หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓- หน้าที่ ๒๙๓
“ท่านอย่าได้ทำบาปนะ บาปใดอันท่านทำไว้ บาปนั้นจะเผาผลาญท่านในภายหลัง,บุรุษทํากรรมเหล่าใดไว้ทางกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร เมื่อเขากลับได้ผลของกรรมนั้น ย่อมพบกรรมเหล่านั้นเองในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมเสวยผลดี แต่ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเสวยผลชั่วช้าลามก ไม่น่าปรารถนา, แท้จริง แม้ในทางโลก บุคคลหว่านพืชเช่นใดไว้ ย่อมนำไปซึ่งพืชนั้น คือ ย่อมเก็บผล ได้รับผล เสวยผลอันสมควรแก่พืชนั้นเอง”
(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก จุลลนันทิยชาดก)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ ๑๖๘
คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี
ส่วนคนทำเหตุชั่วย่อมได้ผลชั่ว.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
เริ่มต้นสนทนาธรรมวันนี้ในเรื่อง ... ธรรมไม่มีอะไร ... ถ้ารู้ว่าไม่มีอะไรเลยจะสบายกว่าไหม?
ขณะนี้ที่มืดสนิท เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงของโลกที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
สนทนาธรรมที่บ้านคุณหมอวิภากร 30 มิถุนายน 60
ความเข้าใจถูกเห็นถูกนำมาซึ่งความดีต่างๆ ประโยชน์สูงสุดคือ ทำให้ผู้อื่นได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกด้วย
ทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่ลืมว่าเป็นธรรมะ
เห็นเป็นธรรมะ เพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นแล้วก็ดับไปและไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่เรา
ต้องเป็นผู้ตรงว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล จึงติดข้อง
ต้องรู้ตัวเองว่าฟังนานเท่าไหร่ไม่สำคัญเท่าเข้าใจขึ้นไหม ว่าธรรมไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา เกิดขึ้นเป็นปกติ
ต้องสะสมการฟังต่อไป เห็นประโยชน์ของพระธรรม
ฟังตลอดชีวิต ชาตินี้ก็ไม่พอ
ก่อนฟังพระธรรม ... เราเลือก หลังฟังพระธรรม ... อนัตตา
คนที่พูด "อนัตตา" แล้วโกรธได้ใช่ไหม? เพราะโกรธก็เป็นอนัตตา ... ไม่ใช่เรา
เกิดมาด้วยความไม่รู้ จากไปด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรม ไม่ประมาทในแต่ละคำเลย
ฟังพระธรรมเข้าใจและเริ่มไตร่ตรองแล้ว จึงจะเข้าใกล้พระพุทธเจ้า
มีประโยชน์ไหม ที่จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวมาก?
อยู่ในโลกนี้ด้วยความเข้าใจบ้างหรือเปล่า หรือไปตามกิเลสโดยไม่รู้ตัวเลย?
สิ่งที่มีจริงทุกอย่างสั้นมาก ปรากฎแล้วหมดไปและไม่กลับมาอีกเลย
ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ยั่งยืน ที่จะยึดถือว่าเป็นเรา
ประโยชน์ที่ได้เกิดมาในชาตินี้คือ ได้ฟังคำจริงและเห็นถูกตามความเป็นจริง
เป็นทุกข์ เพราะติดข้อง
ยึดถือว่าเป็นเรา เพราะไม่รู้
อกุศลธรรมทั้งหลาย รู้ความจริงไม่ได้
ผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ผู้นั้นต้องฟังพระธรรม
ค่อยๆ สละความติดข้อง ความเป็นเรา ด้วยความอดทนอย่างยิ่ง
ถ้าเห็นปรากฏ ไม่มีคนเลย
ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจ ความเข้าใจถูก ละความเห็นผิด
บางส่วนจากธรรมสัญจรที่อัมพวา ๑ ก.ค. ๕๘
ผู้ฟัง รุ่มร้อน โทสะ นิดๆ หน่อยๆ รำคาญอยู่ในใจทั้งๆ ที่นั่งอยู่เฉยๆ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นชื่อธรรม แต่เป็นตัวธรรม สติปัฏฐานเกิดเมื่อไหร่ รู้ตรงลักษณะนั้น เร็วมาก ตามรู้ทันทีทางมโนทวารสืบต่อกับทางปัญจทวาร ถ้าสามารถจะรู้ว่าทุกขณะนี้เป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ความเป็นเราก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง เพราะรู้ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะเท่านั้น
ขณะนี้ไม่ว่าทางตาก็เป็นลักษณะหนึ่ง ทางหูก็เป็นลักษณะหนึ่ง จิตที่คิดก็เป็นธรรมอีกลักษณะหนึ่ง ทุกอย่างเป็นลักษณะของธรรมหมด ถ้ามีความเข้าใจในลักษณะของธรรมทั่วและละเอียด ความเป็นเราก็จะไม่มี
พื้นฐานพระอภิธรรม
“มรณะ” หรือ ความตาย ๓ อย่างคือ
๑. ขณิกมรณะ ความตายชั่วขณะแต่ละขณะที่จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นแล้วก็ดับ อันนี้เป็นขณิกมรณะ
๒. สมมุติมรณะ ได้แก่ ความตายในภพหนึ่งชาติหนึ่ง สำหรับทุกคนที่เป็นสัตว์บุคคลเกิดขึ้นแล้วก็ตายไป แล้วแต่อายุขัยหรือว่า อายุของแต่ละบุคคล
๓. สมุจเฉทมรณะ ได้แก่ การปรินิพพานของพระอรหันต์ ซึ่งเมื่อจุติจิตเกิดแล้วก็ดับไป ทำให้สิ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น แต่ว่าไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่ออีกเลย นั่นคือสมุจเฉทมรณะ
แนวทางเจริญวิปัสสนา