ฟังเพื่อเข้าใจพระธรรมเพื่อเป็นคนดี_สนทนาไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๗
อาช่า: สองอาทิตย์ก่อนเราสนทนากันเรื่องอินทรีย์ค่ะ คราวที่แล้วเรามาพูดถึงอินทรีย์ที่เป็นปสาทรูป และก็อินทรีย์ที่เป็นปัญญา อินทรีย์ที่เป็นจิต และมาถึงอินทรีย์ที่เป็นศรัทธาค่ะ
ท่านอาจารย์: ก่อนอื่นก็ต้องทบทวนความหมายของ อินทรีย์ ว่า หมายความว่าอะไร?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่าความหมายของอินทรีย์คืออะไร เพราะว่าทุกอย่างมีจริงเป็นธรรม แต่ทำไมธรรมบางอย่างเป็นอินทริยะเพราะอะไร?
อาช่า: ก็เพราะปสาทรูป ๕ ...
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่อย่างนั้น การศึกษาพระธรรมต้องรู้ว่า แต่ละคำ แต่ละสิ่งที่มีที่เป็นธรรม ละเอียด ลึกซึ้ง จะได้คิดจะได้ตอบต่อไป คนที่มีความรู้ทางภาษาอ่านพระไตรปิฎกได้ เข้าใจความหมายในภาษามคธี ในภาษาสันษกฤต ในภาษาลาติน หรือภาษาอะไรทั้งหมด แต่ไม่รู้จักธรรมเพราะไม่ลึกซึ้ง
อาช่า: ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่ากำลังศึกษาความลึกซึ้งของธรรม ทุกธรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่มีจริงทุกอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องเคารพในความลึกซึ้ง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่พระองค์ตรัสว่า ธรรมที่เป็นใหญ่สำคัญมากขาดไม่ได้ มี ๒๒ ธรรมที่เป็นอินทริยะ คนไทยพูดว่า ใจ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จิตตะ
เราฟัง ทุกคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพสูงสุด ทั่วๆ ไปทุกคนรู้ว่า ทุกคนมีใจ นี่คือทั่วๆ ไป แต่รู้ความลึกซึ้งของใจหรือเปล่า เห็นความลึกซึ้งไหม ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ มีใจ คือจิตตะ แต่ไม่รู้ความลึกซึ้งเลย
เพราะฉะนั้น สภาพรู้ที่ทุกอย่างกำลังปรากฏ เพราะสภาพนี้เกิดขึ้นรู้ ไม่มีใครรู้ว่ายิ่งใหญ่ สำคัญ เป็นอินทริยะ
การศึกษาธรรมที่มีประโยชน์จริงๆ คือรู้ธรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ เพราะฉะนั้น การพูดถึงธรรม ไม่ใช่พูดถึงคนอื่น แต่พูดให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะ มิเช่นนั้น ไม่สามารถจะละกิเลส ไม่สามารถที่จะละความเป็นเราได้เลย
เพราะฉะนั้น เราเริ่มจะรู้ความเป็นอินทรีย์ของชีวิตประจำวัน จิตเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ แต่ถ้าไม่มีตา จิตไม่สามารถจะรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ ที่กระทบตา ลึกซึ้งไหม เพียงไม่มีตา ไม่สามารถที่จะมีจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ได้
จะไม่มีอะไรปรากฏเป็นคุณสุคิน เป็นคุณอาช่า เป็นถนน เป็นบ้าน เป็นอินเดีย เป็นไทยเลย
เพราะฉะนั้น กำลังฟังธรรมด้วยความเคารพสูงสุดที่จะเริ่มเข้าใจความจริง ไม่ว่าโลกไหน โลกมนุษย์ โลกอเวจี โลกนรก โลกสวรรค์ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เริ่มเห็นความสำคัญของตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพราะฉะนั้น ฟังความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความจริงว่า ขณะนี้ทุกครั้งที่เห็น ได้ยิน ก็เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย จึงสำคัญอย่างยิ่งเป็น อินทริยะ เฉพาะในกิจของตน
ชีวิตดำรงอยู่ชั่วหนึ่งขณะจิตที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับ ขณะที่กำลังเข้าใจธรรม ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าใจธรรม ตา เป็นใหญ่หรือเปล่า?
อาช่า: ตาไม่เป็นอินทริยะค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นอินทรีย์เป็นเฉพาะในหน้าที่ของตนเท่านั้น เพราะฉะนั้น ตา เป็นใหญ่เฉพาะเมื่อมีสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น และขณะที่เข้าใจ ความเข้าใจเป็นใหญ่ จึงสามารถเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้
เพราะฉะนั้น แต่ละธรรมจะเป็นอินทรีย์เมื่อทำหน้าที่ของตน เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเดี๋ยวนี้เล็กน้อยมาก เทียบกับ ความเข้าใจความลึกซึ้งมหาศาลที่จะต้องประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้น แม้ปัญญาเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ก็ยังไม่ใช่อินทรีย์
เพราะฉะนั้น ประมาทพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับของเราที่กำลังเริ่มได้ฟัง คำ ของพระองค์ เล็กน้อยเหมือนผง
เพราะฉะนั้น คุณอาช่าปลาบปลื้มยินดีมากไหม ที่มีโอกาสได้ฟังแม้เพียงคำที่เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
อาช่า: ปลาบปลื้มค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การที่สามารถในชีวิตในสังสารวัฏฏ์ ได้ยิน คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเข้าใจความลึกซึ้ง มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ แม้ทรัพย์สมบัติของพระมหาจักรพรรดิ
เพราะฉะนั้น มีค่ายิ่งกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ คำชมเชยทุกสิ่งทุกอย่างหมดหมด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะเริ่มรู้ความจริงว่า ความไม่ดีทั้งหมด กิเลสทั้งหมด ที่สะสมมา ไม่สามารถจะละได้ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทรงแสดง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทำให้ท่านพระสารีบุตรและทุกคนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนผ้าเช็ดธุลี ต้องไม่มีความสำคัญใดๆ
การเห็นกิเลสของตัวเอง ทำให้เห็นโทษ และละกิเลสของตัวเอง มีค่ากว่าการที่เห็นกิเลสของคนอื่นมากมายมหาศาล แต่ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีสุคิน ไม่มีสุจินต์ ไม่มีคุณวีระ ไม่มีใครเลย นอกจากธรรมที่สามารถเข้าใจถูกต้องเท่านั้นที่เป็นอินทริยะ เป็นปัญญินทรีย์ ที่สามารถจะละกิเลสได้
ความเข้าใจ คือปัญญา ไม่ใช่เรา เป็นอินทรีย์แล้วยัง?
อาช่า: ตอนนี้ไม่สามารถรู้ได้ แต่บางครั้งมีความเข้าใจทำให้รู้สึกว่า เป็นอินทริยะค่ะ
ท่านอาจารย์: รู้สึกเองใช่ไหมว่าเป็นอินทรีย์?
อาช่า: ใช่ค่ะ เป็นตามนั้น อยากให้ท่านอาจารย์เกื้อกูลด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณอาช่าคิดเลย
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องฟังเรื่องอินทรีย์ต่อไป เพื่อรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ถ้ายังไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ จะเป็นอินทริยะได้อย่างไร
เริ่มเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจของตนเอง จึงเป็นพระพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อนุเคราะห์ให้ทุกคนได้รู้จักตนเอง
ประมาทความลึกซึ้งของธรรมไม่ได้เลย เพราะยิ่งฟังยิ่งลึกซึ้ง
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ปัญญาขณะนี้เป็นอินทรีย์ไม่ได้เลย เริ่มไตร่ตรองอีกๆ ๆ
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น นอกจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอินทรีย์แล้ว เพราะเป็นใหญ่ในการที่เห็นทั้งวัน ได้ยินทั้งวัน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกทั้งวันแล้ว คุณอาช่า คิดว่า อะไรเป็นใหญ่สำคัญอีก?
อาช่า: ความรู้สึกค่ะ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง ถ้าไม่ได้ฟัง คุณอาช่าคิดได้ไหมว่าความรู้สึกนี่แหละสำคัญมาก?
อาช่า: ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ความรู้สึกสำคัญที่สุดตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: ความรู้สึกสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ความรู้สึกสำคัญที่สุดตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตายคุณอาช่าแสวงหาความรู้สึกอะไร?
อาช่า: แสวงหาความสุข
ท่านอาจารย์: ไม่สงสัยเลยใช่ไหมว่า ความรู้สึกเป็นใหญ่มาก เพราะฉะนั้น ความรู้สึกทั้งหมดเป็นอินทริยะ ความรู้สึกทั้งหมดมีเท่าไหร่ กี่ชนิด?
อาช่า: ๕ ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ แล้วก็มีความรู้สึกอีก ๕ เป็นกี่อินทรีย์แล้ว?
อาช่า: เป็น ๑๐ ค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็น ๑๐ เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: แต่ลืมความเป็นอินทรีย์ใช่ไหม ลืมว่า เป็นธรรมที่เป็นอินทรีย์ใช่ไหม?
อาช่า: ใช่ค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นอินทรีย์
ท่านอาจารย์: และถ้าไม่ฟังธรรม ไม่ไตร่ตรองละเอียดขึ้น จะละความเป็นเราได้ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงเริ่มไม่ลืมอินทริยะใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราจะพูดถึงธรรมอื่นต่อไปที่เป็นอินทริยะ
อาช่า: ขอถามว่า เวลาเราเข้าใจแล้วก็มาคำนึงถึงเรื่องอินทริยะ ๕ ที่เป็นปสาทรูปว่า เป็นอินทริยะ คำถามก็เกิดขึ้นว่า หทยวัตถุทำไมไม่เป็นอินทริยะ
ท่านอาจารย์: เวลา เห็น หทยวัตถุทำหน้าที่อะไรมิทราบ?
อาช่า: ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น หทยวัตถุเป็นรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเท่านั้น บางภูมิไม่ต้องมีรูป คือหทยวัตถุ จิตก็เกิดได้
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น หทยวัตถุจึงไม่เป็นอินทริยะ เพราะเป็นที่เกิดเท่านั้น
เพราะฉะนั้น คุณอาช่าเริ่มเข้าใจว่า พระธรรมใครก็คิดเองไม่ได้ นอกจากได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ที่คุณอาช่าเข้าใจอย่างนี้ ถูกต้องไหม?
อาช่า: ตรงนี้ไม่สงสัยเลยค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะนั้น คือศรัทธา ศรัทธาเป็นธรรมที่ไม่ใช่คุณอาช่า ไม่ใช่คุณอาคิ่ล ศรัทธาเป็นธรรมที่สะอาดผ่องใส ไม่สกปรก ไม่มีอกุศลเกิดร่วมด้วย
ขณะที่เข้าใจอย่างนั้น จิตสะอาดไหม?
อาช่า: จิตผ่องใสค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจความหมายของธรรมที่เป็นศรัทธาเจตสิก เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ดีงาม จิตที่ดีงาม จะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีศรัทธาเจตสิกเกิด
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ก่อนสนทนาวันนี้ คุณอาช่าเข้าใจ และรู้จักศรัทธาหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่รู้จักค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เข้าใจเพียงเท่านี้พอไหม?
อาช่า: ไม่พอค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ศรัทธาเริ่มเป็นอินทรีย์ เห็นประโยชน์ของกุศล ถ้าศรัทธาไม่เกิด จิตไม่สะอาดเป็นอกุศลตลอดทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้ก็เห็นคุณประโยชน์ของศรัทธาที่ทำให้ฟังละเอียดขึ้น เข้าใจละเอียดขึ้น เพื่อละอกุศล คือความไม่ดีที่มีมาก
คุณอาช่า เริ่มเห็นประโยชน์ของศรัทธาหรือยัง?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: นี่เป็นขั้นเริ่มต้นนะ ยังไม่ใช่ศรัทธินทริยะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์เมื่อเข้าใจขึ้นๆ ในความลึกซึ้งซึ่งมากกว่านี้มหาศาล ฟังแล้วเบิกบานไหม ที่มีโอกาสได้ละอกุศล?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: หนทางอื่นมีไหม นอกจากฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองละเอียดขึ้น จะเข้าใจไหม?
อาช่า: ไม่เข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจพระธรรม เพื่อเป็นคนดี ทุกโอกาส ทุกโอกาสที่สามารถจะดีได้ แต่ต้องฟังดีๆ นะ ทุกโอกาสที่สามารถจะดีได้ ไม่ใช่หมายความว่า เรามี หรือเราทำ จึงสามารถจะรู้ได้มั่นคงว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเท่านั้น ที่จะทำให้ละอกุศลที่ไม่ดีทั้งหมด และเป็นคนดีได้
ศรัทธาเพิ่มขึ้นไหม?
อาช่า: เพิ่มขึ้นค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เป็นคนดีเพิ่มขึ้นแล้วนิดหนึ่ง
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: อดทนไหมที่จะละกิเลสเพิ่มอีก ไม่ใช่เพียงเท่านี้
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ทุกขณะที่อดทน เป็นกุศล เป็นขันติบารมี ถ้าไม่มีการฟังต่อไปอีก จะสามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นคุณที่ทำให้อกุศลลดไปเรื่อยๆ ได้ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: คนไม่ดีมีมากไหม?
อาช่า: มีมาก
ท่านอาจารย์: เห็นใจ เข้าใจ เป็นมิตรกับเขาที่จะให้เขาได้ฟังพระธรรมจนเข้าใจไหม?
คุณสุคิน: มานิชเกิดคำถามขึ้นมาว่า ที่ท่านอาจารย์ถามว่า คนไม่ดีมีมากไหม มานิชบอกว่า ใช่ แล้วเกิดการสงสัยว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ผมเลยบอกเขาว่า นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราสามารถสนทนาได้ทีหลัง แต่วันนี้เราคุยกันเรื่องนี้ ถ้าเราไปเปลี่ยนเรื่องนี้จากนั้น เราคงไม่เข้าใจ ...
ท่านอาจารย์: คุณสุคินคะ ไม่เปลี่ยนเลย เพราะเหตุว่าเขาไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
คุณสุคิน: ถ้าอย่างนั้น เราคุยเรื่องนี้กันดีไหม
ท่านอาจารย์: ทุกๆ เรื่อง แล้วมันจะเข้ามาตามเรื่องที่เรากำลังพูด แต่ไม่ใช่ต้องการให้เขาเข้าใจ แต่เขาไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แต่ถ้าเขาเข้าใจแล้วเขาจะรู้ว่า อ้อ .. ก็เรื่องนี้แหละที่กำลังพูดกันนั้นแหละ
คุณสุคิน: ครับ
ท่านอาจารย์: ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ใครไม่ดี?
คุณสุคิน: เหตุที่มานิชถาม เขาว่าไม่ใช่เพราะว่า เราไปว่าคนนี้ไม่ดี แล้วคนนี้ดีได้อย่างไร ในเมื่อจริงๆ แล้วมันก็เป็นจิต เจตสิก บางทีก็ดี บางทีก็ไม่ดี ถ้าไม่ดีทำไมต้องไปเรียกว่า เป็นบุคคลนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ดีครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีธรรม จะมีความเข้าใจว่ามีเราไหม?
มานิช: ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระองค์รู้ว่ามีแต่ธรรมเท่านั้น
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: แต่เพราะ ไม่รู้ ใช่ไหม จึงคิดว่า เข้าใจว่า ยึดถือว่า ธรรมเป็นเราเป็นเขา?
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีธรรม จะมีเราไหม แต่เมื่อมีเราหมายความว่าอย่างไร?
มานิช: หมายความว่า มีความไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์: มีธรรม หรือมีเรา?
มานิช: มีธรรม ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ที่มีเรานั้น ผิด หรือถูก
มานิช: ผิดครับ
ท่านอาจารย์: เพราะมีเรา จึงหวังทุกอย่างให้เรามีความสุขสบาย มีทุจริตต่างๆ ใช่ไหม?
มานิช: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: ทุกคนควรละทุจริตใช่ไหม?
มานิช: ควรครับ
ท่านอาจารย์: ควรแล้ว ละหรือยัง?
มานิช: ยังไม่ครับ
ท่านอาจารย์: ทำไมไม่ละล่ะ?
มานิช: เพราะความเข้าใจน้อยมากครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงต้องมีความเข้าใจถูกเท่านั้นที่ละทุกอย่างได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ทุกคนคิดจริงๆ เพื่อประโยชน์จริงๆ ว่า ฟังธรรมทำไม
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อให้เข้าใจมั่นคงขึ้นว่า อกุศลทั้งหลายไม่ดี ไม่มีประโยชน์ เป็นโทษอย่างยิ่ง
ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศลมากๆ ขึ้นจริงๆ จะละไหม?
มานิช: ไม่ละครับ
ท่านอาจารย์: ทุกคนไม่ดี เพราะไม่รู้ใช่ไหม?
มานิช: ตอนนี้เริ่มเข้าใจว่า ก็มีธรรมอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ความไม่รู้ และอีกอันแทนที่จะพูดสรุปว่าคนไม่ดีเพราะมีความไม่รู้ ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่า ความไม่รู้ก็เป็นความไม่ดีอย่างหนึ่ง และนอกจากความไม่รู้ก็ยังมีความไม่ดีอีกเยอะ เพราะฉะนั้น ก็สรุปได้ว่า ส่วนใหญ่ไม่ดี
ท่านอาจารย์: แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดอย่างไร ตรัสอย่างไร?
มานิช: พระพุทธองค์ตรัสว่า ควรฟังพระธรรม และเพิ่มความเข้าใจครับ
ท่านอาจารย์: ก่อนจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องอดทนที่จะเข้าใจถูกต้องเพื่อให้คนอื่นพ้นจากความไม่รู้ด้วยใช่ไหม?
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: คุณมานิชเคารพนับถือใครสูงสุด? เพราะอะไร?
มานิช: ยกตัวอย่างวันนี้ที่เราสนทนากันเรื่องศรัทธา หลังจากที่ฟังท่านอาจารย์บรรยาย ก็เข้าใจตรงนี้มากขึ้น และรู้ว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์เรื่องนี้ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีความเคารพสูงสุดเพราะทำให้คุณมานิชมีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีทุกวันตามความเป็นจริงใช่ไหม?
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดเพราะพระองค์ทำให้พ้นจากความมึดที่ทำให้จมลงไปสู่อเวจี และความทุกข์ทั้งหลายได้ในสังสารวัฏฏ์
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เขาทำอะไร?
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ใช้เวลาหน่อย เพราะมานิชไม่ได้คิดถึงผลของอกุศลกรรมที่ทำให้เกิดในอบายภูมิ ผมอธิบายว่าตามความจริงทำอกุศลกรรมก็ต้องมีผล แล้วก็เราเองก็หนีทุกขเวทนา แสวงหาสุขเวทนาใช่ไหม มานิชก็เริ่มเข้าใจว่าใช่ แม้ว่าเขาไม่คิดเรื่องสวรรค์ หรือนรก แต่ความจริงแล้วถ้าคิดขึ้นมาเขาก็ไม่อยากไปเกิดตรงนั้น ถ้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าถ้าไม่มีความเข้าใจก็ต้องมีแต่ทุกข์ เพราะฉะนั้น จะทำอะไรควร เขาก็ตอบว่า ควรฟังธรรมต่อ เจริญความเข้าใจครับ
ท่านอาจารย์: ก็ยินดีนะ ขอบคุณที่คุณสุคินช่วยอธิบายให้เขาฟัง เพราะฉะนั้น ถามเขาเลย เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
มานิช: พยายามที่จะลดอกุศลครับ
ท่านอาจารย์: พยายามได้ไหม?
มานิช: ก็คือพยายามด้วยตัวตนไม่ได้ แล้วถ้าไม่ได้ฟังธรรม ก็ไม่รู้เลยว่า เป็นอย่างนี้เป็นเราทำ ตอนนี้เข้าใจว่าเราทำไม่ได้จริงๆ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
มานิช: ฟังธรรมเท่าที่ทำได้มากที่สุด และเจริญความเข้าใจ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่า เป็นคนไม่ดีมานานมาก ไม่มีหนทางที่จะดีได้เลย เพราะฉะนั้น จมลงไปในความมืดที่จะไปนรกแน่ๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าได้มีความเข้าใจธรรม ทำความดี และก็ช่วยคนอื่นให้ได้เข้าใจถูกต้องให้เข้าใจธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะดี
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้ามีคนทำไม่ดี คุณมานิชรู้สึกอย่างไร?
มานิช: ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นนัยยะว่าเป็นคนไม่ดี จะคิดว่าคนที่ไม่มีความรู้ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าเขาไม่ดี จะบอกว่าดีหรือ?
มานิช: คิดว่า ไม่ดีครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่คิดว่าเขาดีนะ ไม่ดีก็ไม่ดี ดีก็ดี ต้องตรง
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: คนไม่ดีมีเยอะไหม?
มานิช: มีเยอะครับ
ท่านอาจารย์: เวลารู้ว่า คนไม่ดี รู้สึกอย่างไร?
มานิช: ชีวิตประจำวันเริ่มพิจารณาแล้ว บางทีใครไม่ดีต่อหน้าก็มาคิดได้ภายหลัง บางที่ก็ไม่คิด ส่วนใหญก็เกิดอกุศลแล้วก็ไม่ชอบครับ
ท่านอาจารย์: ดีไหม ถูกไหม?
มานิช: ไม่ดีครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เห็นความไม่ดีของคนอื่น แล้วไม่ชอบ ขณะนั้นตัวเองดีหรือเปล่า?
มานิช: ตอนนั้นเราไม่ดีครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มรู้นะ ขณะใดที่ไม่พอใจในความไม่ดีของคนอื่น ขณะนั้นใครไม่ดีด้วย?
มานิช: ตัวเองไม่ดีด้วยครับ
ท่านอาจารย์: แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร?
มานิช: พระพุทธองค์สอนให้ปิดปากไว้ อย่าไปแสดงปฏิกิริยา
คุณสุคิน: ผมบอกพระพุทธองค์จะสอนให้ทำแบบนี้ อย่าทำแบบนั้นหรือให้สอนอย่างไร มานิชตอบว่า พระพุทธองค์สอนอย่าให้เราเกิดอกุศลตามครับ
ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำ แต่ให้เข้าใจถูกว่า ขณะนั้นอะไรดี อะไรไม่ดี ไม่ว่าใครจะร้ายใครจะเลวอย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร มีความหวังดีกับทุกคนไม่มีประมาณหรือเปล่า?
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: ขณะที่มีความเข้าใจ มีความเห็นใจ มีความหวังดี ขณะนั้นจิตผ่องใสเป็น ศรัทธา หรือเปล่า?
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้ามีทางใดที่จะช่วยให้เขาเป็นคนดี จะช่วยไหม จะทำไหม?
มานิช: ควรจะช่วยครับ
ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระกรุณาแสดงความจริงให้ทุกคนเข้าใจถูก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาไม่คิดร้ายต่อใครเลย พระองค์ตรัสให้คนนั้นเข้าใจ เห็นใจ และหวังดี และช่วยคนอื่นให้เขาเข้าใจถูก
ฟังพระธรรม เข้าใจแล้ว ประพฤติตามด้วยใช่ไหม?
มานิช: ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม แต่ไม่ประพฤติธรรม เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?
มานิช: ไม่เคารพครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็หวังว่า ทุกคนจะเข้าใจ แล้วก็รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็มีความหวังดีต่อทุกคนไม่มีประมาณ
ถ้าเป็นอย่างนั้น เป็นคนดีไหม?
มานิช: เป็นคนดี
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คนดีทำอะไร? มีความหวังดี เป็นคนดี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พร้อมที่จะให้ทุกคนเป็นคนดี
ถ้าทำอย่างนั้น เป็นคนดี ทำดี และทำตาม คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ทำดีมีความหวังดีช่วยให้คนอื่นเป็นคนดีด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการช่วยกันให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรม
ขณะนั้น ใจสะอาดเป็นศรัทธาหรือเปล่า?
มานิช: เป็นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะที่ศรัทธาเกิด ใจผ่องใส อกุศลเกิดไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้อกุศลค่อยๆ ลดน้อยลง
ฟังธรรมแล้ว เข้าใจธรรมแล้ว เป็นคนว่าง่าย เป็นคนดี จึงสามารถทำตาม คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
หวังว่า ทุกคนจะใจสะอาดขึ้น แล้วก็ประพฤติตาม คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ