Thai-Hindi 27 July 2024

 
prinwut
วันที่  27 ก.ค. 2567
หมายเลข  48202
อ่าน  273

Thai-Hindi 27 July 2024


- มีอะไรที่จะสนทนาไหม (คราวที่แล้วสนทนาเรื่องอินทรีย์ อยากจะต่อเรื่องนั้น) ก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่า ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือเลย เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ทุกขณะ การศึกษาธรรมเป็นการศึกษาให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะไม่มีประโยชน์เลยทุกชาติ

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างที่มีทุกขณะของทุกโลกเพื่อให้รู้ความจริงและไม่ลืมทุกคำที่ได้ฟังแล้วจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

- ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงพระธรรมจะไม่มีใครรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ เพราะฉะนั้นฟังพระธรรมด้วยความเคารพสูงสุด

- พระองค์ตรัสสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจให้เคารพในความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า ฟังคำของพระองค์เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีทุกขณะโดยนัยประการต่างๆ ทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังด้วยความเคารพเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี

- เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่า ฟังพระธรรมเพื่อละความไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีอะไรแค่นี้ เริ่มต้นอีกๆ แค่นี้ ถ้าไม่รู้ธรรมเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักคำที่พระองค์ตรัสว่า “อินทริยะ” หรือ “อินทรีย์”

- เดี๋ยวนี้ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากมีสิ่งที่เกิดขึ้นกำลังปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นอินทรีย์อยู่ไหน ลองคิดดู (อยู่ตอนนี้อยู่ปัจจุบันนี้)

- ถูกต้อง แล้วเดี๋ยวนี้อะไรเป็นอินทรีย์ ต้องเป็นปัญญาของตัวเอง (ถ้าไม่มีเห็นก็ไม่รู้สิ่งที่เห็น) เพราะฉะนั้นเห็นเป็นใหญ่ไหม (เห็นเป็นใหญ่) เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอะไรจึงเป็นใหญ่ (คุณอาช่ายังไม่ได้เอ่ยชื่อแต่เข้าใจความหมายว่า เป็นเพราะเห็นถึงเห็น อย่างอื่นไม่ได้เห็น “เห็น” เห็น)

- ต้องรู้แน่ๆ ว่าเห็นคืออะไร เพราะนี้เป็นความจริง แต่ว่าความจริงก็คือความจริงว่า เห็นเป็นอะไร คิดให้ออก (เพราะเป็นจิตไม่เป็นเหตุผลพอที่จะเรียกว่าเป็นอินทรีย์)

- ต้องไม่ลืม จิตคืออะไร จิตเป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้จะมีอะไรปรากฏไหม

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงฟังเรื่องจิต จำชื่อจิต รู้ว่าจิตทำอะไร แต่ลักษณะที่แท้จริงคือ ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานมิฉะนั้นจะไม่มีสิ่งใดปรากฏเลยทั้งสิ้นถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานรู้แจ้งในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเหตุนี้จิตจึงเป็นอินทริยะใช้คำว่า “มนินทริยะ” เป็นคำรวมของคำว่า “มนะ” กับ “อินทริยะ” จึงเป็น “มนินทริยะ”

- ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะลืมไหมว่า ไม่มีเรา ไม่มีอาช่า ไม่มีอาคิ่ล ไม่มีสุคิน ไม่มีโลก ไม่มีอะไรเลย มีแต่จิตที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แล้วดับไม่กลับมาอีกเลย จริงไหม เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจความจริงได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 27 ก.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ เป็นเราเห็น เป็นเราชอบ เป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย สภาพที่ไม่รู้ความจริงเป็น “อวิชชา” เป็นโมหเจตสิก เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีทุกวันๆ จนกระทั่งสามารถเข้าถึงความจริงว่า สิ่งนั้นมีแล้วหามีไม่ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีเรา ค่อยๆ ละความเป็นเราทีละเล็กทีละน้อยละเอียดมากลึกซึ้งมาก

- กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวนี้กำลังมีจิตกำลังมีมนินทรีย์แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมทำไม (เพื่อเจริญความเข้าใจและรู้ว่าไม่มีเรา) ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องแล้วคนอื่นไม่รู้ ควรจะช่วยให้คนอื่นได้รู้ไหม (ควร) เพราะฉะนั้นฟังธรรมเข้าใจเป็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่นใช่ไหม

- คุณอาช่าฟังธรรม เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้า เริ่มเห็นพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้นคุณอาช่าจะทำอะไร (จะพยายามเพิ่มความเข้าใจ) และจะช่วยให้คนอื่นเข้าใจไหม (ในเมื่อเราเห็นค่าของพระธรรมเราก็ต้องช่วยให้คนอื่นเข้าใจด้วย)

- ถ้าทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดที่เรามีโอกาสได้ฟัง ถ้าทุกคนเข้าใจเหมือนกันก็ร่วมใจกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ใช่ไหม (ถ้าเป็นอย่างนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็คิดจะช่วยคนอื่น) ทุกคนจะปลาบปลื้มยินดีมากที่เห็นผู้ที่เข้าใจธรรมร่วมใจกันพร้อมเพรียงกันดำรงรักษาพระธรรม

- และต้องไม่ลืม ธรรมลึกซึ้งละเอียดต้องเคารพด้วยการไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง มิฉะนั้นเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นการช่วยดำรงรักษาคำสอน

- ธรรมทุกอย่างไม่ใช่ของใคร มีเหตุปัจจัยหลากหลายเกิดขึ้นเป็นธรรมหลากหลายต่างกัน เพราะฉะนั้นพูดถึงมนินทรีย์ไม่ใช่ไปคิดเรื่องมนินทรีย์แต่ให้รู้ความเป็นมนินทรีย์ของเดี๋ยวนี้ที่เห็น

- เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้เห็นเป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้จึงมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้มากมายตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ กว่าจะรู้ความจริงของธรรมแต่ละ ๑ และรู้ว่า ธรรมใดเป็นอินทริยะก็ต้องตรงต่อความเป็นจริงโดยการที่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น

- เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังเห็น ธาตุรู้คือจิตเป็นมนินทรีย์ แล้วมีอะไรอีกไหมที่เป็นใหญ่มากด้วย (สีก็เป็นอินทริยะ) เป็นไม่ได้เลย

- เพราะฉะนั้นลองคิดดูมีอะไรอีกไหมที่เป็นใหญ่เดี๋ยวนี้ (ตาเป็นอินทริยะ) ค่อยๆ เข้าใจอินทรีย์เพิ่มขึ้นใช่ไหมว่า ไม่ใช่มีแต่สิ่งเดียวเท่านั้นเพราะว่า ธาตุรู้ที่จะเกิดต้องอาศัยธรรมหลายอย่างที่ต้องเป็นใหญ่จึงจะสามารถให้ธาตุรู้ขณะนั้นเกิดขึ้นได้แม้ว่าธาตุรู้นั้นเป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์

- คิดออกไหมอะไรเป็นใหญ่ด้วยในชีวิตประจำวัน ทำให้การประพฤติเป็นไปของแต่ละคนเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง (ตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่ได้พูดถึงเห็นเท่านั้นใช่ไหม) แน่นอน เรากำลังพูดถึงอินทริยะใช่ไหม เราพูดจบเรื่องมนินทรีย์แล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงอินทรีย์ต่อไปใช่ไหม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 27 ก.ค. 2567

- (นอกจากปสาทรูป ๕ และวิญญาณ ๕​ อาช่านึกถึงปัญญาที่น่าจะเป็นอินทริยะ) ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เลย ฟังคำถาม ไม่ได้พูดถึงปสาทรูป ๕ อะไรเลย แต่กำลังพูดถึงว่า กำลังเห็นมีมนินทรีย์แล้วมีอะไรอีกที่เป็นอินทรีย์เพราะสำคัญด้วยเป็นใหญ่ด้วย พูดถึงขณะเห็น ๑ ขณะ ไม่ใช่ไปพูดถึงอื่นเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องศึกษานัยต่างๆ เพื่อรอบรู้ในความเป็นธรรม

- (นอกจากมนินทรีย์ “เห็น” เมื่อกี้ตอบไปแล้วว่า ตาก็เป็นอินทรีย์) ไม่ ดิฉันไม่ได้พูดถึง ดิฉันพูดถึงขณะเห็น ไม่เป็นไร ถ้าเขาคิดถึงจักขุปสาทเป็นจักขุนทรีย์ แล้วอะไรอีกสำคัญมาก (ไม่ทราบ) ความรู้สึกมีไหม (มี) เป็นใหญ่ไหม (เป็นได้) ไม่ใช่เป็นได้ เป็นใหญ่ไหม (เป็นใหญ่) เป็นใหญ่เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจธรรมที่เป็นใหญ่ที่เป็นนามธรรมบ้างรูปธรรมบ้างแต่ต้องตรง

- ทำไมความรู้สึกเป็นใหญ่ (เพราะว่าต้องมีเวทนาถึงมีเห็น) มีแล้ว แล้วเป็นใหญ่ไหม เวทนาเป็นใหญ่อย่างไร (เข้าใจว่าในชีวิตประจำวันเวทนาสำคัญมากเพราะฉะนั้นเวทนาต้องเป็นใหญ่) เพราะฉะนั้นเวทนาทั้งหมดเป็นอินทรีย์

- เพราะฉะนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นอินทรีย์ ๕ ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นรู้จัก ๖ อินทรีย์รวมทั้งมนินทรีย์แล้วใช่ไหม จิตทั้งหมดเป็นมนินทรีย์เพราะฉะนั้นเราพูดถึงสภาพที่เป็นใหญ่ในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติให้รู้ว่า อะไรเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องเป็นสิ่งที่กำลังมีและสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่จำเป็นตัวหนังสือ (ไม่ทราบว่า เวทนาเป็นอินทริยะเพราะอะไร)

- เห็นไหม แม้จะบอกว่า เวทนาเป็นอินทริยะก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อรู้ความจริง

- คุณอาช่ามีความสุขเมื่อไหร่ (เมื่อมีสุขเวทนา) ไม่ใช่อย่างนั้นฟังดีๆ ถามว่าคุณอาช่ามีความสุขเมื่อไหร่ อะไรทำให้มีความสุข ได้อะไรมา (คุณอาช่านึกตัวอย่างไม่ออก) เพราะฉะนั้นถามให้เขาคิดไม่ใช่บอกเขา ถามเขาว่า วันนี้มีความสุขบ้างไหม (ตอนที่ฟังท่านอาจารย์บางขณะเข้าใจก็มีความสุข)

- แล้วเวลาไม่ได้ฟัง มีความสุขบ้างไหม (ฟังเพลง) ฟังเพลงมีความสุขเพราะฉะนั้นเวทนาสำคัญไหม เขาจะฟังเพลงไหม (ถ้าไม่ความสุขก็ไม่ฟัง) เพราะฉะนั้นต้องการความสุขใช่ไหมจึงฟังเพลง เพราะฉะนั้นต้องการทุกอย่างเพื่อความสุขใช่ไหม รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียงทั้งหมดต้องการเพื่อความสุขใช่ไหม เห็นความเป็นใหญ่ของความรู้สึกหรือยัง

- ความรู้สึกเที่ยงไหม เกิดดับหรือเปล่า (ไม่เที่ยง) ถ้ายังไม่รู้ความจริงก็แสวงหาความสุขใช่ไหม เพราะฉะนั้นแสวงหาความสุขตั้งแต่เกิดจนตายไม่จบสิ้นใช่ไหม (เป็นเช่นนั้น) แต่ถ้ารู้ความจริงว่า ความสุขไม่เที่ยงยังจะติดข้องมากไหม

- เพราะไม่รู้ความจริง ทุกคนจึงแสวงหาความสุขทุกทางไม่ว่าโดยทางสุจริตหรือทุจริต เพราะฉะนั้นการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุดเพราะทำให้เห็นโทษของความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดทุกอย่าง จนกว่าจะได้ฟังความจริงจากทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์แจ้งและทรงแสดง

- ถ้าไม่เข้าใจความจริงจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชีวิตก็จะจมลงไปในการทุจริต ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจว่าที่ทุกคนทำทุกอย่างดีบ้างไม่ดีบ้างจนกระทั่งทำสิ่งที่ร้ายที่สุดเพราะเวทนาเป็นใหญ่เป็นอินทรีย์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 27 ก.ค. 2567

- ความเห็นถูกต้องคือปัญญาที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากความไม่รู้ความจริงเป็นค่อยๆ รู้ความจริงขึ้น ตอนนี้เห็นความเป็นอินทรีย์ของความรู้สึกแล้วใช่ไหม

- มีอินทรีย์อะไรอีกไหมที่ได้อ่านและได้ฟังแล้วและต้องการสนทนากัน (อาช่ายังไม่ได้อ่านเรื่องอินทรีย์) แล้วเอาคำว่าอินทรีย์มาจากไหน (ไม่ได้อ่านแต่เคยได้ยินผ่านหู) ดีนะที่ได้ยินผ่านหูแล้วไม่เลยไปโดยไม่เข้าใจความจริงเพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงความจริงของทุกอย่างที่มีให้เข้าใจถูกต้อง

- เพราะฉะนั้นตอนนี้มีกี่อินทรีย์แล้วที่ได้ฟังและเข้าใจ (๗ อินทรีย์ มีมนินทรีย์ มีปสาทรูป ๕ และมีเวทนา) มีเวทนาเท่าไหร่ (มี ๓) อะไรบ้าง (มีสุขเวทนา ทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา)

- ทางใจมีสุขไหม (มีทางใจ) ตกลงเวทนินทรีย์มีเท่าไหร่ (คุณอาช่าสับสนเรื่องเวทนาต่างๆ อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยพูดเรื่องเวทนา) ได้ค่ะ เวทนาเป็นความรู้สึก คุณอาช่าเคยเจ็บปวดตัวไหม (เคย) เคยปวดหัวปวดท้องไหม ปวดขาปวดแขน (เคยเป็น) ขณะนั้นเป็นทุกข์ทางกายใช่ไหม

- เวลาปวดท้องรู้สึกอย่างไรเป็นสุขไหม (ไม่สุข) เพราะฉะนั้นก็เป็นโทมนัสเวทนา ขณะนั้นเป็นทุกข์ทางกายแล้วก็เป็นโทมนัสทางใจ เพราะฉะนั้นทางกายไม่ใช่โทมนัส ทางใจไม่ใช่ทุกขเวทนา

- ตอนนี้คุณอ่าช่านั่งอยู่ใช่ไหม (ใช่) เมื่อยหรือยัง (เมื่อย) เมื่อยแล้วใช่ไหมแต่ก็ฟังธรรมต่อไปใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นทุกข์กายแต่ยังไม่ทุกข์ใจ (เป็นเช่นนั้น) นี่เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอาช่าไม่มีอะไรเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นอนัตตา

- คุณอาช่าไม่ชอบใครบ้างไหม (มีบ้าง อุปนิสัยไม่ชอบเกลียดใครแต่ว่ามีถ้านึกถึงบางเหตุการณ์) ขณะที่ไม่ชอบเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ (เป็นทุกข์) แต่ไม่ใช่ทุกข์กายเพราะฉะนั้นเป็นโทมนัสเวทนา

- อะไรทนยากกว่ากัน ทุกข์กายหรือทุกข์ใจ (แล้วแต่เหตุการณ์ บางทีปวดกายมากทนไม่ได้ถึงขนาดว่าคิดเรื่องไม่ดีถึงคนอื่นก็ไม่สำคัญ ทุกข์ตรงนี้สำคัญกว่า) แต่ถ้าไม่มีทุกข์กายแล้วมีทุกข์ใจมาก คิดว่าทนอะไรได้มากกว่ากัน (ถ้าทุกข์ใจน่าเดือดร้อนมากกว่า)

- เพราะฉะนั้นสำหรับบางคนไม่เหมือนกัน บางคนทนทุกข์กายได้แต่ทุกข์ใจนิดเดียวก็แย่แล้ว บางคนทนทุกข์ใจได้หมดแต่ทุกข์กายทนไม่ได้เลยเพราะการสะสมต่างกัน

- ทุกข์ใจ ขอยกตัวอย่างตัวเอง ทุกข์ใจอาจจะน้อยแต่ทุกข์กายทนไม่ได้กลัวเข็มฉีดยา เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัยที่สะสมมา ทุกคนสะสมความไม่รู้ความจริงมานานมากเป็นเรามานานมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 27 ก.ค. 2567

- บางคนทำสิ่งที่ไม่ดีมาแล้วในสังสารวัฏฏ์มาก แต่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นที่พึ่งให้รู้ความจริงจึงสามารถละความไม่ดีทั้งหมดได้ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนสามารถประพฤติตามได้ เป็นไปได้ไหม

- ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงจะละความไม่ดีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการรู้ความจริงการเข้าใจความจริงถูกต้องเป็นใหญ่ไหม สามารถที่จะละความไม่รู้และกิเลสทั้งหมดได้ไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูก ความรู้ความจริงเป็นที่พึ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดเป็น “ปัญญินทรีย์”

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกว่า ฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงแล้วละ มิฉะนั้นจะไม่มีที่พึ่งอกุศลก็เพิ่มขึ้นไม่มีทางลดลงได้ เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นบ้างหรือยัง เพราะฉะนั้นมีความมั่นคงว่า ฟังเพื่อเข้าใจความจริงถูกต้องและละความไม่ดี

- ฟังกี่อินทรีย์แล้ว (สรุปแล้วเวทนาที่เป็นอินทริยเป็น..) เป็น ๕ (ยังไม่ได้แยกออกมา) พูดแล้วไม่ใช่หรือทางกายเท่าไหร่ ทางใจเท่าไหร่ และก็รู้จักคำว่าอุเบกขาแล้ว รู้ว่าเป็นเวทนาแล้ว เพราะฉะนั้นเวทนาเป็นอินทรีย์ทั้ง ๕ นับแล้วด้วย (๑๒ อินทรีย์แล้ว)

- เริ่มใหม่ทีละ ๑ ให้ใส่คำว่าอินทรีย์ลงไปทุกครั้งเป็นภาษาบาลีไปด้วย (มนินทรีย์ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ สุขินทรีย์ ทุขินทรีย์ อทุกขมสุขินทรีย์ (อุเบกขินทรีย์) โสมนัสสินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ ปัญญินทรีย์) เท่าไหร่แล้ว (๑๒)

- ต่อไปมีอะไรอีกไหม ไม่เคยได้ยินใช่ไหม สัทธากับอินทริยะเป็นสัทธินทรีย์ ถ้าไม่มีธรรมฝ่ายกุศล กุศลเกิดไม่ได้ สัทธาเป็นอะไร (เป็นเจตสิก) เป็นสัทธาเจตสิก

- สัทธาเป็นอย่างไร (โดยละเอียดยังไม่เข้าใจแต่รู้คร่าวๆ เช่น ถ้าไม่มีสัทธาก็ไม่ฟังพระธรรม) แต่ต้องเข้าใจความละเอียดของธรรม สัทธามีจริงเป็นธรรมที่เป็นนามธรรม สัทธาเป็นสภาพที่สะอาดผ่องใสไม่สกปรก ขณะใดที่สัทธาเกิดสภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วยสะอาดเป็นกุศล พอจะอุปมาให้พอเข้าใจได้บ้างคือ เหมือนสารส้มที่ใสสะอาดและทำให้สภาพธรรมเช่น น้ำขุ่นก็สะอาดด้วย

- เพราะฉะนั้นสัทธาจึงเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เพราะถ้าสัทธาไม่มีขณะนั้นสภาพจิตใสสะอาดไม่ได้ เพราะฉะนั้นสัทธาจึงเป็นใหญ่เป็นสัทธินทรีย์ เพราะฉะนั้นสัทธาเกิดไม่ได้ถ้าขณะนั้นจิตเป็นอกุศลแต่ทันทีที่สัทธาเกิดจิตสกปรกไม่ได้

- วันนี้สัทธาเกิดบ่อยไหม (มีบ้างไม่ได้เกิดบ่อย) มีเมื่อไหร่ (อย่างตอนนี้ที่ฟังธรรม) แล้วมีตอนไหนที่มีสัทธา (เช่นวันนี้ตื่นมานึกถึงสุนัขที่เลี้ยงไว้แล้วตั้งใจทำอาหารให้กิน) นั่นหรือสัทธา ไม่ใช่โลภะหรือ (บางที่ก็มีความรู้สึกว่าทำด้วยความเห็นใจจริงๆ) แต่ก็ยังเป็นสุนัขใช่ไหม (ตอนนั้นยังเป็นไม่ใช่แค่สุนัข เป็น…)

- เพราะฉะนั้นสัทธาเกิดกับสภาพจิตที่ดีงาม ต้องรู้ว่าขณะนั้นเป็นจิตที่ดีงามหรือไม่ดีงาม สภาพธรรมเกิดดับเร็วมากถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะเข้าใจตรงลักษณะที่ปรากฏจะไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นอะไร เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นต้องตรงต่อธรรมจึงจะเป็นสัจจบารมี

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 27 ก.ค. 2567

- ธรรมละเอียดมากถ้าไม่รู้ความจริงไม่สามารถที่จะละกิเลสได้เลย หลังจากจิตเห็นดับไป สัมปฏิจฉันนะเกิด สันตีรณะเกิด โวฏฐัพพนะเกิด อาสวะเกิดแล้ว

- เพราะฉะนั้นต้องฟังธรรมด้วยความเคารพสูงสุดจริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ว่า ธรรมละเอียด ขั้นฟังต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรองรอบรู้ในคำที่ตรัสไว้ไม่เปลี่ยน ถ้าไม่เห็นความละเอียดลึกซึ้งจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม จะเคารพพระองค์จริงๆ หรือ

- เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่าลึกซึ้ง เบื่อไหม (ไม่เบื่อยิ่งสนใจเพราะว่าที่ไม่รู้มีเยอะมากควรจะรู้อีกเยอะและเวลามีน้อยมาก) ยินดีกับกุศลของคุณอาช่าอย่างยิ่งที่เริ่มรู้ความลึกซึ้งของธรรมเริ่มเห็นคุณที่ลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เวลาที่คุณอาช่าคิดถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เข้าใจพระธรรมขณะนั้นจิตของคุณอ่าช่าสะอาดใสมีสัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่เพียงคิดถึงเรื่องหรือชื่อแต่สภาพจิตขณะนั้นผ่องใสจึงรู้ว่า สภาพที่ใสไม่มีอกุศลมีจริงและเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง

- เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ กุศลเกิดมากหรืออกุศลเกิดมาก แม้แต่ขณะที่เห็นสุนัขก็เป็นคุณอาช่าที่ยืนและเห็นสุนัข และเวลาที่คุณอาช่าเห็นสุนัขของตัวเองและเห็นสุนัขตัวอื่นๆ รู้สึกเหมือนกันไหม (ปกติก็ช่วยสุนัขตัวอื่นมีโอกาสก็ให้อาหาร ถ้าสุนัขกัดกันก็จะตีสุนัขของตัวเองแต่ก็รู้ว่ารักเพราะอยู่ด้วยกันมานานก็ต้องรักสุนัขของตัวเองมากกว่า)

- “ต้อง” หมายความว่าอะไร (เป็นธรรมชาติว่าอยู่ด้วยกันก็ต้องรักกันมากกว่า) เพราะฉะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล (เป็นอกุศล) ดีไหม (ไม่ดี) ควรจะไม่มีใช่ไหม (ควร) เพราะฉะนั้นต้องรู้หนทางที่จะไม่มีจึงจะไม่มีได้ เพราะฉะนั้นคนที่เห็นประโชน์เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธฌจ้าต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล

- เวลาที่คุณอาช่าเห็นสุนัขแล้วสงสารมีสัทธาใช่ไหม (เมื่อไหร่ที่สงสารสุนัขตอนนั้นก็มีสัทธา) แต่ต้องรู้ว่า ความสงสารขณะนั้นสงสารด้วยความผูกพันหรือเปล่า อันนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะต้องฟังอีกต่อไปมาก แต่ให้ทราบว่า ขณะใดก็ตามที่กุศลเกิดขณะนั้นจิตสะอาดมีสัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วยแต่ยังไม่ถึงความเป็นสัทธินทรีย์ (ยังไม่ถึงเป็นสัทธินทรีย์หมายถึงเป็นกุศลทั่วไป) แน่นอน

- สภาพธรรมละเอียดมากต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละความเป็นเรา เวลาเห็นสุนัขแล้วเป็นกุศลเพราะมีความเป็นเพื่อนเมตตา รู้ในความเป็นสภาพนั้น ใช่ไหม (เป็นเช่นนั้น) แล้วเวลาเห็นคนรู็สึกอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็นบ้าง) เป็นผู้ตรง

- เพราะฉะนั้นจะรู้ธรรมก็ต่อเมื่อเป็นผู้ตรง ต้องเป็นผู้ตรงที่จะรู้ขณะไหนเป็นขณะไหนไม่เป็น ต้องตรงและจริงใจจึงสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เดี๋ยวนี้ยังไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่) เพราะยังไม่ใช่ปัญญินทรีย์

- สำหรับวันนี้ก็ยินดีในกุศลของทุกท่านอย่างยิ่งและก็ต้องขอบคุณคุณสุคิน ยินดีในกุศลของคุณสุคินด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 27 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยความเคารพสูงสุด

กราบเท้าอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลคุณสุคิน คุณอาช่า

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 27 ก.ค. 2567

"ความเห็นถูกต้องคือปัญญาที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากความไม่รู้ความจริงเป็นค่อยๆ รู้ความจริงขึ้น"


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ แต่ละข้อความเป็นประโยชน์ที่สุด ครับ

และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
namarupa
วันที่ 27 ก.ค. 2567

ยินดียิ่งในกุศลจิตของน้องตู่ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
teep704
วันที่ 27 ก.ค. 2567

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาในกุสลจิต ทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nattawan
วันที่ 28 ก.ค. 2567

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ