ผมเพิ่งเข้าใจครับ ว่าทำไมท่านอาจารย์ จึงเน้นย้ำว่า ..
พระธรรมวินัย เป็นรากแก้ว
คือ ผมเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา ซึ่งก็เริ่มศึกษาจากพระอภิธรรม ทั้งนี้ก็ด้วยเมตตาและความกรุณาของท่านอาจารย์ ที่ได้แสดงธรรมต่างๆ แก่บริษัท ผมจึงมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จากที่ไม่มีความรู้ใดๆ ทางพระพุทธศาสนาเลย (แม้จะยังน้อยนิดต่อการบรรลุผล แต่ก็มากมายมหาศาลสำหรับผมทีเดียว) ผมแปลกใจว่า ทำไมท่านอาจารย์ จึงกล่าวอยู่สม่ำเสมอว่า จำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจในพระธรรมวินัย เพราะเป็นรากแก้วแห่งพระพุทธศาสนา
ทำไมท่านอาจารย์ไม่กล่าวว่า พระปิฎกอื่นว่าเป็นรากแก้วบ้าง ในเมื่อพระปิฎกอื่นนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาเพื่อบรรลุมรรคผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอภิธรรม ก็ได้แต่พิจารณาแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
วันนี้ผมพึ่งได้เข้าใจ ว่าทำไม ...
เป็นเพราะพระธรรมวินัย เป็นเครื่องตรวจวัดที่ชัดเจนที่สุดว่า สิ่งที่ต้องปฏิบัติให้คงไว้เป็นอย่างไร เมื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องมีการคงไว้ การศึกษาในพระปิฏกอื่น ที่เราได้เข้าใจผิดว่า เราเข้าใจแล้ว ก็จะไปในทางที่ต่างกันกับพระวินัยทันที ซึ่งเมื่อเราทำการตรวจสอบเทียบเคียง ก็จะเห็นได้ว่าเราพลาดที่ใด
และทั้งนี้ เมื่อการสืบต่อในพระธรรมวินัยไม่คลาดเคลื่อน แม้จะมีผู้อ้างอิงว่า มาจากพระสูตรต่างๆ แต่ถ้าคำสอนที่ได้ทำการอ้างอิงนั้นๆ ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็เข้าใจโดยทันทีว่า สิ่งนี้ไม่ถูกแล้ว ทำให้คงไว้ในการเป็นเครื่องพิจารณาที่ถูกต้องสืบต่อไป
ขอกราบเท้าท่าน อาจารย์สุจินต์ บริหราวนเขตต์ ด้วยความเครพอย่างสูง
ขออนุโมทนา
พระวินัย คือ คำสั่ง
พระธรรม คือ คำสอน
พระธรรมวินัย คือ พระพุทธพจน์ทั้งหมดที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา
บทนำ ปรมัตถธรรมสังเขป ในอดีตสมัย ณ สาลวัน อันเป็นที่แวะพัก แห่งพวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินาราพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดับขันธปรินิพพาน ระหว่างไม้สาละคู่ หมดโอกาสที่สัตว์โลก จะได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์อีกต่อไป พระผู้มีพระภาค ประทานพระธรรมวินัย ที่ทรงแสดงแล้ว ไว้เป็นศาสดา แทนพระองค์ เมื่อทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
พุทธบริษัท ย่อมถวายความนอบน้อมสักการะพระธรรมอันประเสริฐสุด ของพระผู้มีพระภาค ตามความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย แม้ผู้ใด เห็นพระวรกายของพระองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ หรือแม้ได้จับชายสังฆาฏิ ติดตามพระองค์ไป แต่ไม่รู้ธรรม ไม่เป็นธรรม ผู้นั้นก็หาได้เห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต
พระพุทธศาสนา คือ พระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ขั้น ๑. ขั้นปริยัติ ศึกษาพระธรรมวินัย ๒. ขั้นปฏิบัติ เจริญธรรมเพื่อบรรลุธรรมที่ดับกิเลสดับทุกข์ ๓. ขั้นปฏิเวธ รู้แจ้งธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์
พระพุทธดำรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นตถาคต หมายถึงการเห็นธรรม รู้แจ้งธรรม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือ โลกุตตรธรรม ๙ ขั้น ปฏิเวธเป็นผลของการเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ การเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ ต้องอาศัยปริยัติ ด้วยเหตุนี้ปริยัติคือ การศึกษาพระธรรมวินัย จึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นทางนำไปสู่ พระพุทธศาสนา ขั้นปฏิบัติและขั้นปฏิเวธ เป็นลำดับไป
พระธรรมวินัย ซึ่งพระอรหันตสาวก ได้สังคายนาเป็น ๓ ปิฏกนั้น คือ
๑. พระวินัยปิฏก ๒. พระสุตตันตปิฏก ๓. พระอภิธรรมปิฏก
พระวินัยปิฏก เกี่ยวกับระเบียบข้อประพฤติปฏิบัติ เพื่อพรหมจรรย์ขั้นสูงยิ่งขึ้นเป็นส่วนใหญ่ พระสุตตันปิฏก เกี่ยวกับหลักธรรม ที่ทรงเทศนาแก่บุคคลต่างๆ ณ สถานที่ต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ พระอภิธรรมปิฏก เกี่ยวกับสภาพธรรม พร้อมทั้งเหตุและผลของธรรมทั้งปวง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การศึกษาธรรมที่ถูกต้อง คือต้องสอดคล้องกันทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าไม่เข้าใจอภิธรรมในเบื้องต้น ก็เข้าใจพระสูตรและพระวินัยผิดได้ โดยเฉพาะ ในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน (วิปัสสนา) ง่ายๆ ครับ ถ้าไม่ได้ศึกษาเข้าใจอภิธรรม ก็คิดว่ามีตัวตน มีเรา ที่ทำได้ บังคับได้ เลือกเวลาที่จะทำวิปัสสนา แต่เมื่ออภิธรรมแสดงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา มีเหตุปัจจัยจึงเกิด แม้สติและปัญญาที่เป็นวิปัสสนา ก็ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดได้ จึงไม่มีตัวตน ที่จะบังคับให้วิปัสสนาเกิดครับ ดังนั้น การศึกษาธรรมที่ถูกคือ ต้องสอดคล้องทั้ง ๓ ปิฎก ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องด้วยนะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์