที่มีการลิ้มรสและรู้รส รสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว ไม่รู้อะไรเลยแต่ขณะใดที่รสปรากฏมีสภาพที่เกิดขึ้น ”ลิ้มรส“ นั้น รสนั้นจึงปรากฏได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ที่เห็นมีความจริง ๒ อย่าง สภาพที่เห็นรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร เขียว หรือขาว หรือดำและสภาพที่เขียว ขาว ดำ ไม่รู้อะไรเลย จริงไหมเจ้าคะ (จริง) นี้คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม ถ้ากลิ่นไม่เกิดจะมีกลิ่นไหม (ไม่ได้) ถ้าสภาพรู้ไม่เกิดขึ้นรู้กลิ่น กลิ่นจะปรากฏว่า มีกลิ่นได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นถ้าสภาพรู้ไม่มี สภาพรู้ไม่เกิดจะมีอะไรปรากฏไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ความจริง ทุกขณะต้องมีสภาพรู้หรือธาตุรู้เกิดขึ้นรู้จึงปรากฏว่า มีทุกสิ่งทุกอย่างทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยประการทั้งปวง พระองค์ทรงตรัสรู้ว่า สิ่งที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท สภาพที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้จึงมีสิ่งที่ปรากฏและสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้

- ทุกวันตั้งแต่เกิดจนตายมีสภาพรู้ ขณะหลับสนิทมีไหมเจ้าคะ (ไม่มี) ตายแล้วหรือยัง (ตอนนอนก็มี) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจมั่นคงมีสภาพรู้เกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้

- ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แต่ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เป็นสีสันวรรณะกระทบตา จิตที่เป็นสภาพรู้ก็ยังคงรู้แต่ไม่เห็น สภาพรู้เกิดขึ้นต้องรู้ ถ้าเสียงไม่กระทบหูธาตุรู้ก็ไม่ได้ยินเสียงแต่รู้อย่างอื่น

- เพราะฉะนั้นแม้หลับสนิทก็มีธาตุรู้แต่ถ้าไม่รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็คิดนึก สิ่งที่มีจริงตลอดวันมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก ถ้าธาตุรู้ไม่เกิดเลยก็จะไม่ได้ยิน ไม่เห็น ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก

- เห็นกับได้ยินต่างกันไหมเจ้าคะ (เห็นกับได้ยินเป็นสองอย่าง ไม่ใช่อันเดียวกัน ต่างกัน) ขณะที่ได้ยิน รู้แต่ไม่ได้เห็น ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแต่รู้เสียง ขณะที่เห็นสภาพรู้เกิดขึ้นรู้แต่ไม่ใช่ได้ยินเสียงขณะที่เป็นเห็น

- ขณะที่กำลังเห็น ฝันหรือเปล่า (ไม่ได้ฝัน) ถูกต้องเจ้าค่ะ ขณะคิด ฝันหรือเปล่า (ตอนเวลาคิดไม่ได้ฝัน) คิดรู้อะไร (สิ่งที่คิดรู้เสียงนั้น) รู้เสียงไม่ได้คิดเพราะรู้เสียงเปลี่ยนไม่ได้ รู้เสียงต้องรู้เสียงไม่ใช่คิด

- เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นต้องรู้แต่ต่างๆ กันไปตามปัจจัย ขณะกำลังได้ยินเป็นธาตุรู้หรือเป็นเรา (ขอฟังอีกครั้ง) ขณะที่กำลังได้ยินเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นต้องรู้ ขณะนั้นกำลังรู้เสียง เป็นเราหรือเปล่า (เราเป็นคนได้ยิน) ได้ยินเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ถ้ายังไม่ได้ยินได้ยินก็ไม่เกิด

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดจะเกิดเองไม่ได้ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดจึงเกิดได้ สิ่งที่เป็นจริงเปลี่ยนไม่ได้

- เห็นเกิดขึ้นเห็น เปลี่ยนเห็นให้เป็นสิ่งที่ปรากฏได้ไหม (ไม่ได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างที่มีจริงเกิดขึ้นจริงเป็นสิ่งนั้นจริงๆ แต่ละหนึ่ง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรมเพราะมีจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- ทุกอย่างไม่เว้นเลยที่มีจริง จริง ปรากฏให้รู้ว่ามีจริงทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ หลากหลายมากไม่ใช่อย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นจะรู้จักธรรมไม่ใช่รู้จักชื่อแต่สิ่งที่มีจริงปรากฏว่า มีจริงแต่ละ ๑ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ จึงเป็นธรรมแต่ละ ๑ คือ สิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑

- เสียงเป็นกลิ่นหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นเสียงมีจริงเป็นธรรมที่เป็นเสียง ๑ กลิ่นมีจริงเป็นธรรมที่มีจริงเป็นกลิ่น เปลี่ยนกลิ่นให้เป็นหวานได้ไหม (เปลี่ยนไม่ได้) กลิ่นไม่ใช่หวาน หวานไม่ใช่กลิ่น เปลี่ยนกลิ่นให้เป็นหวานไม่ได้ เปลี่ยนหวานให้เป็นกลิ่นไม่ได้ อะไรเป็นธรรม (ไม่รู้)

- กลิ่นมีจริงไหม (มีจริง) สิ่งที่มีจริงทุกอย่างสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมเพราะคำว่า ธรรมหมายถึงทุกอย่างที่มีจริง จริง มีลักษณะให้รู้ว่ามีจริงๆ

- กลิ่นมีจริงหรือเปล่า (มีจริง) กลิ่นเป็นธรรมหรือเปล่า (ใช่) เริ่มรู้จักธรรมไม่ใช่เพียงเข้าใจชื่อธรรม ธรรมมีจริงๆ ทุกอย่างที่กำลังปรากฏว่า มีจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

- นอกจากเสียง นอกจากกลิ่น นอกจากเห็น นอกจากคิด อะไรเป็นธรรมอีก (ไม่มี) อะไรอีกเจ้าคะ บอกมาเยอะๆ ทีละหนึ่งๆ จะได้รู้ว่า อะไรเป็นธรรมบอกให้หมดว่าอะไรเป็นธรรมแต่ละ ๑ คิด จำ รู้สึก (มีสิ่งที่ทำงาน ตาที่เห็น หูที่ได้ยิน) ไม่ต้องคิดถึงทำงาน มีเท่านั้น (มีอะไร) มีกลิ่น มีเห็น ไม่ต้องคิดถึงทำงานแต่คิดถึงเห็นจริง คิดถึงกลิ่นจริงๆ

- อะไรบ้างเป็นธรรม (คือตาเห็นก็เห็นอย่างเดียว) ทีละหนึ่งเจ้าค่ะ เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เพราะอะไรทำไมเห็นเป็นธรรม (งานของตาก็คือเห็น หน้าที่ของตาก็คือเห็น) หน้าที่อีกแล้ว ไม่ได้พูดเรื่องหน้าที่ พูดถึงตาไม่พูดถึงหน้าที่อะไร ตาเป็นธรรมหรือเปล่า (ตาคืออวัยวะของร่างกาย ตาไม่ใช่เป็นธรรม ท่านภันเตแปลตามที่สามเณรตอบ)

- พระพุทธเจ้าตรัสคำว่า ธรรม ไม่ต้องคิดเองแต่ว่า ตามีจริงๆ หรือเปล่า (มี) สิ่งที่มีจริงๆ เป็นอะไร (ตาก็เป็นธรรม) สิ่งที่มีจริงๆ เป็นอะไร (เป็นธรรม) ตามีจริงไหม (ตาก็ต้องเป็นธรรม)

- เพราะฉะนั้นมีธรรมอื่นเพราะสิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่างมีลักษณะให้รู้ว่า มีจริงๆ เป็นธรรมคือ เป็นความเป็นจริงของสิ่งนั้นเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นนอกจากตา นอกจากกลิ่น นอกจากได้ยิน นอกจากเสียง นอกจากจำ อะไรเป็นยังเป็นธรรมอีก

- เมื่อวานนี้มีอะไรบ้าง (เหมือนวันนี้ เมื่อวานมีอะไรก็เหมือนที่มีวันนี้) เพราะฉะนั้นวันนี้มีอะไร (วันนี้มีทั้งอุบาสกอุบาสิการ่วมกันสนทนาธรรม นี่คือ ที่มีจริง) ถ้าไม่มีธาตุรู้จะมีอุบาสกอุบาสิกาไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้มีอุบาสกอุบาสิกาหรือมีธาตุรู้ (มีธาตุรู้) เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธาตุรู้ ไม่มีอะไรปรากกเลย จะมีใครไหม (ไม่มี)

- เดี๋ยวนี้กำลังเห็น มีอุบาสกอุบาสิกาไหม (มี) มีได้อย่างไร มีเห็น เห็นก็ต้องเป็นเห็น จะมีอุบาสกอุบาสิกาได้อย่างไร ในเมื่อบอกมีเห็นก็ต้องเป็นเห็น (ไม่มี มีแต่เห็นอย่างเดียว) เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่า ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ จะเป็นอะไรไม่ได้ เห็นเป็นเห็น

- ต้องไม่ลืม เห็นอะไร อีกครั้งหนึ่ง ตอนแรกบอกว่าเห็นอุบาสกอุบาสิกาแต่ถามว่า เห็นเป็นเห็นแล้วสิ่งที่ถูกเห็นเป็นอะไร (ตอนแรกรู้เพียงว่า ตาเป็นให้เห็น แต่ลึกซึ้งกว่านี้เป็นจิตเห็น)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- เพราะฉะนั้นเห็นอะไร ถ้าคิดให้ละเอียด (เณรเห็น อุบาสกอุบาสิกาเห็น) ถ้าคิดละเอียด เห็นสิ่งที่กระทบตา (มีสว่างมากระทบตาจึงเห็น) ไม่เรียกว่า สว่าง แต่เป็นสิ่งที่กระทบตาได้ไหม (ไม่ได้ ถ้าไม่สว่างก็ไม่เห็น)

- เห็นมืดไหม (เห็น) เพราะฉะนั้นเห็นมืดไหม (มืด) เพราะฉะนั้นไม่ใช่ชื่อสว่างหรือมืดแต่ต้องเห็นเฉพาะสิ่งที่กำลังกระทบตา เห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังไหม (ไม่) ทำไมไม่เห็น (สิ่งที่อยู่ข้างหลังไม่ได้มากระทบตา) ถูกต้อง

- สิ่งที่กระทบตาเป็นธรรมหรือเปล่า (ใช่เป็นธรรม) เมื่อวานนี้มีธรรมอะไรบ้าง เมื่อวานนี้จำไม่ได้ เมื่อเช้านี้มีอะไรบ้าง (มีงานที่อาจารย์สอนธรรมที่มายาทีวี) พูดถึงสิ่งที่มีจริง ถ้าบอกว่ามีงาน งานคืออะไร (เมื่อเช้ามีสิ่งที่ตาสัมผัส) ตาทำงานอีกแล้ว (ตาไม่ได้ทำงาน ตาที่มาสัมผัส) รู้หรือว่าตาสัมผัส เมื่อเช้านี้รู้ว่า ตาสัมผัสจริงหรือ (รู้)

- ใครรู้บ้าง เมื่อเช้านี้ตาสัมผัส (มีแสงสว่างมากระทบที่ตาแล้วค่อยมีสีต่างๆ) เมื่อเช้านี้คิดอย่างนี้หรือ (ไม่ได้คิด) ไม่ได้คิดเพราะฉะนั้นถามว่า เมื่อเช้านี้ “มี” เท่านั้น มีอะไรบ้าง (มีจิตกับอินทรีย์ ๕) ไม่รู้จัก ยังไม่ได้พูดถึงอินทรีย์ ยังไม่ได้พูดถึงจิต (มีตา) มีตาแล้วจิตคืออะไร มีจิต (คือความจริง) ใจคืออะไร (ไม่รู้)

- เพราะฉะนั้นมีแต่คำ มีแต่ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร (ไม่รู้) ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เพียงให้ฟังแล้วจำแล้วคิดเองแต่ต้องไตร่ตรองเอียดลึกซึ้งจึงสามารถจะรู้ได้ว่า เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แค่ไหน เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ คำต่อไปอีกให้เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำเพราะแต่ละคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด

- มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่คิดเอง (สาธุ) พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ (เมื่อเราได้เข้าใจถึงธรรมของพระพุทธเจ้า) อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร (อาศัยพระองค์ให้ทรงสอนสัจจธรรม) หมายความว่าเดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจ

- ก่อนฟังไม่เข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจ แต่ไม่ใช่ฟังแล้วเข้าใจทันที เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (ไม่ต้องยึดติดกับวัตถุทุกสิ่งทุกอย่าง) คิดเองหรือเป็นคำของพระพุทธเจ้า (รู้สึกเป็นเช่นนี้) รู้สึกเพราะฟังหรือไม่ฟังก็เป็นเช่นนั้น (ก็เหมือนกัน)

- ก่อนฟังรู้สึกอย่างไร (ก่อนฟังเข้าใจว่ามันติด ยึดติดกับวัตถุ แต่ตอนนี้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าไม่ได้ยึดติด) รู้สึกว่าติดในวัตถุต่างๆ เพราะฉะนั้นคำทุกคำที่เป็นความจริงไม่ว่าใครจะพูดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา กี่คำ (๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์) นับได้ไหม (ไม่ได้) ๘๔๐๐๐ คำ มากแต่การที่แสดงความหมายของแต่ละคำลึกซึ้งมากกว่า ๘๔๐๐๐ คำ ที่ฟังแล้วกี่คำ

- พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา” กี่คำ เพียงคำเดียว “ธรรม” เข้าใจแค่ไหน

- เมื่อเช้านี้มีอะไรบ้างกี่คำที่เป็นธรรม พูดถึงสิ่งที่มีจริงเมื่อเช้านี้หิวไหม (หิว) หิวเป็นอะไร มีจริงๆ หรือเปล่า (มีจริง) เป็นอะไร (เป็นธรรม) ถูกต้อง แต่หิวไม่ใช่เห็น

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- เพราะฉะนั้นธรรมมี ๒ อย่างที่ต่างกัน อย่างหนึ่งเกิดขึ้น “รู้” อีกอย่างหนึ่งเกิดแข็ง อ่อน ร้อน หวาน เค็ม ไม่รู้อะไรแต่เป็นสิ่งที่มีจริงจึงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมที่ไม่รู้อะไรเป็น “รูปธรรม” ทั้งหมดไม่ว่าจะ “แข็ง” แข็งไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม “หวาน” “เค็ม” ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นธรรมใดๆ ที่ไม่สามารถเกิดขึ้น “รู้” เป็นรูปธรรมทั้งหมดแต่ธรรมอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเห็น เกิดขึ้นจำ เกิดขึ้นคิด มีจริงๆ เป็นสภาพรู้เป็น “นามธรรม”

- เพราะฉะนั้นเมื่อเช้านี้มีอะไรบ้าง เข้าใจเท่าไหร่ก็ตอบตามที่ได้เข้าใจเท่านั้น (คือเป็นธรรม ธรรมเมื่อเช้านี้เป็นนามธรรม) เพราะฉะนั้นเมื่อเช้านี้ไม่ว่าอะไรที่มีจริงๆ เป็นธรรมจึงมีคำว่า นามธรรม รูปธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่สิ่งที่มีแล้วเป็นสภาพรู้เป็นนามธรรมและสิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม

- เห็นเกิดขึ้นเป็นอะไร (รูป) นามธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้ ได้ยินเกิดขึ้นรู้เสียง ได้ยินเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เป็นธรรมอะไร (นามธรรม) เสียงมีจริงหรือเปล่า (มี) เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เสียงเป็นธรรมอะไร (รูปธรรม) เสียงเป็นรูปธรรม จำหรือเข้าใจ (เข้าใจ)

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่ลึกซึ้งแต่พระองค์รู้ว่า สามารถเข้าใจได้เมื่อได้ฟัง ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ต้องคิดก่อน ฟังแล้วเข้าใจอะไร (พระองค์ตรัสรู้สัจจธรรม) สัจจธรรมหมายความว่าอะไร (สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้เป็นความจริง) ความจริงอะไร

- เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) เป็นสัจจธรรมหรือเปล่า (เป็นสัจจธรรม) เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) เห็นมีจริงๆ (มี) เห็นมีจริงๆ เป็นธรรมที่มีจริงแน่นอน สัจจะของเห็นคืออะไร จึงเป็นสัจจธรรม จึงเป็นอริยสัจจธรรม

- ศึกษาธรรมต้องศึกษาทีละคำให้เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ทุกคนพูดว่า “ธรรม” แล้วก็พูดต่อว่า “สัจจธรรม” แล้วก็พูดต่อว่า “อริยสัจจธรรม” หมายความว่าอะไร (พระองค์ท่านสอนว่า โลกนี้มีทุกข์นั่นก็คือ สัจจธรรม)

- พระพุทธเจ้าตรัสแล้วต้องเข้าใจ โลกคืออะไร (ใช่ต้องเข้าใจเอง) เพราะฉะนั้นธรรมเป็น “โลก” หรือเปล่า (ใช่) โลกคืออะไร (ธรรม) เพราะฉะนั้นความหมายของธรรมคือ มีจริงๆ แล้วความหมายของโลกคืออะไร (โลกคือเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม)

- เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดมีจริงเป็นโลกใช่ไหม (ใช่เป็นโลก) เห็นเป็นโลกหรือเปล่า (ใช่เป็นโลก) เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมเป็นโลกเพราะอะไร (เพราะมีความจริงเป็นสัจจะ) ความจริงคืออะไร (สิ่งที่เราเห็นเป็นธรรม) จริง เป็นโลกหรือเปล่า (ไม่ใช่) ตกลงโลกคืออะไร (โลกนี้ก็เป็นความจริงแต่มัน…)

- ธรรมก็จริงโลกก็จริง ธรรมคืออะไร โลกคืออะไร (โลกคืออนิจจังเกิดดับ) ไม่เกิดจะดับไหม เพราะฉะนั้น “โลก” คือสิ่งที่เกิดทั้งหมดและสิ่งที่เกิดทั้งหมดจริง แต่ความจริงของสิ่งที่เกิดเป็นโลกเพราะเกิดแล้วดับ สิ่งที่เกิดเป็นธรรมและเป็นโลกหรือ “โลกียะ“ เพราะเหตุว่า เกิดแล้วต้องดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

- เพราะฉะนั้นทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เมื่อเช้านี้และเดี๋ยวนี้ก็กำลังจะค่อยๆ เป็นเมื่อวานนี้ของพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต้องดับไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นมีเราไหม (ไม่มีเรา) ไม่มีเรามีแต่ธรรม มีแต่ธรรมที่เป็นโลกทุกขณะเพราะเกิดมีแล้วก็ดับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- ถ้าไม่มีธรรมมีโลกไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นทุกคำไม่ใช่จำแต่เข้าใจจริงๆ ว่าหมายความว่าอะไร คืออะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวง สัพเพ ธัมมา อนัตตา พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า สัพเพ ธัมมา อัตตา เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้วตามความเข้าใจมากหรือน้อย ถูกต้องไหม

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร (ตรัสรู้อนัตตา) พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจจธรรม ทุกอย่าง สัพเพ ธัมมา อนัตตา เพราะตรัสรู้อริยสัจจธรรม

- (สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้เป็นอริยสัจจธรรม คือ สัพเพธัมมาอนัตตา จะเป็นสุญญตาด้วยหรือเปล่า) สิ่งที่ดับไปแล้วกลับมาเกิดอีกได้ไหม (ไม่ได้) นั่นคือ สุญญตา

- (เน้นคำว่า สิ่งที่เราทำเป็นกุศลหรืออกุศล) เป็นธรรมหรือเปล่า (สิ่งที่เรากระทำเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม ทีนี้จะเรียกเป็นสุญญตาได้หรือเปล่า) ต้องฟังแล้วเข้าใจ กุศลเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) กุศลเกิดหรือเปล่า (เกิด) มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ (ทุกอย่างเกิดแล้วดับ) เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดับแล้วกลับมาเกิดอีกไม่ได้ (ไม่ได้) นั่นคือ ความหมายของสุญญตา

- (ถ้าสิ่งที่เกิด ดับแล้วเป็นสุญญตา ที่เราทำความดีแล้วมีผลของความดีคืออะไร) เพราะฉะนั้น ”ดี“ คืออะไร (ทำดีแล้วจะมีผลออกมาดี) ดีมีจริงๆ ไหม ถ้าดีไม่เกิดมีดีไหม (ไม่ได้) ดีมีจริงๆ หรือเปล่า (มีจริง) เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) เกิดหรือเปล่า (เกิด) ดับหรือเปล่า (ดับ) เป็นเราหรือเปล่า (ไม่) ถ้าไม่ใช่เราเป็นอะไร (เป็นสุญญตา) สุญญตาเป็นอะไร (เป็นอนัตตา) อนัตตาเป็นอะไร (สุญญตาคือทุกอย่างเกิดแล้วดับไป อนัตตาคือ….) เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วไม่ดับมีไหม (ไม่มี) สิ่งที่เกิดเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม)

- เพราะฉะนั้นธรรมที่เกิด ดับหรือเปล่า (ดับ) ธรรมที่เกิด ดับแล้วกลับมาเกิดอีกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่มีใครทำให้เกิดได้ แต่เกิดเพราะมีปัจจัยที่จะเกิดเป็นอย่างนั้น

- เกิดเป็นสภาพที่ดี ดับไหม (ดับ) ดับแล้วกลับมาเกิดอีกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นธรรมเป็นอนัตตาและเป็นสุญญาตาเมื่อดับ (เป็นอนัตตาและสุญญตา) ถูกต้องเมื่อดับก็เป็นสุญญตา

- (อะไรคือการปฏิบัติธรรมทำสมาธิ ขอคำอธิบายอย่างละเอียด) พระพุทธเจ้าตรัสว่า การรู้ความจริงที่ลึกซึ้งต้องรู้ตามลำดับ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าใจธรรม สัจจธรรม อนัตตา สุญญตาได้ไหม (ไม่ได้)

- เดี๋ยวนี้มีอะไร (อนัตตาและสุญญตา) มีธรรม ถ้าไม่รู้ธรรมจะรู้สุญญตา อนัตตา ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องฟังธรรมตามลำดับ ต้องมั่นคงในความจริงของธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- เดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นเกิดแล้วเห็น เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเกิดเห็นแล้วดับ เดี๋ยวนี้เห็นกำลังเกิดดับใช่ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับหรือเปล่า (ใช่) ขณะนี้เห็นเกิดดับไหม (ใช่) ใครรู้แจ้งเห็นที่เกิดแล้วดับเดี๋ยวนี้ (จิต) ใครรู้แจ้งเดี๋ยวนี้ที่นี่ ใครรู้แจ้ง (จิตรู้ว่าเกิด) ไม่ได้ถามอย่างนั้น จิตเกิดดับเพราะจิตเกิด อะไรที่เกิดแล้วดับทั้งหมดเป็นของธรรมดา แต่เดี๋ยวนี้นั่งอยู่ตรงนี้มีเห็น ใครรู้แจ้งเห็นเกิดดับเดี๋ยวนี้ (ธรรม) ธรรมอะไร อวิชชารู้ไหม (ไม่ได้) อวิชชามีจริงไหม (มี) อวิชชาเข้าใจธรรมไหม (ไม่) เดี๋ยวนี้อวิชชาหรือความเข้าใจธรรม (เข้าใจธรรม)

- เดี๋ยวนี้ประจักษ์การเกิดดับหรือ เดี๋ยวนี้ประจักษ์เห็นเกิดเห็นดับหรือ ประจักษ์แจ้งแล้วว่า เห็นกำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้หรือ เดี๋ยวนี้เห็นอะไร

- เริ่มต้นใหม่นะคะให้เข้าใจจริงๆ ถามว่า เดี๋ยวนี้เห็นอะไร (เห็นเกิดดับ) อะไรเกิดดับเดี๋ยวนี้ (เสียง) เสียงเกิดดับ ใครรู้เสียงไม่ใช่ได้ยิน (หู) หูได้ยินหรือ (จิต) จิตคืออะไร (คือสัจจธรรม) สัจจะของจิตคืออะไร (คือเกิดแล้วดับ) สัจจะความจริงของจิต จิตเป็นสภาพรู้

- ขณะนี้จิตเห็นปรากฏหรือเปล่า (ไม่ปรากฏ) เมื่อจิตเห็นไม่ปรากฏแล้วบอกว่าประจักษ์การเกิดดับได้อย่างไร เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เห็นเกิดแล้วเห็นดับหรือเปล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจักษ์แจ้งเห็นที่กำลังเกิดดับหรือเปล่า พระองค์ทรงแสดงหนทางที่พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อประจักษ์เห็นเกิดดับหรือเปล่า

- เพียงรู้ว่า เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นและถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีการเห็น ขณะนี้ที่เข้าใจอย่างนี้เท่านั้นประจักษ์การเกิดดับของเห็นหรือยัง

- ขณะที่เห็นเกิด ประจักษ์เห็นเกิดขณะที่เห็นเกิดหรือเปล่า เดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นต้องเกิด ขณะที่เห็นเกิด ประจักษ์แจ้งการเกิดของเห็นหรือเปล่า (ประจักษ์แล้ว) ประจักษ์แจ้งแล้วหรือ (แล้ว) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจจธรรมเท่าไหร่ (๔ อย่าง)

- สัจจะที่ ๑ ทุกขอริยสัจจะ สัจจะที่ ๒ เหตุเกิดของทุกข์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นทุกข์ (ที่เรากำลังนั่งอยู่นี้เป็นทุกข์) อะไรนั่ง (นั่งนานๆ เลยเป็นทุกข์) ถ้านั่งไม่นานเป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์แต่ไม่เยอะ) ถ้าไม่นั่งมีทุกข์ไหม (มี) เดี๋ยวนี้อะไรเป็นทุกข์ (ไม่รู้) ไม่รู้ก็ต้องฟังคำของพระพุทธเจ้ามิฉะนั้นจะพูดคำว่า อริยสัจจธรรม ๔ เรียกชื่อได้ทั้งสี่แต่ไม่ได้รู้จักธรรมที่เป็นอริยสัจจธรรมทั้ง ๔

- ถ้าทุกคนรู้เพียงว่า ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับไม่เที่ยง รู้ทุกข์อะไร (รู้ทุกข์ที่เป็นความจริง) ง่ายมาก อะไรๆ ก็ “ความจริง” อะไรๆ ก็ “ธรรม” อะไรๆ ก็ “เกิดดับ“ แต่เดี๋ยวนี้อะไรเกิดไม่รู้

- เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงความจริงถึงที่สุด ต้องเข้าใจความหมายของทุกคำทั้ง ๔ คำ เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ไม่ใช่เพียงจำชื่อแค่ ๔ ชื่อแต่ถึงเวลาที่จะเข้าใจธรรมที่เป็นอริยสัจจธรรม ๔

- เพราะฉะนั้นอริยสัจจ์ที่ ๑ เดี๋ยวนี้มีไหม (มี) รู้ไหม (มีทุกข์) อะไรทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีทุกข์ ๓ อย่าง เวลาไม่สบายเป็นทุกข์ไหม เวลาที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดสูญหายไปเป็นทุกข์ไหม ของที่ชอบหายไปเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- ใครไม่รู้จัก ”ทุกขทุกข“ ทุกข์มี ๓ อย่างๆ ที่ ๑ ทุกขทุกข์เคยเป็นทุกข์ไหม ทุกข์ที่ทุกคนรู้ไม่มีใครไม่รู้เป็น ”ทุกขทุกข์“ บางทีกายไม่เป็นทุกข์แต่ใจเป็นทุกข์

- ใครไม่รู้จักทุกข์ที่เป็นทุกข์ที่ทุกคนรู้ว่ามี ”ทุกขทุกข์“ บ้าง เพราะฉะนั้นทุกข์ที่ ๒ อีกอย่างหนึ่งคือ ”วิปริณามทุกข์“ สิ่งที่ชอบที่มีเปลี่ยนไปหายไปเป็นทุกข์ไหม

- เคยให้ของใครแล้วเสียดายไหม จากที่เคยมีแล้วไม่มีเป็นทุกข์ไหม ทุกข์คืออะไร ลืมหมดว่า ทุกข์ก็เป็นธรรม ลืมเสมอแต่ทั้งหมดเป็น ”สังขารทุกข์“ ต้องเกิดแล้วดับไม่เหลือ

- ไม่มีแล้วก็มีแล้วก็หามีไม่ ยังไม่เห็นแล้วก็เกิดเห็นแล้วเห็นหมดไป เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไรจากไม่มีแล้วก็มีแล้วหมดไปไม่กลับมาอีก

- เพราะฉะนั้นเห็นเป็นสังขารทุกข์หรือเปล่า มีอะไรที่เกิดแล้วไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจความหมายของทุกข์ว่า ทุกอย่างที่เกิด ดับไปไม่กลับมาอีกเลย ต้องเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่นเพราะฉะนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย

- เกิดมาแล้วพอใจที่ได้เกิดไหมแต่ถ้ารู้ว่า การเกิดเป็นทุกข์เพราะเกิดแล้วดับจะต้องการให้เกิดอีกไหม (ไม่ต้องการ) ชอบอาหารอร่อยไหม (ไม่ชอบแล้ว) ไม่จริง (ตอนนี้ไม่ชอบแต่เดี๋ยวกลับไปบ้านก็ชอบอีก) ถูกต้อง

- เพียงฟังเข้าใจว่า อะไรเป็นทุกข์แต่ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งทุกข์จริงๆ ของสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นธรรมเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นความเข้าใจนี้เป็นขั้นฟัง ”ปริยัติ“

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การที่จะรู้อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ สามรอบ เพียงรอบเดียวไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งสิ่งที่เป็นทุกข์ที่เกิดดับได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้หรือยัง (รู้) แล้วอริยสัจจะรอบที่ ๒ คืออะไร (คือมีทุกข์เพราะมีเหตุ) ก็เหมือนรอบที่ ๑ ไม่ใช่รอบที่ ๒ ไม่ใช่รอบที่ ๓

- รอบที่ ๑ รู้อริยสัจจะโดยรอบรู้ในเรื่องที่ได้ฟังที่เป็นธรรมแต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้รู้ธรรมใดเลยทั้งสิ้นที่กำลังเกิดดับอยู่ จริงไหม การศึกษาที่จะเข้าใจความจริงต้องเป็นไปตามลำดับ ถ้าเพียงฟัง เข้าใจ คิดว่าประจักษ์แจ้งแล้ว ถูกหรือผิด

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ กว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมด้วยพระองค์เอง เริ่มเห็นความลึกซึ้งของธรรม กำลังพูดกำลังฟังแต่ก็มีเห็นตลอดเวลา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- ขณะนี้เห็นเกิดดับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเห็นกำลังเกิดดับยังไม่รู้แน่นอนเพราะมีได้ยิน มีความคิด มีธรรมอื่นๆ เหมือนพร้อมกัน ขณะได้ยินก็ยังมีเห็นขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ขณะที่เห็นเกิดขึ้นยังไม่ดับจะได้ยินไม่ได้

- เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ลึกซึ้งขนาดไหน กำลังเห็น เห็นเกิดดับก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่มีเห็น แสดงว่า เห็นเกิดดับ ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง “ตรัสรู้” ไม่ใช่ฟังแล้วเข้าใจแล้วประจักษ์ทันที

- ต้องรู้ว่าเป็นธรรมขณะที่ธรรม ๑ ปรากฏ เวลานี้ได้ยินเสียง เสียงปรากฏแต่ได้ยินยังไม่ปรากฏ มีธาตุรู้เกิดตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดแต่ขณะนั้นไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบกาย ไม่ใช่คิดนึก

- ธาตุรู้ ๑ เกิดขึ้นได้โดยต้องอาศัยธาตุรู้อื่นๆ เกิดพร้อมกัน ธาตุรู้หนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีธาตรู้อื่นๆ เกิดขึ้นพร้อมกันอาศัยกันและกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า ธาตุรู้หนึ่งเกิดขึ้นต้องมีธาตุรู้อื่นๆ เกิดร่วมด้วยแต่ต้องเป็นแต่ละหนึ่งจึงสามารถรู้ได้ว่า ธาตุ ๑ ต้องเป็นหนึ่ง

- หนึ่งขณะมีธาตุรู้ที่เกิดพร้อมกันรู้สิ่งเดียวกันแต่ธาตุรู้ ๑ สำคัญมาก มีธาตุรู้ ๑ ซึ่งรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏให้รู้ เสียงของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ธาตุรู้เกิดขึ้นเมื่อได้ยิน “แจ้ง” ลักษณะของเสียงแต่ละหนึ่งๆ ว่า ต่างกัน

- เปลี่ยนลักษณะของธาตุรู้แต่ละธาตุรู้ที่เกิดพร้อมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้มีธาตุรู้หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏที่ต่างกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้คำหลายคำของธาตุรู้นี้ใช้คำว่า “จิต” “วิญญาณ” “มโน” “มนัส” “หทย” และทรงใช้คำ “มนินทรีย์” ถ้าจำชื่ออินทรีย์แต่ไม่รู้ว่า มนินทรีย์คืออะไร

- ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กระทบ ทางตาเห็นชัดเจนในความต่างของเห็นแต่ละ ๑ ที่ปรากฏ ธาตุรู้ที่รู้เสียง เสียงหลากหลายมากแต่ละคนเสียงไม่เหมือนกันเลยเพราะถ้าไม่มีธาตุรู้ที่รู้แจ้งลักษณะของเสียงแต่ละ ๑ ก็ไม่รู้ว่า เสียงต่างกัน รู้อย่างนี้เป็นปริยัติหรือยัง

- เพราะฉะนั้นเริ่มมีความเห็นถูก ความเห็นถูกเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นความไม่รู้มากแค่ไหน ขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับแล้วก็ไม่รู้ ทุกอย่างเกิดแล้วดับยังจำได้ว่ายังไม่ดับยังอยู่

- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความลึกซึ้งของธรรม ทุกคนกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจจธรรม ๔ เพียงจำชื่อ บอกได้ ทุกขอริยสัจจ์ ทุกขสมุทัยอริยสัจจ์ ทุกขนิโรธและมรรคมีองค์ ๘

- เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งความจริงแล้ว ด้วยพระมหากรุณาสัตว์โลกไม่อาจจะรู้ความจริงได้แม้จะเกิดมาแล้วนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ความจริงถ้าไม่มีผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงแสดงความจริงให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงแต่ละคำแต่ละธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

- เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นแต่ละคน ฟังธรรมดีหรือไม่ฟังดีกว่า (ฟังดีกว่า) ใครก็บอกใครให้ฟังไม่ได้ ลองไปบอกใครๆ ให้ฟังธรรม เขาจะฟังไหม เพราะฉะนั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ทุกอย่างที่เกิดต้องมี “ปัจจัย” เครื่องอาศัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

- ฟังครั้งเดียวเข้าใจหมดไหม (ไม่หมด) เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่รู้ความจริงว่า ยังไม่พอจนกว่าความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง ความเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยนสามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำในพระไตรปิฎก เช่นคำว่า จิต วิญญาณ มโน เป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานเป็นจิตแต่หลากหลายจึงเข้าใจทุกคำที่ทรงแสดงความจริงของจิตโดยประการต่างๆ โดยขันธ์ "วิญญาณขันธ์" โดยอายตนะ "มนายตนะ" โดยอินทรีย์ "มนินทรีย์" เป็นจิตทั้งหมดแต่เป็นจิตที่หลากหลายมากตามเหตุตามปัจจัย

- จิตเป็นเราหรือเปล่า (ไม่) เริ่มมั่นคง มั่นคงในการเริ่มเข้าใจแต่เดี๋ยวนี้ใครเห็น (ธรรม) “เรา” เห็น ถ้าจิตเป็นธรรมต้องรู้ว่า ธรรมที่เป็นจิตต่างจากธรรมอื่นซึ่งไม่ใช่จิตอย่างไร

- โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) โกรธเป็นจิตหรือเปล่า (เป็นจิต) โกรธไม่ใช่จิต วันนี้คิดถึงจิตบ้างหรือเปล่า (ไม่คิด) ถูกต้อง คิดถึงจิตเมื่อไหร่ (ไม่ได้คิด) ต้องตรงตามความเป็นจริง คิดถึงเรื่องที่จะทำ คิดถึงอาหารที่จะรับประทานแต่ไม่ได้เคยคิดถึงจิตที่กำลังเป็นจิตทุกขณะ

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่ค่อยๆ เพิ่มความรู้จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของธรรมแต่ละ ๑ ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ประจักษ์แจ้งการเกิดหรือเปล่า (ไม่) นี่คือ เริ่มมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงอริยสัจจธรรม ๓ รอบ บางคนก็คิดว่า เขาประจักษ์แจ้งการเกิดดับของธรรมแล้ว

- เดี๋ยวนี้ไม่ว่าอะไรปรากฏต้องเพราะจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นแต่ไม่มีใครคิดถึงจิตเลยจนกว่าจะมีปัจจัยที่จะคิดถึงจิตตามที่ได้ฟังเข้าใจแต่เพราะได้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นจึงรู้ว่า ขณะนั้นเพียงคิดเรื่องจิตโดยไม่รู้ว่าแม้ขณะที่คิดก็เป็นจิต ธรรมลึกซึ้งไหม จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะตายโดยไม่รู้ธรรมหรือก่อนตายก็ยังได้ฟัง ได้เห็นประโยชน์ ได้รู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจความจริงตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีทางที่จะพ้นจากทุกข์

- เพราะฉะนั้นวันนี้มีความเข้าใจแต่ละคนตามความเป็นจริงที่ถูกต้องว่า เริ่มฟังความจริง เริ่มเข้าใจความจริง เป็นการรู้ว่า อะไรเป็นอริยสัจจธรรม วันนี้ได้ฟังความจริงของธรรมกี่คำ (ไม่รู้) ไม่จำเป็นต้องนับแต่ถ้าเข้าใจความจริง ๑ คำจะเข้าใจมั่นคงเมื่อได้ฟังและได้เข้าใจธรรมอีก

- ถ้าเข้าใจว่า เห็นมีจริงๆ เห็นเกิดแล้วดับไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ไม่ใช่นกเห็น ไม่ใช่ปลาเห็น เห็นเป็นเห็น ไม่ต้องนับว่าได้ฟังความจริงของเห็นกี่คำ ความสำคัญอยู่ที่เข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่า เห็นเป็นธรรมที่ไม่ใช่ธรรมอื่น

- เพราะฉะนั้นถ้าลองถามอีกคำถามหนึ่งไม่ทราบว่าจะตอบว่าอย่างไร เห็นอยู่ไหน ใครจะตอบ วันนี้จะได้คิดกันและจะมีคำตอบของตัวเอง

- สำหรับวันนี้ขอยินดี (สาธุ สาธุ สาธุ) แม้แต่ยินดีก็ต้องรู้ว่า ยินดีในอะไร ยินดีในความเข้าใจถูก แต่ถ้าเข้าใจเพียงเท่านี้ยังไม่มั่นคง ยังไม่พอ เพราะฉะนั้นจะยินดีในความเข้าใจขึ้นของแต่ละคน สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
prinwut
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยความเคารพสูงสุด

กราบนมัสการท่านภันเต สุมังคโล

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลทุกประการของคณะอาจารย์ มศพ.

กราบอนุโมทนาในกุศลของสหายธรรมชาวเนปาลและชาวไทยทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
khampan.a
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการท่านภันเต สุมังคโล
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่งครับ
เป็นประโยชน์ทุกข้อความจริงๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ