เกิดแล้วดับไม่กลับมา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่คิดว่าเป็นเรา แท้จริงก็คือธรรมะแต่ละหนึ่ง ที่เพียงเกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย
จากการสนทนาธรรมที่บ้านคุณทักษพลและคุณจริยา เจียมวิจิตร 15 ต.ค. 61
ถ้าไม่มีธรรมะมีเราไหม? ถ้าถามกลับกันตอบได้ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่มีคิดนึก ไม่มีได้ยิน จะมีเราไหม? ... ก็ไม่มี
แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ สิ่งที่มีอยู่ก็เป็นเราทั้งหมด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วสิ่งที่คิดว่าเป็นเรา แท้จริงแล้วเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งต้องเกิด เกิดแล้วต้องดับ ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
แต่สิ่งอื่นที่เกิดสืบต่อก็ปกปิด เมื่อวานนี้ยังมีอะไรเหลือไหมคะ? เมื่อวานนี้ ... เห็นเมื่อวานนี้หมดแล้ว ได้ยินเมื่อวานนี้หมดแล้ว ทุกอย่างเมื่อวานนี้หมดแล้ว แต่มีวันนี้ ก่อนนี้ก็มีธรรมะซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว แต่ไม่ปรากฏ จึงเข้าใจว่าแม้ขณะนี้ไม่มีอะไรที่เกิดดับ ความจริงถ้าพิจารณาแต่ละหนึ่ง ขณะเห็นต้องไม่มีได้ยิน ขณะได้ยินต้องไม่มีคิด ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูกต้องนะคะ แต่ละหนึ่งน่ะคืออะไรบ้าง? สภาพที่มีจริงอย่างหนึ่ง แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย เช่น สิ่งที่ตัวนี่นะคะผม ... ผมรู้อะไรมั้ยคะ? เอามือแตะผม สระผม หวีผม ผมไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น สภาพที่ตัวที่มีที่ว่าเป็นผมของเรา ความจริงก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งแข็ง อะไรก็ตามแต่อาจจะร้อนก็ได้ ตากแดดมาผมก็ร้อน ทั้งหมดนั้นแหล่ะค่ะ ก็เปลี่ยนแปลงไป ... แต่ว่าเป็นของเราหรือ?
แต่ว่าสิ่งที่มีที่ตัวส่วนหนึ่งน่ะไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เล็บรู้อะไรได้ไหมคะ? ตัดเล็บ เล็บไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น สภาพที่มีน่ะก็ต่างกันไปเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งมีจริงๆ ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จะตี จะกระทบกระแทกยังไง สิ่งนั้นก็ไม่รู้สึก เช่น แข็งที่เราว่าเป็นโต๊ะ ลองทุบโต๊ะ โต๊ะก็ไม่รู้สึก
เพราะฉะนั้น ส่วนหนึ่งที่ตัวของเราก็มีสภาพที่มีจริง ที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ คนตายต่างกับคนเป็น เพราะว่ามีรูปร่างกายเหมือนเดิมเลยค่ะ แต่ไม่รู้อะไร เพราะไม่มีจิต จึงกล่าวว่าเป็นคนตาย ไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ คนตายไม่เห็น คนตายไม่ได้ยิน คนตายไม่ได้คิด เพราะฉะนั้น เห็นเป็นอย่างหนึ่ง ได้ยินเป็นอย่างหนึ่ง จำเป็นอย่างหนึ่ง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้ รัก ชัง ต่างๆ ขี้เกียจ ขยัน ทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ก็เป็นสภาพรู้ซึ่งไม่ใช่เรา ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น เรามีไหมตอนที่ยังไม่เกิด แต่พอเกิดแล้วมี เดี๋ยวนี้หิวมั้ยคะ? ไม่หิว แต่หิวเกิดเป็นเราหิว ความจริงหิวก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ทางกายลักษณะหนึ่งนะคะ ทุกข์ ... ความรู้สึกที่ไม่สบายกายมีหลายอย่าง เจ็บ คัน ปวด เมื่อย สารพัดอย่าง เป็นสภาพที่มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เกิดไม่มี แล้วเรามีไหม? เราเจ็บไหม? เราคันไหม? เราหิวไหม? ถ้าสภาพต่างๆ เหล่านั้นไม่มี จะไม่มีเรา แต่พอเกิดขึ้นเพราะไม่รู้นะคะ ก็เป็นเราทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมะแต่ละอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้จึงเป็นเราแต่ละภพแต่ละชาติ เกิดมาเป็นคนโน้นคนนี้ ต่อไปเป็นใคร? แต่ก็คือธรรมะทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ธรรมะหลากหลายมาก แต่ก็อย่างใหญ่ๆ เป็นประเภทที่ต่างกัน คือ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลยค่ะ ที่ตัว ก็มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรียกว่ารูปธรรม แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แต่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏได้เพราะมีธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งนั้น เห็นขณะนี้เป็นธาตุรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรตรงหน้าที่ปรากฏ พอได้ยินก็รู้ว่าเสียง เสียงอะไรแล้วก็คิด เพราะเหตุว่าจำได้ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี่นะคะก็เป็นสภาพรู้ใช้คำเรียกว่านามธรรม เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรพ้นไปจากรูปธรรมและนามธรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นแหล่ะต้องเป็นหนึ่ง คือ เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม
ทุกคำของพระพุทธเจ้าสอนให้รู้ความจริงว่าโลกว่างเปล่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และโลกว่างเปล่าเมื่อไม่มีอะไร แล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เหมือนเดิมมั้ยคะ? จากไม่เคยเกิด ไม่มีอะไรเกิด แล้วก็มีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไร แต่ว่าพอมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็หลงเข้าใจว่าเป็นเรา แต่จะเป็นเราได้ยังไง เพราะหมดไปแล้วทุกขณะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงหรือเปล่า? ความจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้ แล้วก็บางคนไม่ได้สนใจที่จะรู้ด้วย เพราะฉะนั้น เกิดมานะคะ ไม่รู้ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี จากโลกนี้ไปก็ไม่รู้อะไรเหมือนเดิม เกิดอีกก็เหมือนเดิมอีก คือ ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ความรู้ขณะนี้มาจากใคร ... จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดอย่างยิ่งนะคะ มีแค่ไม่กี่คำ แต่คำของพระองค์ทุกคำ จะทำให้สิ่งซึ่งไม่เคยเกิด คือ ความเข้าใจถูก ภาษาบาลีใช้คำว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ปัญญาก็ได้ เพราะว่าคนไทยคุ้นเคยกับคำนี้ แต่ไม่รู้ว่าคำนี้จริงๆ หมายความถึงสภาพธรรมะอะไรที่มีจริงๆ
ปัญญาต้องเป็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น จากความมืด ไม่เคยฟังธรรมะ ไม่เคยรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำที่ทำให้เริ่มเข้าใจว่า ที่ตัวน่ะตรงไหนเป็นเรา เป็นแต่สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ แล้วแต่จะแข็ง อ่อน เย็น ร้อน ตึง ไหว หรือว่าเป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นอะไรต่างๆ แล้วก็มีสภาพรู้ซึ่งเกิดดับตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น ตายแล้วเป็นเราหรือเปล่า ถ้าตายแล้วไม่เป็นเราตอนเป็นอยู่ทำไมเป็นเรา? เอาเรามาจากไหน? เอาเรามาจากตอนที่ยังเป็นอยู่เท่านั้นเอง แต่พอตายแล้วก็ไม่มีเรา แต่มีธรรมะเกิดอีก หลงยึดถือว่าเป็นเราอีก แต่ไม่ใช่คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ แต่วันหนึ่งก็จะหมดสิ้น หาคนนี้อีกไม่ได้เลย มีใครหาใครได้ไหมคะ? หลังจากตายแล้ว ไม่มีทางพบอีกเลย
เพราะฉะนั้นชีวิตก็ดำรงอยู่ชั่วคราวเพียงชั่วหนึ่งขณะจิตดับแล้วเกิดอีกๆ จนกว่าจะสิ้นสุด ตายแล้วยังต้องเกิดอีก เหมือนเดี๋ยวนี้เลยค่ะ สิ่งใดที่ดับหมดสิ้นไปแล้ว ก็ยังมีสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ไปแล้วก็ยังต้องมีการเกิดขึ้นอีกตามเหตุตามปัจจัย ... ไม่สิ้นสุด ... ดีไหม? ... ไม่ใช่เรา ... เหมือนไฟนี่ค่ะ เกิดดับไป เกิดมาทำไม ต้องเป็นไฟเกิดดับไปทำไม แต่ก็ยับยั้งไม่ได้
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้กำลังเกิดเป็นธรรมดา ใครยับยั้งไม่ให้เกิดได้? ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็จะไม่เห็นว่าสังสารวัฏ ... สภาพธรรมะที่เกิดดับสืบต่อไม่สิ้นสุด ไม่ควรเป็นที่ยินดีเลย เพราะไม่ใช่เรา ต้นไม้ ใบหญ้า เกิดไป ไฟเกิดไหม้ไป ... ดับไป ... มีประโยชน์อะไร?
เพราะฉะนั้น ธรรมะแต่ละหนึ่งนะคะ ก็มีปัจจัยที่จะเกิดดับ ยับยั้งไม่ได้ ใครเลือกที่จะให้อะไรเกิดขึ้นได้ไหมคะ? ไม่มีทางเลย เพราะธรรมะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราและไม่ได้อยู่ในอำนาจของเราด้วย บังคับบัญชาไม่ได้ มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ตายบ้างมั้ยคะ? ไม่มีเลยค่ะ
เชิญชม ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของอ. อรรณพ หอมจันทร์