เผชิญหน้าแต่ไม่รู้

 
nattawan
วันที่  11 ก.ค. 2567
หมายเลข  48102
อ่าน  85

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏกับจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ แต่ก็ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมะ เพราะอยู่ในความมืดคืออวิชชา และเมื่อไม่รู้ความจริงก็ยิ่งสะสมหมักหมมความไม่ดีต่อไป จึงควรศึกษาธรรมะเพื่อเป็นสาวก คือ ผู้ฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจ

จากการสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรมที่ มศพ. 20 ม.ค. 56

ธรรมะไม่ขาดเลยล้อมรอบอยู่กับธรรมะตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็เกิดอีกตายอีกก็เป็นธรรมะทั้งหมด

เผชิญหน้ากับธรรมะ เหมือนเห็นดอกไม้สวยๆ แต่ความจริงมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่รู้ว่า ขณะนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งหนึ่งซึ่งจะปรากฏได้ ต่อเมื่อสิ่งนี้กระทบจักขุปสาท แล้วกรรมทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ... ไม่รู้เลย ... เห็นไหมว่าตตั้งเท่าไหร่แล้วตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้ความจริงของเห็น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นสาระมากมายเพราะเหตุว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะสนใจมากมายในสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรื่องราวต่างๆ ไม่คิดถึงจิตเหรอคะ? ธาตุรู้ซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นธรรมะที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ของใครเลย แต่ก็เกิดสืบต่อแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ขอยืมกันไม่ได้ แลกกันไม่ได้ แต่ละหนึ่งก็คือสภาพธรรมะที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้น

เคยคิดไหมว่าธาตุรู้ในขณะนี้เป็นยังไง? มองไม่เห็นเลย ไม่มีอะไรที่จะไปทำให้รู้ว่ามีขอบเขตเป็นสีแดงหรือสีเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย เป็นใหญ่เป็นประธานไหมในการที่สามารถที่จะเกิดขึ้นในความมืดแล้วก็รู้ ขณะที่ได้ยินเสียงไม่ได้สว่างเลย!!! ธาตุรู้ก็มืด เสียงก็ไม่ปรากฏให้เห็นทางตา แต่ธาตุรู้ก็สามารถได้ยินเสียงในความมืดแล้วก็ดับไป

อยู่ในโลกมืดสองอย่าง มืดคือไม่ปรากฏให้เห็นกับมืดด้วยอวิชชา เพราะฉะนั้น ไม่ปรากฏให้เห็นแค่ทวารเดียวหรือทางเดียวคือทางตา แต่ทางอื่นก็มืดหมดทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น อยู่ในความมืดของอวิชชามากกว่าความมืดในขณะที่มองไม่เห็นหรือเปล่า??

ไม่เคยรู้เลยว่าสภาพของจิตแต่ละขณะหนักหรือมากมายล้นจักรวาล กี่จักรวาลก็บรรจุกิเลสไม่ไหว ... ไม่ได้เลย ... แล้วนี่อยู่ที่ไหน? มีทางเดียวที่จะพ้นจากภาวะที่เป็นภาวะของความมืดด้วยความไม่รู้ ด้วยการเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จนกว่าอวิชชานั้นจะหมดไป

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าใครฟังธรรมะแล้วจะไปปฏิบัติ จะไปเป็นพระโสดาบันหรือจะไปหวังในสิ่งซึ่งไม่ใช่ความจริง เพราะเหตุว่าไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้

ก็เป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะฟังอะไรแล้วก็ต้องเข้าใจความจริงว่า ขณะนั้นแม้แต่ความเข้าใจก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่จิต จิตเป็นธาตุรู้ที่ไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป แต่ก็มีสภาพธรรมะที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมด้วยทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี

แล้วในวันหนึ่งๆ ฝ่ายไม่ดีก็เกิดมากกว่าโดยไม่รู้ตัวเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็สะสมหมักหมมความไม่ดีมากมาย เพราะฉะนั้น ก็ยังคงสะสมต่อไปอีกถ้าไม่รู้ความจริง

ประโยชน์ที่สุดคือทำดีแล้วก็เข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่าระหว่างดีกับชั่ว ตื้นๆ ธรรมดาทุกคนก็ต้องรู้ว่าดีต้องดีกว่า แต่ทำไมไม่ได้ทำ เพราะว่ามีความเข้าใจไม่พอใช่ไหม?? เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาธรรมะเพื่อที่จะได้เป็นผู้ฟังพระธรรม เป็นสาวกที่ฟังและเข้าใจก็ทำให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่จะขัดเกลากิเลส แล้วก็เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวก คือ ผู้ฟังพระธรรมจริงๆ ... ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเรื่องราว ... แต่ก็เหมือนเดิม!!!

เชิญชม ...

เผชิญหน้าแต่ไม่รู้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลวิริยะของอ.อรรณพ หอมจันทร์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ