Thai-Hindi 06 July 2024

 
prinwut
วันที่  6 ก.ค. 2567
หมายเลข  48066
อ่าน  380

Thai-Hindi 06 July 2024


- เริ่มด้วยการเป็นคนตรงว่า ฟังธรรมเพื่ออะไรสำคัญที่สุดมิฉะนั้นเหมือนจับงูพิษข้างหาง ทุกคนไม่ว่าคนไทย คนจีน คนฝรั่งเศส ฯลฯ ต้องรู้จุดประสงค์สูงสุดที่เป็นประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฏฏ์

- เกิดมาแล้วมีโอกาสได้ฟังคำว่า “พุทธ” ผู้รู้ความจริงน่าอัศจรรย์ไหม หมายความว่า เดี๋ยวนี้มีความจริงที่คนอื่นไม่รู้แน่นอน

- ได้ยินคำว่า มีผู้ที่ตรัสรู้ความจริง เริ่มรู้จักตัวเองไหมว่า ต่างกับผู้ที่ตรัสรู้ความจริงเพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงก็ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพราะธรรมเป็นคำที่ผู้ตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

- เริ่มเคารพสูงสุดในผู้ที่ตรัสรู้และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ด้วยหรือยัง เคารพในผู้ที่ได้ตรัสรู้ด้วยการฟังด้วยความเคารพในความจริงทุกคำ

- คุณอาช่ารู้จักใครบ้าง (เริ่มจากการเข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเองและเริ่มรู้ว่า พระพุทธองค์คือใคร) ถามว่าอย่างไร (ถามว่ารู้จักใคร) นี่คือการเริ่มนิสัยใหม่ที่จะฟัง ใส่ใจให้ดีเพื่อที่จะรู้ความจริงว่า คำถามนั้นถามว่าอะไร ไม่ได้ถามว่ารู้จักพระพุทธเจ้าหรือเปล่า แต่ถามว่าคุณอาช่ารู้จักใครบ้าง

- (ไม่เข้าใจคำถาม) ภาษาธรรมดาที่สุด คุณอาช่ารู้จักใครบ้าง (รู้จักคุณสุคิน) คุณอาช่ารู้จักคุณสุคินว่า คุณสุคินเป็นอย่างไรดีไหม (เป็นคนดีที่แนะนำและสอนธรรมให้) เพราะฉะนั้นต้องพูดความจริงจะได้รู้ว่า ความจริงคืออะไร เราสนทนาธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่ชื่อที่เราจะไปเรียน

- เพราะฉะนั้นคุณสุคินมีความดี รู้คุณของคุณสุคินไหม (เช่นตอนนี้คุณสุคินพูดด้วยกุศลจิตพยายามเต็มที่ที่จะ…) ไม่ได้ถามอย่างนั้น ถามอย่างไรต้องตอบให้ตรง ถามว่า เขารู้ว่าคุณสุคินมีคุณ เขารู้คุณความดีของคุณสุคินไหม (ความดีของคุณสุคินคือชอบพูดเรื่องธรรม) ไม่ได้ถามว่า คุณสุคินชอบเรื่องอะไรๆ ตอบให้ตรง ถามว่า เดี๋ยวนี้สำหรับคุณอาช่าคุณสุคินเป็นผู้มีคุณไหม (มี)

- คนที่รู้คุณของคนอื่นเป็นคนดีไหม (เป็นคนดี) เป็นคนดีแต่คนที่รู้ว่าคนอื่นมีคุณแต่ไม่รู้คุณของคนนั้นเป็นคนดีไหม (ถ้าเป็นอย่างนั้นคนนั้นไม่ดี) หมายความว่าอย่างไร คนไหนไม่ดี (คนที่ไม่เห็นคุณของคนที่มีคุณ)

- เพราะฉะนั้นเวลาที่คนที่มีคุณทำไม่ดีหรือใครก็ตามทำไม่ดี รู้สึกอย่างไร (ถ้าใครทำไม่ดีกับเราๆ ก็รู้สึกไม่ดี) ไม่ใช่กับเรา แต่เวลาที่ใครทำไม่ดีไม่ว่ากับใครหรือกับเรา เขารู้สึกอย่างไร (รู้สึกว่าเป็นคนที่ไม่ดีทำสิ่งที่ไม่ดี) แล้วตัวเขาคิดอย่างนั้น รู้สึกอย่างไร (รู้สึกไม่ดี) ขณะนั้นใครไม่ดี (ตัวเอง)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 6 ก.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง (เห็น) พระองค์ตรัสว่าอย่างไร (พระพุทธองค์ทรงสอนว่า จะดีหรือไม่ดีก็เป็นแต่ธรรมที่เกิดด้วยเหตุปัจจัยไม่มีใครบังคับบัญชาได้ คนที่ไม่ดีเพราะเหตุปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น ที่เราไม่ดีก็เป็นเพราะเหตุปัจจัย)

- พระองค์สอนให้รู้ตัวเองว่า ขณะนั้นไม่ดีใช่ไหม (ใช่) อะไรใช่ (พระพุทธเองค์สอนว่าให้เข้าใจตัวเอง) เข้าใจว่าอะไร​ (สรุปว่า เข้าใจที่เป็นจริงตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรจริงๆ ) เป็นอย่างไร จริงๆ (ยกตัวอย่าง ถ้าโกรธก็รู้ว่าโกรธ) เป็นคนไม่ดี เป็นประโยชน์ไหมที่รู้ว่าเป็นคนไม่ดี (เป็นประโยชน์) เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่จะรู้ตัวเองตามความเป็นจริง

- ถ้าไม่เริ่มรู้ว่า ตัวเองไม่ดีจะสามารถเป็นคนดีขึ้นได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมคือ ศึกษาขณะที่ธรรมเป็นอย่างนั้นจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงธรรมอื่นแล้วไม่รู้ธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- ขอถามคุณอาช่า คุณมานิช คุณสุคินและทุกคนว่า ถ้ารู้ว่าใครไม่ดี ขณะนั้นทำอะไร นี่คือการศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้ความจริงเพื่อเข้าใจตรงตามความเป็นจริง (หลังจากได้ฟังธรรม ถ้าเห็นใครทำไม่ดีคุณอาช่าคิดว่า ก็เพราะทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ถ้าทำไม่ดีก็จะต้องได้รับผลของกรรมของเขาเอง)

- แล้วขณะนั้นใจเราคิดจะทำอะไรบ้าง (ถ้าเป็นไปได้จะพยายามบอก พยายามชี้ให้เขาเห็นว่าที่ทำไปไม่ดี) สามารถจะชี้ได้ไหม (แล้วแต่เหตุปัจจัย ถ้าเห็นเหตุการณ์และสามารถพูดได้ก็จะพูด ถ้าไม่ได้ก็ไม่พูด) เพราะฉะนั้นก่อนคิดอย่างนั้น เวลานี้มีคนไม่ดีเยอะไหม (ถ้าตอนนี้ก็เห็นอกุศลของตัวเองมากกว่า) ไม่ได้ถามอย่างนั้นเลย ไม่ได้ตอบคำถาม (ก็ส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี) ทุกคนหรือเปล่า (ทุกคน)

- ถ้าเขาไม่รู้ว่า ไม่ดี เขาจะแก้ความไม่ดีให้น้อยลงไหม (แก้) แก้อย่างไร (พยายามเข้าใจ) เข้าใจอะไร (ความจริงของความไม่ดี) เข้าใจในขณะไหน (เข้าใจตอนที่เกิด) เข้าใจเดี๋ยวนี้ได้ไหม (ก็เป็นไปได้) เป็นไปได้อย่างไร (เพราะถ้าอกุศลเกิด เช่น ตอนนี้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตรงนี้ก็เข้าใจได้) ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ได้ไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นถ้าคุณอาช่า คุณอาคิ่ล คุณสุคิน ดิฉันหรือใครก็ตามเห็นคนทำสิ่งที่ไม่ดี ขณะที่เห็นอย่างนั้นจิตอะไร รู้สึกอย่างไร (ส่วนใหญ่ก็เป็นอกุศลของเราเองตอนนั้น) แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร นี่คือกำลังศึกษาธรรมตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ทรงสอนให้รู้อกุศลของตัวเอง) เพื่ออะไร (ถ้าเห็นอกุศลของตัวเองเป็นหนทางให้กุศลเจริญขึ้น)

- เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็นอกุศลของตัวเองแล้วกุศลเจริญ ขณะที่กุศลเจริญเป็นอย่างไร (ดีเพราะผลของดีก็คือดี) ไม่ได้ถามถึงผลของดี ถามว่า เวลาที่คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วดีขึ้น ขณะที่คิดว่าดีขึ้น เป็นอะไรอย่างไร

- ถามว่าขณะที่คุณอาช่าเห็นคนไม่ดี รู้สึกอย่างไร เมื่อคุณอาช่าบอกว่า คุณอาช่าดีขึ้น (รู้สึกดีที่เป็นอย่างนั้น) ดีหมายความว่าอย่างไร (ถ้ารู้ว่าตัวเองกำลังเจริญกุศลก็รู้สึกดีที่เจริญกุศล) กุศลอะไร (เข้าใจอกุศลของตนเองตอนที่เห็นอกุศลของคนอื่น) เรากำลังพูดถึงว่า ขณะเห็นคนทำไม่ดี เขารู้สึกอย่างไรที่เขาว่าเขาดีขึ้นในขณะที่เห็นคนอื่นทำไม่ดี (ถ้าเห็นตัวเองดีขึ้นก็รู้สึกดีว่า เห็นตัวเองดีขึ้นอยู่) อย่างนั้นหรือ ดีอย่างไรที่ว่าดีขึ้น ดีตรงไหน ดีอย่างไร (ดีใจที่รู้ว่าดี รู้ว่าอะไรคืออะไร) อะไรคืออะไร (ตอนที่รู้ว่าเห็นคนอื่นไม่ดีและเห็นอกุศลของตนเอง ดีใจรู้ว่า รู้ว่าเป็นอกุศล)

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 6 ก.ค. 2567

- ดีใจที่รู้ว่าเป็นอกุศล แล้วคนที่เราเห็นว่าไม่ดี เรายังเห็นเขาอยู่ใช่ไหม แล้วเรารู้สึกอย่างไรที่ว่าดีขึ้น ที่มาเห็นกุศลของตัวเอง (คิดว่าถ้าช่วยได้ก็จะช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ก็หวังว่า วันหน้าจะช่วยเขาได้) เพราะฉะนั้นที่คุณอาช่าบอกว่า เวลาที่เห็นคนไม่ดีแล้วรู้ว่าตัวเองไม่ดีขณะนั้น ถามว่าที่ไม่ดีขณะนั้นคืออะไร (รู้ว่าเป็นอกุศลที่คิดเรื่องไม่ดีของคนอื่น) ถ้าบอกว่าไม่ดีก็ต้องรู้ว่า อะไรไม่ดีใช่ไหม (เป็นจิตเจตสิก) รู้จิตหรือ ว่าจิตอะไรเจตสิกอะไร ขณะนั้นไม่ใช่ชื่อจิตชื่อเจตสิก (ยังไม่รู้)

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า ขณะนั้นรู้จักความไม่ดีของตนเองใช่ไหม (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เราไม่ดีก็ไม่รู้ แม้เขาไม่ดีก็เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีจริง จะหมดได้ต่อเมื่อได้รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้เข้าใจความจริง

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ความจริงคือไม่มีเรา แต่มีธรรมตั้งแต่เกิดจนตายเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เพราะฉะนั้นไม่ใช่บอกชื่อว่า เป็นจิตเจตสิกอะไรแต่ให้รู้ความจริงว่า ขณะนั้นที่เห็นคนทำไม่ดี จิตขณะนั้นคืออะไร ประเภทไหน ไม่ดีหรือดีอย่างไร ถ้ารู้แต่ชื่อของจิตทั้งหมดแต่ไม่รู้ขณะที่จิตกำลังเป็นอย่างนั้นจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาไหม
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงธรรมให้รู้จักชื่อของธรรมแต่ให้รู้ตัวธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ เพราะฉะนั้นต้องรู้ประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์
- ธรรมละเอียดลึกซึ้งมากนานแสนนานมาแล้ว เกิดขึ้นเป็นไปปรุงแต่งจนเป็นทุกวันที่ธรรมปรากฏแก่แต่ละคน ถ้ารู้จักแต่ชื่อธรรมแต่ไม่รู้ตัวธรรมจริงๆ เดี๋ยวนี้มีประโยชน์ไหม (ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่เป็นการศึกษาพระธรรม)
- ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะประพฤติปฏิบัติตามไหม (ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะน้อมไปทำความดี) แต่ไม่ใช่ด้วยการไม่เข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมไม่มีใครสามารถจะทำให้อกุศลลดลงได้
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมกับคนดีเท่านั้นหรือ (ไม่ใช่ สำหรับทุกคน) พระองค์ทรงแสดงธรรมกับคนไม่ดีด้วยใช่ไหม แต่ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของการฟังความจริงรู้ความจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมกับคนนั้นไหม เพราะฉะนั้นต้องตรงต่อความจริงที่สุด
- ทุกคนเป็นคนไม่ดีมาก่อนแต่เมื่อฟังธรรมแล้วเริ่มเข้าใจขึ้นก็ประพฤติตามไม่ใช่เพียงเข้าใจ ธรรมละเอียดลึกซึ้งต้องฟังด้วยความเคารพในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคนต้องไม่ลืมว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงซึ่งถ้าไม่ฟังไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ เมื่อรู้ความจริงเข้าใจความจริงแล้วประพฤติปฏิบัติตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เราละความเลวความไม่รู้ทั้งหมด
- เพราะฉะนั้นเมื่อฟังเข้าใจแล้วพร้อมที่จะละความชั่ว ความเลว ความไม่ดีหรือยัง ถ้าฟังเพียงเพื่อรู้ความจริงแต่ไม่ละความเลวเป็นประโยชน์ไหม (ไม่มีประโชน์) เพราะฉะนั้นถ้าฟังคำของพระพุทธเจ้าแล้วยังประพฤติไม่ดี นั่นอันตรายอย่างยิ่งเพราะแม้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่ทำให้เขาสามารถละความชั่วได้เพราะฉะนั้นความชั่วก็เพิ่มขึ้นๆ ไม่รู้จบ
- เพราะฉะนั้นผลของความชั่วทำให้เกิดในนรก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคนเลว คนที่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อค่อยๆ รู้ความจริงจึงสามารถที่จะละความเลวได้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงจนสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามได้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีประโยชน์สูงสุด เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เราจะสนทนาคำของพระองค์เพื่อค่อยๆ รู้ความจริงยิ่งขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 6 ก.ค. 2567

- (คุณมานิชถามว่า จริงๆ แล้วที่มีค่าที่สุดคืออะไร ธรรมหรือการมีชีวิตอยู่) ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าฟังทำไม ฟังเพื่อรู้ความจริงแต่ประโยชน์คือ รู้ว่าไม่มีเรา ไม่มีคุณมานิช มีแต่กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม

- เดี๋ยวนี้มีอะไร (เวลานี้มีการเข้าใจธรรมหรือพยายามเข้าใจอยู่) คิดคืออะไร (คิดเป็นความจริงอย่างหนึ่ง) ถูกต้อง คิดป็นความจริงแต่ไม่รู้ว่าคิดคืออะไรใช่ไหม อย่าลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วตรัสว่า ทุกอย่างที่มีจริงลึกซึ้งยากจะรู้ได้แต่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว

- ถ้าไม่เห็นอะไรจะคิดไหม (ไม่) ถ้าไม่ได้ยินอะไรจะคิดไหม (ไม่) เดี๋ยวนี้เห็นอะไร (เห็นสิ่งที่ปรากฏ) สิ่งนั้นต้องกระทบตาใช่ไหม (สีกระทบตา) เพราะฉะนั้นเห็นคนได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเห็นแล้วคิดว่าเป็นคนใช่ไหม (เป็นอย่างนั้น) ต้นไม้เห็นอะไรไหม (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงคือ มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเห็นเกิดขึ้นได้ยิน ถ้าไม่เกิดขึ้นเห็นจะมีเห็นไหม (ถ้าไม่เกิดไม่เห็น)

- เพราะฉะนั้นก่อนเกิดเห็น มีคุณมานิชเห็นไหม (ไม่มี) เห็นเกิดเป็นเห็นหรือเป็นคุณมานิชเห็น เพราะฉะนั้นไม่มีคุณมานิชแต่มีเห็นขณะที่เห็นใช่ไหม (ใช่) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วมีจริงๆ แล้วดับไปเพราะขณะนี้ไม่ได้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะที่ได้ยิน

- คุณมานิชทำให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริงเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเป็นสิ่งนั้นที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ นี่คือ ธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นจริงตามที่สิ่งนั้นเป็นจริงๆ เท่านั้น

- ขณะเห็นจะเป็นได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) ขณะคิดเป็นเห็นได้ไหม (ไม่ได้) ทุกอย่างเกิดเมื่อมีเหตุที่จะทำให้เกิด สิ่งที่เกิดทั้งหมดต่างกันเป็น ๒​ ประเภทใหญ่ๆ สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นรู้ สิ่งที่ถูกรู้ต้องมีด้วย ขณะที่เห็นหมายความว่า ขณะนั้นไม่ได้รู้เสียงแต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ความจริงเดี๋ยวนี้ เห็น เห็นจริงๆ รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังถูกเห็นกำลังปรากฏให้เห็น จริงไหม (จริง)

- เริ่มตรงตามความเป็นจริง ไม่มีใครทำแต่มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดก็ต้องเกิด เห็นเกิดแล้วดับไหม ยังอยู่ไหม (ดับ) สิ่งที่ดับหมายความว่าจะกลับมาอีกไม่ได้เลยใช่ไหม (ไม่ได้) เปลี่ยนความจริงนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ให้ไม่มีเห็นได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ให้ได้ยินขณะที่กำลังได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ต้องเป็นอย่างที่เป็นจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) นี่คือความหมายของ “ธรรม”

- มีคุณมานิชหรือมีธรรม (มีธรรม) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทเจ้าตรัสรู้ธรรมที่มีจริงทุกอย่างและพระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหมดธรรมทั้งปวงไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้นแต่เป็นธรรมแต่ละ ๑

- ขณะเกิดเป็นธรรมเกิดหรือเป็นคุณมานิชเกิด (เป็นธรรมเกิด) ขณะเกิดเป็นธรรมเพราะฉะนั้นเกิดแล้วมีธรรมหลากหลายมากทำให้เป็นคนจน คนรวย คนขาขาด คนแขนขาด คนสมบูรณ์ คนมีเงินมีทรพย์สิน ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องมีความเข้าใจมั่นคงว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ธรรมที่เกิดต้องมีปัจจัยทำให้เกิดเกิดแล้วก็ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้นเกิดมาแล้วก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกทุกวันไม่หยุด

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 6 ก.ค. 2567

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ๔ ทุกคนได้ยินคำว่า อริยัสจจ์ ๔ คุณมานิชเคยได้ยินไหมอริยสัจจ์ ๔ (เคย) อริยัสจจ์ที่ ๑​ คืออะไร (ทุกข์) เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรเกิดจะมีทุกข์ไหม (ไม่) สิ่งที่เกิดทุกอย่าง ดับใช่ไหม (ใช่)

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ๑ เห็นเกิดแล้วดับ ถูกต้องไหม (ถูก) เมื่อพระองค์ตรัสรู้จึงทรงแสดงว่า เดี๋ยวนี้สิ่งนี้เกิดแล้วดับ ความจริงอย่างนี้รู้ได้ไหม (รู้ได้) เดี๋ยวนี้รู้ได้ไหม (ไม่ได้)

- ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเข้าใจขึ้น พระองค์ทรงแสดงหนทางที่จะประจักษ์ความจริงนี้ด้วยจึงเป็น “อริยสัจจธรรม”

- คุณมานิชคิดว่า หนทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจะคืออะไร (ต้องได้ฟังคำสอนและเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง) เพราะฉะนั้นได้ยินคำที่พระองค์ตรัสว่าอะไรบ้าง (ได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง) เกิดแล้วดับใช่ไหม ทุกอย่างที่มีจริง มีจริงจึงเป็นธรรมใช่ไหม

- ถ้าพูดว่า “ธรรม” และเข้าใจธรรม หมายความว่า ไม่มีใครไม่มีอะไรนอกจากเป็นธรรมจริงๆ ที่เกิดดับแต่ละหนึ่งใช่ไหม (ต้องเข้าใจ) เปลี่ยนความเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ไหม (เปลี่ยนไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นเมื่อคุณมานิชมีความเข้าใจมั่นคง ธรรมเป็นธรรม ใครทำให้เกิดขึ้นไม่ได้แต่เมื่อมีปัจจัยต้องเกิดถูกต้องไหม เพื่อให้มั่นคงไม่เปลี่ยนขอถามคุณมานิชว่าอะไรเป็นธรรมบ้าง (ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม และทุกอย่างที่ไม่มีจริงก็เป็นธรรม)

- ไม่มีจริงแล้วไปสนใจอะไร มันไม่มี ไม่มีก็ไม่มี (ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ไม่มีจริงไม่ได้เป็นธรรม) เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพื่อจะรู้ว่าคุณมานิชเข้าใจธรรมแค่ไหนบอกมาเลยว่า อะไรเป็นธรรมบ้าง (เห็น ได้ยิน คิดนึก ได้กลิ่น รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส) อะไรอีกที่มีจริง ถามอีก ไม่ใช่มีจริงเท่านี้ ถามอีกให้เขาคิดให้ได้ ให้เขามั่นคงให้ได้ (คิดได้เท่านั้น ตอบได้เท่านั้น)

- ถ้าอย่างนั้นถามว่า โกรธมีจริงไหม (โกรธเป็นธรรม) จำมีจริงไหม (เป็นธรรม) ชอบมีจริงไหม (มีจริง) อิสสามีจริงไหม (มีจริง) เป็นธรรมหรือปล่า (ถ้ามีจริงก็เป็นธรรม) มีจริงทำไมต้อง “ถ้า” (อิสสาเป็นธรรม) ต้องตรง คราวหน้าจะต้องตอบให้หมดว่า ธรรมมีอะไรบ้าง

- ก็ยินดีในความอดทน ในความเพียรที่จะเข้าใจพระธรรม ยินดีในคุณของคุณสุคินด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 6 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาคุณสุคินที่เกื้อกูลแปลคำจริงเป็นภาษาฮินดีเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

กราบขอบพระคุณ กราบยินดีในกุศลอาจารย์คำปั่นและคณะอาจารย์ มศพ ทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 6 ก.ค. 2567

"ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่มีใครสามารถจะทำให้อกุศลลดลงได้"


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ แต่ละข้อความสำหรับศึกษาจริงๆ ครับ

และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornchai.s
วันที่ 6 ก.ค. 2567

ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเข้าใจขึ้น พระองค์ทรงแสดงหนทางที่จะประจักษ์ความจริงนี้ด้วยจึงเป็น “อริยสัจจธรรม”

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์เหนือเศียรเกล้า ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nattawan
วันที่ 7 ก.ค. 2567

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ