Thai-Hindi 03 August 2024

 
prinwut
วันที่  3 ส.ค. 2567
หมายเลข  48234
อ่าน  211

Thai-Hindi 03 August 2024


- (คราวที่แล้วพูดถึงอินทรีย์ที่เป็นปสาทรูป เป็นปัญญา เป็นสัทธา คุณอาช่าอยากจะให้ต่อจากตรงนั้น) ก่อนอื่นก็ต้องทบทวนความหมายของอินทรีย์คืออะไร เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจก่อน ความหมายของอินทริยะคืออะไร เพราะว่าทุกอย่างมีจริงเป็นธรรม แต่ทำไมธรรมบางอย่างเป็นอินทริยะเพราะอะไร

- การศึกษาพระธรรมต้องรู้ว่า แต่ละคำแต่ละสิ่งที่มีที่เป็นธรรมละเอียดลึกซึ้ง คนที่มีความรู้ทางภาษา อ่านพระไตรปิฏกได้ เข้าใจความหมายในภาษามคธี ในภาษาสันสกฤต ในภาษาลาติน ฯลฯ ทั้งหมดแต่ไม่รู้จักธรรมเพราะว่าลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า กำลังศึกษาความลึกซึ้งของธรรมทุกธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่มีจริงทุกอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องเคารพในความลึกซึ้งจริงๆ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่พระองค์ตรัสว่า ธรรมที่เป็นใหญ่สำคัญมากขาดไม่ได้มี ๒๒ ธรรมที่เป็นอินทริยะ

- คนไทยพูดว่า ใจ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จิต เราฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพสูงสุด ทั่วๆ ไปทุกคนรู้ว่า ทุกคนมีใจแต่รู้ความลึกซึ้งของใจหรือเปล่า

- ได้เห็นความลึกซึ้งไหม ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติมีจิตแต่ไม่รู้ความลึกซึ้งเลย เพราะฉะนั้นสภาพรู้ที่ทุกอย่างกำลังปรากฏเพราะสภาพนี้เกิดขึ้นรู้ไม่มีใครรู้ว่า ยิ่งใหญ่สำคัญเป็นอินทรีย์

- การศึกษาธรรมที่มีประโยชน์จริงๆ คือรู้ธรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ เพราะฉะนั้นการพูดถึงธรรมไม่ใช่พูดถึงคนอื่นแต่พูดให้เข้าใจสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะ มิฉะนั้นไม่สามารถจะละกิเลส ไม่สามารจะละความเป็นเราได้เลย

- เพราะฉะนั้นเราเริ่มจากรู้ความเป็นอินทรีย์ของชีวิตประจำวัน จิตเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้แต่ถ้าไม่มีตาจิตไม่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ที่กระทบตา ลึกซึ้งไหม เพียงไม่มีตาไม่สามารถที่จะมีจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ได้ จะไม่มีอะไรปรากฏเป็นคุณสุคิน เป็นคุณอาช่า เป็นถนน เป็นบ้าน เป็นอินเดีย เป็นไทยเลย

- เพราะฉะนั้นกำลังฟังธรรมด้วยความเคารพสูงสุดที่จะเริ่มเข้าใจความจริง ไม่ว่าโลกไหน โลกมนุษย์ โลกอเวจี โลกสวรรค์ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เริ่มเห็นความสำคัญของตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ

- เพราะฉะนั้นฟังความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความจริงว่า ขณะนี้ทุกครั้งที่เห็นได้ยินก็เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กายเพราะฉะนั้นตา หู จมูก ลิ้น กายจึงสำคัญอย่างยิ่งเฉพาะในกิจของตน

- ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่ว ๑ ขณะจิตที่จิตเกิดขึ้นแล้วดับ ขณะที่กำลังเข้าใจธรรมไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเข้าใจธรรม ตาเป็นใหญ่หรือเปล่า (เวลาเข้าใจตาไม่ได้เป็นอินทรีย์)

- เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นอินทรีย์เป็นเฉพาะในหน้าที่ของตนเท่านั้น เพราะฉะนั้นตาเป็นใหญ่เฉพาะเมื่อมีสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น และขณะที่เข้าใจ ความเข้าใจเป็นใหญ่จึงสามารถเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้ เพราะฉะนั้นแต่ละธรรมจะเป็นอินทรีย์เมื่อทำหน้าที่ของตน

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจเดี๋ยวนี้เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความเข้าใจความลึกซึ้งมหาศาลที่จะต้องประจักษ์แจ้งความจริงเพราะฉะนั้นแม้ปัญญาเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ก็ยังไม่ใช่อินทรีย์

- เพราะฉะนั้นประมาทพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับของเราที่กำลังเริ่มได้ฟังคำของพระองค์เล็กน้อยเหมือนผง เพราะฉะนั้นคุณอาช่าปลาบปลื้มยินดีมากไหมที่มีโอกาสได้ฟังแม้เพียงคำที่เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 3 ส.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นการที่สามารถในชีวิตในสังสารวัฏฏ์ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจความลึกซึ้งมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ แม้ทรัพย์สมบัติของพระเจ้ามหาจักรพรรดิ

- เพราะฉะนั้นมีค่ายิ่งกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ คำชมเชยทุกสิ่งทุกอย่างหมด เพราะเริ่มรู้ความจริงว่า ความไม่ดีทั้งหมด กิเลสทั้งหมดที่สะสมมาไม่สามารถจะละได้ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

- พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทำให้ท่านพระสารีบุตรและผู้ฟังรู้สึกว่า ตัวเองเหมือนผ้าเช็ดธุลีต้องไม่มีความสำคัญใดๆ

- การเห็นกิเลสของตัวเองทำให้เห็นโทษและละกิเลสของตัวเอง มีค่ากว่าการเห็นกิเลสของคนอื่นมากมายมหาศาล แต่ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีสุคิน ไม่มีสุจินต์ ไม่มีคุณวีระ ไม่มีใครเลยนอกจากธรรมที่สามารถเข้าใจถูกต้องเท่านั้นที่เป็นอินทริยะเป็นปัญญินทรีย์ที่สามารถจะละกิเลสได้

- ความเข้าใจคือปัญญาไม่ใช่เราเดี๋ยวนี้เป็นอินทรีย์หรือยัง (ตอนนี้ไม่สามารถรู้ได้แต่บางครั้งมีความเข้าใจที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นอินทริยะ) รู้สึกเองใช่ไหมว่า เป็นอินทริยะ (เป็นเช่นนั้น) ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องฟังเรื่องอินทรีย์ต่อไปเพื่อรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ถ้ายังไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้จะเป็นอินทริยะได้อย่างไร

- เริ่มเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นไหม เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจของตนเองจึงเป็นพระพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อนุเคาระห์ให้ทุกคนได้รู้จักตัวเอง

- ประมาทความลึกซึ้งของธรรมไม่ได้เลยเพราะยิ่งฟังยิ่งเข้าใจความลึกซึ้ง ปัญญาขณะนี้เป็นอินทรีย์ไม่ได้เลย เริ่มไตร่ตรอง เริ่มไตร่ตรองอีกๆ

- เพราะฉะนั้นนอกจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอินทรีย์แล้วเพราะได้เห็นทั้งวัน ได้ยินทั้งวัน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบ สัมผัส คิดนึกทั้งวันแล้ว เขาคือคุณอาช่าคิดว่า อะไรเป็นใหญ่สำคัญอีก (ความรู้สึก) ถูกต้อง ถ้าไม่ได้ฟังเขาจะคิดได้ไหมว่า ความรู้สึกสำคัญมาก (ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่รู้) เพราะฉะนั้นความรู้สึกสำคัญที่สุดตลอดชีวิต

- ตั้งแต่เกิดจนตายคุณอาช่าแสวงหาความรู้สึกอะไร (แสวงหาความสุข) ไม่สงสัยเลยใช่ไหมว่า ความรู้สึกเป็นใหญ่มาก เพราะฉะนั้นความรู้สึกทั้งหมดเป็นอินทริยะ

- ความรู้สึกทั้งหมดมีเท่าไหร่กี่ชนิด (๕) ​ เพราะฉะนั้นมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕​ และมีความรู้สึกอีก ๕ เป็นกี่อินทรีย์แล้ว (๑๐) เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ใช่ไหม แต่ลืมความเป็นธรรมที่เป็นอินทรีย์ใช่ไหม (ไม่รู้ว่าเป็นอินทรีย์) และถ้าไม่ฟังธรรม ไม่ไตร่ตรองละเอียดขึ้นจะละความเป็นเราได้ไหม เพราะฉะนั้นจึงเริ่มไม่ลืมอินทริยะใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงธรรมอื่นต่อไปที่เป็นอินทริยะ (สงสัยว่า ทำไมหทยวัตถุไม่เป็นอินทรีย์) เวลาเห็น หทยวัตถุทำหน้าที่อะไร (ไม่ได้ทำหน้าที่อะไร) เพราะฉะนั้นหทยวัตถุเป็นรูปที่เป็นที่เกิดของจิตเท่านั้น บางภูมิไม่ต้องมีรูปที่เป็นหทยวัตถุ จิตก็เกิดได้เพราะฉะนั้นหทยวัตุจึงไม่เป็นอินทริยะเพราะเป็นที่เกิดเท่านั้น

- เพราะฉะนั้นคุณอาช่าเริ่มเข้าใจว่า พระธรรมใครก็คิดเองไม่ได้นอกจากได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ที่คุณอาช่าเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไหม (ตรงนี้ไม่สงสัย) เพราะฉะนั้นขณะนั้นคือ สัทธา สัทธาเป็นธรรมที่ไม่ใช่คุณอ่า ไม่ใช่คุณอาคิ่ล สัทธาเป็นธรรมที่สะอาดผ่องใสไม่สกปรกไม่มีอกุศลเกิดร่วมด้วย

- ขณะที่เข้าใจอย่างนั้นจิตสะอาดไหม (ตอนนั้นจิตผ่องใส) เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายของธรรมที่เป็นสัทธาเจตสิก เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ดีงามจิตที่ดีงามจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสัทธาเจตสิกเกิด

- ก่อนสนทนาวันนี้คุณอาช่าเข้าใจและรู้จักสัทธาหรือเปล่า (ไม่) เพราะฉะนั้นเข้าใจเพียงเท่านี้พอไหม (ไม่พอ) เพราะฉะนั้นสัทธาเริ่มเป็นอินทรีย์ เห็นประโยชน์ของกุศล

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 3 ส.ค. 2567

- ถ้าสัทธาไม่เกิดจิตไม่สะอาดเป็นอกุศลทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้ก็เห็นคุณประโยชน์ของสัทธาที่ทำให้ฟังละเอียดขึ้น เข้าใจละเอียดขึ้นเพื่อละอกุศลคือความไม่ดีที่มีมาก คุณอาช่าเริ่มเห็นประโยชน์ของสัทธาหรือยัง นี่เป็นขั้นเริ่มต้นยังไม่ใช่สัทธินทรีย์

- ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์เมื่อเข้าใจขึ้นๆ ในความลึกซึ้งมากกว่านี้อีกมหาศาล ฟังแล้วเบิกบานไหมที่มีโอกาสที่จะได้ละอกุศล หนทางอื่นมีไหมนอกจากฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ไม่มี) เพราะฉะนั้นฟังแล้วถ้าไม่ไตร่ตรองละเอียดขึ้นจะเข้าใจไหม (ไม่)

- เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจพระธรรมเพื่อเป็นคนดีทุกโอกาสที่สามารถจะดีได้แต่ต้องฟังดีๆ ทุกโอกาสที่สามารถจะดีได้แต่ไม่ใช่หมายความว่า เราดีหรือเราทำจึงสามารถจะรู้ได้มั่นคงว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเท่านั้นที่จะทำให้ละอกุศลที่ไม่ดีทั้งหมดและเป็นคนดีได้

- สัทธาเพิ่มขึ้นไหม (เพิ่มขึ้น) เพราะฉะนั้นเป็นคนดีเพิ่มขึ้นแล้วนิดนึง อดทนไหมที่จะละกิเลสเพิ่มอีกไม่ใช่เพียงเท่านี้ ทุกขณะที่อดทนเป็นกุศลเป็นขันติบารมี

- ถ้าไม่มีการฟังต่อไปอีกจะสามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเห็นคุณที่ทำให้อกุศลลดลงไปเรื่อยๆ ได้ไหม คนไม่ดีมีมากไหม (มีมาก) เห็นใจเข้าใจเป็นมิตรกับเขาที่จะให้เขาได้ฟังพระธรรมจนเข้าใจไหม

- (คุณมานิชถามว่า ทำไมคนไม่ดีมีมาก) เพราะเหตุว่าเขาไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าต้องการให้เขาเข้าใจแล้วเขาไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แต่ถ้าเขาเข้าใจแล้วเขาจะรู้ว่า ก็เรื่องนี้แหละที่กำลังพูด ต้องเข้าใจธรรมไม่ใช่เข้าใจชื่อธรรม

- เพราะฉะนั้นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ใครไม่ดี ถามว่าตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ใครไม่ดี (คุณมานิชสงสัยว่า เราไปว่าคนนี้ดี คนนั้นไม่ดีได้อย่างไรในเมื่อจริงๆ แล้วเป็นเพียงจิตเจตสิกซึ่งบางทีก็ดี บางทีก็ไม่ดี ถ้าจะเรียกจริงๆ ทำไมต้องเรียกว่าบุคลคลนี้ดี บุคคลนั้นไม่ดี)

- ถ้าไม่มีธรรมจะมีความเข้าใจว่ามีเราไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักพระสัมมาสัมพทุธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระองค์รู้ว่ามีแต่ธรรมเท่านั้นแต่เพราะไม่รู้ใช่ไหมจึงคิดว่า เข้าใจว่า ยึดถือว่า ธรรมเป็นเราเป็นเขา

- ถ้ามีเราแล้วต้องการอะไร ถ้าไม่มีธรรมจะมีเราไหม แต่เมื่อมีเราหมายความว่าอย่างไร (มีความไม่รู้เกิด) เพราะฉะนั้นถ้ารู้แล้วว่าความไม่ดีควรละเป็นเราหรือเปล่าที่ละ (เพื่อความแน่ใจขอให้ท่านอาจาย์ถามใหม่)

- มีธรรมหรือมีเรา (มีธรรม) เพราะฉะนั้นที่มีเราผิดหรือถูก (ผิด) เพราะมีเราจึงหวังทุกอย่างให้เราสุขสบายมีทุจริตต่างๆ ใช่ไหม ทุกคนควรละทุจริตใช่ไหม (ควร) ควรละแล้วละหรือยัง (ยัง) ทำไมไม่ละ (เพราะความเข้าใจน้อยมาก) เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นความเข้าใจถูกเท่านั้นทีละทุกอย่างได้

- เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทุกคนคิดจริงๆ เพื่อประโยชน์จริงๆ ว่า ฟังธรรมทำไม เพราะฉะนั้นฟังเพื่อให้เข้าใจมั่นคงขึ้นว่า อกุศลทั้งหลายไม่ดีไม่มีประโยชน์ เป็นโทษอย่างยิ่ง

- ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศลมากๆ ขึ้นจริงๆ จะละไหม (ไม่) ทุกคนไม่ดีเพราะไม่รู้ใช่ไหม (คุณมานิชเริ่มเข้าใจว่ามีธรรมอื่นๆ ด้วยไม่ใช่แค่ความไม่รู้ที่ไม่ดี เริ่มเข้าใจแล้วว่า ความไม่รู้ก็เป็นความไม่ดีอย่างหนึ่ง)

- แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดอย่างไร ตรัสอย่างไร (ตรัสว่าควรจะฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจ) ก่อนจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต้องอดทนที่จะเข้าใจถูกต้องเพื่อให้คนอื่นได้พ้นจากความไม่รู้ด้วยใช่ไหม

- คุณมานิชเคารพนับถือใครสูงสุด (หลังจากได้ฟังบรรยายเรื่องสัทธาก็เข้าใจมากขึ้นและว่าถ้าไม่ฟังคำสอนของพระพุทธองค์ไม่สามารถเข้าใจได้) เพราะฉะนั้นมีความเคารพสูงสุดเพราะทำให้เขามีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีทุกวันตามความเป็นจริงใช่ไหม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 3 ส.ค. 2567

- เมื่อเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดเพราะพระองค์ทำให้พ้นจากความมืดที่ทำให้จมลงไปสู่อเวจีและความทุกข์ทั้งหลายได้ในสังสารวัฏฏ์ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเขาทำอะไร (ควรจะฟังธรรมต่อและเจริญความเข้าใจ)

- เพราะฉะนั้นเขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร (เพื่อพยายามที่จะลดอกุศล) พยายามได้ไหม (เข้าใจว่าพยายามไม่ได้ด้วยตัวตนไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจะไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างนี้)

- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร (ฟังธรรมเท่าที่จะฟังได้และเจริญความเข้าใจ) เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นคนไม่ดีมานานมากไม่มีหนทางที่จะดีได้เลย เพราะฉะนั้นจมลงไปสู่ความมืดที่จะไปสู่นรกแน่ๆ เพราะถ้าได้มีความเข้าใจธรรม ทำความดีและช่วยคนอื่นให้เข้าใจถูกต้องให้เข้าใจธรรมด้วยไม่ใช่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะดี

- ถ้ามีคนทำไม่ดี คุณมานิชรู้สึกอย่างไร (ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าเป็นคนไม่ดีแต่คิดว่าเป็นคนที่ไม่มีความรู้) ถ้าเขาไม่ดีแล้วจะบอกว่าดีหรือ (ก็คิดว่าไม่ดี) ไม่ใช่คิดว่าเขาดี ไม่ดีก็ไม่ดี ดีก็ดี ต้องตรง

- คนไม่ดีมีเยอะไหม (มีเยอะมาก) เวลารู้ว่าคนไม่ดีเขารู้สึกอย่างไร (ไม่ชอบ) ดีไหม ถูกไหม (ไม่ดี) เพราะฉะนั้นขณะใดที่เห็นความไม่ดีของคนอื่นแล้วไม่ชอบขณะนั้นตัวเองดีหรือเปล่า (ตอนนั้นไม่ดี)

- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ไหม ขณะใดไม่พอใจในความไม่ดีของคนอื่นขณะนั้นใครไม่ดีด้วย (ตัวเองไม่ดีด้วย) แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปิดปากไว้อย่ามีปฏิกิริยา ทรงสอนให้อย่าเกิดอกุศลตาม) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำแต่ให้เข้าใจถูกว่า ขณะนั้นอะไรดีหรือไม่ดี

- ไม่ว่าใครจะร้ายใครจะเลวอย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร มีความหวังดีกับทุกคนไม่มีประมาณหรือเปล่า ขณะที่มีความเข้าใจ มีความเห็นใจ มีความหวังดี ขณะนั้นจิตผ่องใสเป็นสัทธาหรือเปล่า ถ้ามีทางใดที่จะช่วยให้เขาเป็นคนดีจะช่วยไหมจะทำไหม (ควรจะทำ)

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาทรงแสดงความจริงให้ทุกคนเข้าใจถูก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาไม่คิดร้ายต่อใครเลย พระองค์ตรัสให้คนนั้นเข้าใจเห็นใจและหวังดีและช่วยคนอื่นให้เขาเข้าใจถูก

- ฟังพระธรรมเข้าใจแล้วประพฤติตามด้วยใช่ไหม ถ้าฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรมแต่ไม่ประพฤติธรรม เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็หวังว่า ทุกคนจะเข้าใจและก็รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและก็มีความหวังดีต่อทุกคนไม่มีประมาณ ถ้าเป็นอย่างนั้นเป็นคนดีไหม

- เพราะฉะนั้นคนดีทำอะไร มีความหวังดีเป็นคนดีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวพร้อมที่จะให้ทุกคนเป็นคนดี ถ้าทำอย่างนั้นเป็นคนดีทำดีและทำตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

- คนดีมีความหวังดีช่วยให้คนอื่นเป็นคนดีด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการช่วยกันให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรม ขณะนั้นใจสะอาดเป็นสัทธาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นขณะที่สัทธาเกิด ใจผ่องใส อกุศลเกิดไม่ได้จึงเป็นเหตุให้อกุศลค่อยๆ น้อยลง

- ฟังธรรมแล้วเข้าใจธรรมแล้วเป็นคน “ว่าง่าย” เป็นคนดีจึงสามารถทำตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ หวังว่าทุกคนจะใจสะอาดขึ้นแล้วก็ประพฤติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ยินดีในกุศลของคุณสุคินและยินดีมากๆ ในกุศลของทุกคนที่เข้าใจธรรมขึ้นสะอาดขึ้น สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 3 ส.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณความดีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ทุกประการด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลคุณสุคินและสหายธรรมชาวอินเดียทุกท่าน

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นและคณะอาจารย์ มศพ ทุกท่านในกุศลทุกทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 3 ส.ค. 2567

" การเห็นกิเลสของตัวเองทำให้เห็นโทษและละกิเลสของตัวเอง มีค่ากว่าการเห็นกิเลสของคนอื่นมากมายมหาศาล"


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ แต่ละข้อความเป็นประโยชน์ที่สุด ครับ

และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ส.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ