Thai-Hindi 22 June 2024

 
prinwut
วันที่  22 มิ.ย. 2567
หมายเลข  47944
อ่าน  234

Thai-Hindi 22 June 2024


- (คุณอาช่ายังไม่เข้าใจเรื่องสมุฏฐานของรูป เข้าใจว่าทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย วันหนึ่งๆ อกุศลเกิดมาก กุศลเกิดน้อยมาก หลังจากฟังธรรมแล้วเห็นความสำคัญของการเจริญกุศล ควรจะเจริญกุศลแต่กุศลก็ไม่เกิด อยากให้ท่านอาจารย์สนทนาเพื่อช่วยให้คิดและหายสงสัยในเรื่องนี้เพิ่มขึ้น) รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (เล็กน้อย) พอไหม (ไม่พอ)

- เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ความหมายคืออะไร (ได้ยินคำนี้ทำให้ระลึกถึงความจริง) พระองค์รู้ความจริงหรือเปล่า (รู้) คุณอาช่ารู้ได้อย่างไรว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง (จากการฟังและสนทนาธรรม)

- ฟังว่าอะไรที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่าอย่างไร (ทุกอย่างที่มีจริงตอนนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ทำให้รู้ว่าที่พระพุทธองค์รู้คือรู้อะไร) รู้อะไร (เวลาได้ยินเรื่องได้ยินว่า ได้ยินเป็นได้ยิน เห็นเป็นเห็น รู้ว่าพระพุทธองค์รู้ตรงนี้รู้เห็นรู้ได้ยิน) กว่าจะรู้ตรงนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ (เวลานานมาก) ๔ อสงไขยแสนกัปป์พอไหม (นานมาก)

- เพราะฉะนั้นทรงบำเพ็ญพระบารมีเกินกว่า ๔ อสงไขยแสนกัปป์เพื่อรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ที่เขาฟังว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เสียง ตรัสรู้ได้ยิน ต้องบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเพียงได้ยินจะรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไหม (แค่ได้ยินไม่สามารถรู้ได้)

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่พระองค์รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ให้คนอื่นเข้าใจหรือเปล่า (ทรงสอน) หนทางนั้นลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้งมาก) ต้องฟังอีกนานเท่าไหร่จะเข้าใจได้อย่างที่พระองค์ตรัส (ไม่ทราบ) ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ตรงต่อความจริงว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ความจริงว่า จะรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้อย่างไร

- ถ้าไม่รู้ตรงนี้จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (ทรงสอนว่า เพื่อเข้าใจต้องฟัง พิจารณา สนทนา) เพื่ออะไร (เพื่อรู้ความจริง) เพื่อรู้ความจริงจึงต้องละความไม่รู้และกิเลส เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังคำของพระองค์เพื่อรู้ความจริง เพื่อละกิเลส

- คุณอาช่าฟังพระธรรมเพื่อละกิเลสหรือเปล่า (ใช่) กิเลสอะไร (ลดกิเลสทุกชนิด) ละกิเลสหรือลดกิเลส (ละกิเลส) กิเลสอะไร (ณ ตอนนี้ได้ยินคำว่า กิเลสคือเจาะจงไม่ได้ต้องกิเลสทั้งหมด) ต้องละอะไรกิเลสไหน (ความเป็นตัวตน)

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีความเป็นตัวตนไหม (มี) ละได้หรือยัง (ยัง) รู้จักกิเลสหรือยัง (ยังไม่รู้จัก) เพราะฉะนั้น “ยังไม่รู้จัก” เป็นกิเลสหรือเปล่า (นั่นก็เป็นกิเลสหนึ่ง) กิเลสมีมาก “นั่น” คือกิเลสอะไร (ความไม่รู้) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะละกิเลสทั้งหมดต้องเป็นเพราะ “รู้ความจริง“ ไม่ใช่ไม่รู้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 22 มิ.ย. 2567

- รู้ความจริงเป็นกิเลสหรือเปล่า (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้นเป็นอะไรถ้าไม่ใช่กิเลส มีจริงหรือเปล่า (ความรู้ ความเข้าใจเป็นทางที่จะดับกิเลส) เพราะฉะนั้นความรู้ต่างกับความไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) ความไม่รู้ไม่รู้อะไร (ไม่รู้ความจริง) ไม่รู้ความจริงอะไร (ความจริงที่ปรากฏตอนนี้) ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอะไร (ไม่รู้ว่าเป็นธรรมที่เกิดและดับ) ถูกต้อง

- เพราะฉะนั้นความไม่รู้เป็นคุณอาช่าหรือเปล่า (ไม่เป็น) ความเข้าใจ ความรู้เป็นคุณอาช่าหรือเปล่า (ไม่เป็น) เป็นอะไร (เป็นความจริงอย่างหนึ่ง) เป็นธรรมอะไร (เป็นนามธรรม) ทำไมเป็นนามธรรม (เพราะเกิดและรู้) ความรู้เป็นธรรมอะไร (เป็นธรรมที่รู้อะไร) เดี๋ยวนี้ธรรมนั้นรู้อะไร (รู้สี) ปัญญารู้สี (ใช่) รู้ว่าอย่างไร (ไม่ใช่ว่าตอนนี้ปัญญารู้สีแต่จากการฟังและจำได้รู้ว่า ปัญญาเกิดรู้สีว่าเป็นธรรมหนึ่งที่เกิดและดับ) รู้จริงๆ หรือยัง (ยังไม่รู้)

- เพราะฉะนั้นจะรู้เพื่ออะไร (เพื่อลดความเป็นตัวตนและกิเลสก็ลดตามมา) ถ้าไม่เข้าใจจะลดได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นฟังเพื่อลดกิเลสหรือฟังเพื่อรู้ความจริง (เพื่อรู้ความจริง) ความจริงคือ? (เห็นปรากฏ ได้ยินปรากฏ) รู้ความจริงว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าไม่รู้จริงอย่างนี้จะละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อทรงธรรมไว้ ฟังแล้วไม่ลืมว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่ฟังเพื่อรู้แต่ฟังเพื่อไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ

- เข้าใจแล้วลืม หรือ เข้าใจแล้วมั่นคงว่า เป็นสิ่งที่มีเกิดแล้วดับ (ถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่ลืมก็จะค่อยๆ เจริญสะสมเพิ่มขึ้น) นั่นเป็นสัจจบารมี ถ้าลืมและไม่มั่นคงก็จะยังเป็นเราอยู่ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจมั่นคงขึ้นในความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเข้าใจความจริงของธรรมแต่ละ ๑ ทีละคำเพื่อเข้าใจความจริงขึ้นอีกๆ จนมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา

- เพราะฉะนั้นถ้าฟังแล้วยังไม่เข้าใจธรรมที่เราใช้คำนั้นก็ต้องฟังต่อไป เพราะฉะนั้นอยากจะสนทนาธรรมไหนคำไหน ไม่ต้องรีบร้อนฟังธรรมมากๆ เร็วๆ นั่นไม่ใช่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเกิน ๔ อสงไขแสนกัปป์เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีที่เป็นธรรมเดี๋ยวนี้

- ธรรมลึกซึ้งกำลังมีเดี๋ยวนี้ปรากฏก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่พูดคำว่า "ธรรม" เหมือนรู้ธรรมแต่ไม่รู้ความลึกซึ้งของธรรม นี้เป็นเหตุที่เราต้องกล่าวถึงความลึกซึ้งของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เพื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น

- เพราะฉะนั้นพูดธรรมไม่ใช่ให้รีบร้อนไปเข้าใจธรรมแต่ให้เห็นความลึกซึ้งของธรรม เพราะฉะนั้นจะต้องพูดถึงธรรมทีละคำจนเข้าใจธรรมนั้นๆ จริงๆ ละเอียดขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 22 มิ.ย. 2567

- ตอนนี้คุณอาช่าไม่เข้าใจอะไรและเห็นว่าอะไรสมควรที่จะเข้าใจขึ้น (คุณอาช่าอยากจะให้โอกาสกับคุณมานิช) เชิญเลยค่ะ (ตอนมาฟังใหม่ก็อยากจะรู้มากๆ แต่หลังจากฟังท่านอาจารย์ก็รู้ว่า รีบเร่งไม่ได้ การศึกษาจริงๆ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ ไปและพยายามเข้าใจสิ่งที่ได้ยินและนี้คือหนทาง)

- เพราะฉะนั้นใครอยากจะพูดอะไรวันนี้เพื่อที่จะเห็นความลึกซึ้งและค่อยๆ เข้าใจขึ้น (คุณมานิชอยากสนทนาเรื่องความจริงว่า มีอะไรที่มีจริงตอนนี้ สิ่งที่ปรากฏตอนนี้หรือว่าอะไรจริงตอนนี้ ตรงนี้ยังไม่เข้าใจ) ดีมากที่ไม่รีบร้อนแต่ว่าต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ รู้ความจริง ถ้าไม่ตรงต่อความจริง ไม่สามารถจะเข้าใจและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

- ทุกวันทุกคนไม่ได้คิดถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องคิดไตร่ตรอง เดี๋ยวนี้มีอะไรไหม ถามได้ทุกวันเพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสและเราไม่ได้คิดถึงเพราะฉะนั้นถามอย่างนี้ได้ทุกวันว่า เดี๋ยวนี้มี “อะไร” ไหม นี่แหละจะได้รู้ว่า คิดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า (มีได้ยิน)

- ได้ยินเกิดหรือเปล่า (เกิด) ได้ยินดับหรือเปล่า (ดับ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรม สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา” ใช่ไหม (ใช่) เดี๋ยวนี้ได้ยิน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร พระองค์ตรัสเรื่องได้ยินหรือเปล่า (ตรัส) พระองค์ตรัสว่า ได้ยินคืออะไร (เป็นธรรม ๑ ที่เกิดและดับ เกิดเพราะเหตุปัจจัย) เป็นอริยสัจจธรรมหรือเปล่า (ไม่เคยได้อ่านตรงๆ แต่ตามความเข้าใจ เข้าใจว่า ได้ยินเป็นอริยสัจจะ) อริยสัจจะไหน (ตอบไม่ได้ไม่เข้าใจ)

- ทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ลึกซึ้ง การศึกษาธรรมไม่ใช่จำคำของพระพุทธเจ้าแล้วพูดตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ถูกปิดบังจนกว่าจะมีผู้ตรัสรู้ความจริงนั้น ฟังแล้วไตร่ตรองจนมั่นคงในความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เปลี่ยนไม่ได้

- สิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับ มีไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง (มีได้ยิน มีเห็น มีคิด มีเข้าใจ) เกิดพร้อมกันหรือเปล่า (ไม่พร้อมกัน) เดี๋ยวนี้อะไรเกิด ๑ (ได้ยิน) เกิดแล้วดับไหม (ดับ) กลับมาอีกได้ไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดเป็นโลกเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น ”โลกะ“ สิ่งที่มีนั้นแหละเกิดดับ ได้ยินเกิดแล้วดับแล้วไม่เกิดอีกเลย ”สุญญตา“ ใช่ไหม (ก่อนหน้านี้เข้าใจ สุญญตา อีกอย่างหนึ่ง แต่หลังจากฟังท่านอาจารย์ก็รู้ความหมายของคำนี้ว่าคืออะไร) อะไรจริง (ที่ท่านอาจารย์กล่าวไปเมื่อกี้นั่นจริง) นี้เป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ได้ยินถ้าไม่เกิดไม่มีได้ยิน ได้ยินเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยเป็นอัตตาหรืออนัตตา หมายความว่า ไม่มีคุณสุขิน ไม่มีคุณมานิช ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีคุณอาคิ่ล ไม่มีใครแต่มีได้ยินใช่ไหม (ใช่)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 22 มิ.ย. 2567

- ได้ยินเป็นนกหรือเป็นแมว (ไม่เป็น) ได้ยินเป็นอะไร (เป็นธรรม ๑) ไม่ใช่นกใช่ไหม (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นมั่นคงไหมว่า เป็นอนัตตา ไม่ใช่นก ไม่ใช่คน แต่มีจริงเป็นธรรม (เริ่มเข้าใจว่า เป็นอนัตตา)

- คุณมานิชตายแล้วเกิดเป็นนกได้ไหม (เป็นไปได้) ทำไมเกิดเป็นนกบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นเทวดาบ้าง เกิดในนรกบ้าง (เพราะการเกิดเป็นผลของกรรม) ถ้าเกิดเป็นงูเป็นผลของอะไร (ผลของอกุศลกรรม) ถ้าเกิดในนรกเป็นผลของอะไร (เป็นผลของอกุศลกรรม)

- เพราะฉะนั้นมีใครหรือเปล่า (ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล) มีใครอยากเกิดในนรกไหม (ไม่มี) แล้วทำไมทำไม่ดีจนไปเกิดในนรกได้ (เพราะความไม่รู้) เพราะฉะนั้นแสดงว่า ตราบใดที่ยังไม่รู้ก็จะทำสิ่งที่ไม่ดีจนตกนรก หรือเกิดเป็นนกเป็นอะไรก็ได้ เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมที่พระองค์ทรงแสดงให้เราเข้าใจถูกต้องจนกระทั่งทำความดียิ่งขึ้นเพื่อไม่ไปสู่อบายภูมิ

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่รีบเรียนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่เข้าใจความลึกซึ้ง (คุณมานิชขอถามว่า ชาตินี้ได้โอกาสฟังธรรมและเข้าใจสะสมไป เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ความเข้าใจที่สะสมมาจะเป็นอย่างไร หายไปหรืออย่างไร) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกุศลและอกุศลดับแล้ว แต่เพราะจิตที่เป็นอกุศลขณะใดขณะนั้นก็ “เปื้อนจิต” ทำให้จิตนั้นเป็นอกุศลซึ่งตราบใดที่ไม่มีความเข้าใจถูกไม่มีทางที่จะเอาอกุศลนั้นออกไปได้

- เพราะฉะนั้นไม่รู้ว่า จิตสะสมอะไรมามากน้อยในสังสารวัฏฏ์แต่ทุกวันทุกขณะที่อะไรเกิดขึ้นแสดงให้เห็นการสะสมของฝ่ายกุศลหรืออกุศลมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นชาตินี้สะสมมาที่จะได้ยินคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”

- บางคนมีการสะสมมาที่จะศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เพื่อตนเอง เพราะฉะนั้นคนที่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะฟังธรรมเพื่อรู้ความไม่ดีของตนเอง เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมเพื่อสมบัติ เพื่อเกียรติยศ เพื่อชื่อเสียง เพื่อความเป็น ”เราเก่งเราดี“ อันนั้นเป็นอันตรายมากเหมือนจับงูพิษข้างหางเพราะขณะนั้นไม่รู้ตัวว่า เป็นการเพิ่มกิเลสไม่ใช่การละกิเลส

- ถ้ากิเลสยังเพิ่มขึ้นๆ มากๆ ก็จะทำอกุศลกรรม ถ้าอกุศลกรรมที่ทำแล้วให้ผลเมื่อตายแล้วไปไหน (ในนรก) เพราะฉะนั้นเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมว่า ถ้าเข้าใจธรรมเป็นผลของกรรมจะไม่ไปนรก เพราะฉะนั้นทุกคนที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตเพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาเมื่อไหร่ มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงแสดง

- เข้าใจความจริงเข้าใจธรรมเมื่อไหร่ขณะนั้นเป็นเหตุให้เป็นกุศลกรรมที่ไม่นำไปสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า ฟังธรรมโดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่จะฟังและเข้าใจและประพฤติตาม

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 22 มิ.ย. 2567

- ถ้าฟังแล้วเข้าใจน้อย ไม่พอที่จะไม่ทำอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมแล้วไม่ประพฤติตามให้โทษอย่างยิ่ง (ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามแสดงว่ายังไม่ได้เข้าใจ) และไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เลย ฟังแล้วรู้ว่า ไม่ใช่เราไม่ใช่ใคร ธรรมที่ดีให้ผลดี ธรรมทีไม่ดีก็ให้ผลที่ไม่ดี

- วันนี้คุณมานิชเข้าใจธรรมขึ้นไหม เข้าใจว่าอย่างไร (เจาะจงไม่ได้แต่โดยรวมรู้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นและความไม่รู้น้อยลง) เข้าใจหรือเปล่าว่า เห็นมีจริง (เข้าใจ) สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็มีจริง (ใช่) เห็นคุณสุขินไหม (เห็น) เห็นเห็นอะไร (จริงๆ แล้วเห็นแต่สี) หมายความว่าอะไร (ใช้คำว่า visible object สิ่งที่เห็นเห็นได้) สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นเห็นหรือเปล่า (ไม่เป็น)

- เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่คุณมานิช สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่คุณสุขิน ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่า เห็นไม่ใช่คุณมานิชเห็น แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็น เห็นเกิดดับจะเป็นคุณมานิชได้ไหม (เข้าใจว่าที่เห็นว่าเป็นสุขินเพราะว่ารู้จักมาก่อนและจำได้เพราะฉะนั้นที่คิดว่าตัวเองเห็นเพราะจำได้เหมือนกัน เริ่มเข้าใจตรงนี้ขึ้นเล็กน้อย) ถูกต้อง นี้เป็นสิ่งที่ดีกว่าไปจำชื่อมากๆ เรื่องมากๆ แต่ไม่รู้ว่า ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะตรงกับที่เกิดแล้วดับ

- คุณมานิชตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม (ได้) ทุกคนตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม (เหมือนกัน) ถ้าตายเดี๋ยวนี้แต่เข้าใจธรรมน้อยมากกับฟังเพื่อเข้าใจขึ้นจนกว่าจะตาย อะไรจะดี (จะดีถ้าอยู่ต่อเพื่อฟังธรรมแล้วเจริญความเข้าใจเพิ่มขึ้น) แล้วจะเป็นอย่างที่พูดไหม ทุกคนทำไม่ดีมามากในสังสารสวัฏฏ์และวันนี้ก็ทำดีน้อยมากเมื่อเทียบกับอกุศลเพราะฉะนั้นควรที่จะทำความดีหรือว่าทำสิ่งที่ไม่ดีต่อไป

- (จะดีถ้ากุศลเพิ่มขึ้น) แต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตามีปัจจัยของกุศลมากหรืออกุศลมากก็ต้องรู้ว่า ถ้าอกุศลมากกุศลน้อยผลของอกุศลก็ย่อมเกิดมากกว่าผลของกุศลจะเกิด คุณมานิชมีใครเป็นที่พึ่งหรือยัง (พึ่งพระพุทธองค์ เพราะนึกถึงที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า การศึกษาธรรมฟังคำสอนของพระพุทธองค์แล้วไม่ประพฤติตามคือไม่เคารพพระพุทธองค์ เป็นข้อสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่ควรเคารพมากที่สุดคือใคร)

- คุณมานิชเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ไม่ใช่เห็นพระวรกายแต่เห็นคุณไหม (เริ่มเห็น) เห็นเมื่อไหร่ที่ว่าเริ่มเห็น (ตอนที่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ยังไม่ปรินิพพาน เสด็จไปแต่คนเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าถ้าไม่เข้าใจว่า พระองค์ตรัสรู้อะไร (ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เคารพ) เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นคุณสูงสุดเมื่อเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ว่าเป็นธรรม

- รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอหรือยัง (ไม่พอ ต้องเจริญไปเรื่อยๆ) นี้เป็นเหตุที่เราสนทนาธรรมของพระองค์ทุกวันเสาร์และโอกาสอื่นเพื่อที่จะได้เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้ความไม่รู้น้อยลง กิเลสน้อยลง ถ้าไม่รู้จักพระองค์จะมีอกุศลมากและทำอกุศลกรรมมากๆ ด้วย

- (คุณสุขินไม่ได้ถามคำถามของคุณอาช่าเพราะคำถามยังไม่ชัดเจนจึงกล่าวถึงการเจริญกุศลต่างๆ โดยไม่ได้ฟังธรรมก็มีซึ่งกุศลมีหลายระดับ คุณอาช่าจึงคิดว่าจะสนทนาต่อคราวหน้า เพราะเวลาหมดแล้ว) ดีค่ะเพราะเหตุว่าการที่จะสนทนาธรรมทุกเรื่องต้องเป็นผู้ที่ตรงและกว่าจะเห็นคุณเห็นประโยชน์ของความเข้าใจจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า ฟังธรรมเพื่ออะไร ไม่เป็นไรไว้คราวหน้าให้เขาพูดได้เลย ยินดีในกุศลของคุณสุขิน ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 22 มิ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

กราบยินดีในกุศลคุณสุขินผู้ถ่ายทอดคำจริงเป็นภาษาฮินดี ยินดีด้วยในกุศลของคุณอาช่าและคุณมานิช

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในความอนุเคาระห์ทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 22 มิ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 23 มิ.ย. 2567

"คนที่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะฟังธรรมเพื่อรู้ความไม่ดีของตนเอง"


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ แต่ละข้อความสำหรับศึกษาจริงๆ ครับ

และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ