เข้าใจความลึกซึ้ง

 
nattawan
วันที่  19 ก.ค. 2567
หมายเลข  48158
อ่าน  166

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นต้องเป็นจิตไม่ใช่เจตสิกที่เห็น

ธาตุหมายถึงสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่ละธาตุเป็นสิ่งที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีวิญญาณธาตุคือเห็น / จักขุวิญญาณธาตุ วิญญาณเกิดเพราะมีจักขุ จึงเป็นจักขุวิญญาณธาตุเพราะฉะนั้น มีตาทำไม? จะมีประโยชน์ไหมถ้ามีตาแต่ไม่เห็น? มีตาแล้วเห็นมีประโยชน์ไหม?

แม้แต่การฟังยังต้องลึกซึ้งว่าถามอะไรต้องตอบให้ตรง ไม่ใช่ตอบอย่างอื่น!!! การสนทนาธรรมเป็นการหัดคิดให้ลึกซึ้ง ถามละเอียดเพื่อจะเข้าใจความลึกซึ้ง!!!

ทุกคนตอบตามความคิด แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร? เห็นเป็นอริยสัจจธรรมหรือเปล่า? เป็นอริยสัจจธรรมที่หนึ่งคือทุกข์ เชื่อไหมว่าเห็นเป็นทุกข์? เพราะฉะนั้น เชื่อพระองค์ไหม? เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อจะไม่ต้องเห็นอีกใช่ไหม? แล้วพระองค์ตรัสว่าอย่างไร? ฟังคำของพระองค์ทำไม ... เพื่ออะไร??

ฟังเพื่อไม่ต้องเห็นอีกเลย ... แต่ต้องไม่ใช่เรา ... มีการอบรมทีละเล็กทีละน้อยจนไม่มีเรา เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจความจริงรอบที่หนึ่งในอริยสัจสี่ .. เพื่อเข้าใจความจริงรอบที่สองคือเดี๋ยวนี้ ... เพื่อประจักษ์แจ้งความจริงตามที่พระองค์ทรงประจักษ์รอบที่สาม ... ไม่ใช่เรา แต่ขณะนั้นเพราะหิริโอตตัปปะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่าพระองค์ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน ... แต่ไม่เคยรู้!!!

ห้ามโลภะไม่ให้มีมากๆ ได้ไหม? ไม่ได้แล้วทำยังไง ... ทำอะไร? อยากได้มากๆ แล้วทำอะไร? เพราะวิรตีไม่เกิดเพราะฉะนั้น ทุกคนที่ทำไม่ดี เรารู้ได้ว่าเพราะวิรตีไม่เกิด

ธรรมะละเอียดมาก ถ้าชอบมากๆ อยากได้มากๆ แล้วขอ ... ไม่มีวิรตี ... ไม่คิดเลยว่าเจ้าของชอบขนาดไหน เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถึงคนอื่นจะไม่ขอ!!! ... ไม่ใช่คนนั้น แต่วิรตีเกิด

ธรรมะละเอียดมาก เกิดดับเร็วที่สุดและเวลาที่ธรรมะปรากฏจะไม่มีชื่อ แต่ลักษณะที่ดีหรือไม่ดีเท่านั้นที่จะปรากฏ

พอฟังธรรมะเข้าใจแล้ว ... เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นอะไร?? ... ต้องตรง ... ถามว่าไง?? ... เห็นมั้ยคะอกุศลล้ำลึกมากรู้ไม่ทัน ... ละเอียดมากๆ การที่จะรู้ทันธรรมะได้ เพราะฉะนั้น ถามว่าเมื่อมีความเข้าใจธรรมะแล้ว ขณะนั้นพอจะรู้ได้ไหมว่าเป็นจิตอะไร?? ... ขณะนั้นเป็นกุศล ... ไม่ตรง!!! ... ขณะที่พูดอย่างนั้นเพราะต้องการและพูดออกไปเป็นอกุศล แต่ถ้าเขาจะให้ ... ยินดีที่เขาจะให้เพราะขณะนั้นเป็นกุศลจิตไม่ใช่อกุศลจิต

เพราะฉะนั้น ยินดีในกุศลของเขา ... ขณะนั้นต้องยินดีจริงๆ!!! ไม่ใช่พูดเพื่อที่จะเป็นกุศล ... ไม่ใช่ ... ขณะนั้นต้องยินดีในกุศลของคนที่จะให้ ... ถ้าเป็นอย่างนี้คือค่อยๆ ขัดเกลาสิ่งที่มหาศาลค่ะ ออกมาทุกรูปแบบที่จะลวงให้คิดว่าเป็นกุศล

ถ้าไม่เข้าใจรู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้ขัดเกลา ไม่สำคัญที่คำพูด ... ใจสำคัญที่สุด และปัญญาเท่านั้นต้องมีสภาพตรง (อุชุกตา: จิตตุชุกตา) ต้องตรงตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นปัญญาเท่านั้นจึงรู้ ถ้าเราพยายามเถลไถลไม่ใช่ปัญญา ก็ไม่มีทางจะรู้ ... ไม่มีทางจะขัดเกลา

ปัญญานำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นประโยชน์

เชิญชม youtube.com/live/0EFxsOljDh4?feature=share

สนทนาธรรมกับชาวเนปาล 19/7/67


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 20 ก.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 21 ก.ค. 2567

ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า ผู้ขอไม่เป็นที่รักของผู้ถูกขอ ผู้ถูกขอไม่ให้ก็ไม่เป็นที่รักของผู้ขอ

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

ภาพจาก Wannee Dhamma

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ