ความจริงโดยสมมติ ย่อมผันแปร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-สภาพธรรมะไม่ไกลเลย แต่ปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมะนั้นแสนไกล
-ความจริงโดยสมมติ ย่อมผันแปร แต่อริยสัจจะ สภาพธรรมที่มีจริง ไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช่น ลักษณะของโทสะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นโลภะ
บ้านธัมมะ ๑๕ ก.ค. ๕๒
-สิ่งที่ควรรู้และควรคิดตามที่เป็นจริง คือ สิ่งที่ปรากฏ
-ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และไม่คำนีงถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วย จึงจะละคลายสภาพธรรมะที่เป็นเราได้
บ้านธัมมะ ๘ ก.ค. ๕๒
-ชื่อปิดบังสิ่งทั้งปวง รู้มากๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรมตามที่เป็นจริง
-ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ธรรมที่เป็นกุศลธรรม ธรรมที่เป็นอกุศลธรรม และธรรมที่ไม่เป็นกุศลและอกุศล คือ อัพยากตธรรม เช่น เสียง ขณะที่เป็นผลของกุศลและอกุศล (วิบาก)
-กรรม คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือ เจตนา เป็นความจงใจ ขวนขวายกระทำ เจตนาที่เกิดกับกุศลจิต เป็นกุศลเจตนา เป็นเหตุดี เป็นปัจจัยให้เกิดผลดี เจตนาที่เกิดกับอกุศลจิต เป็นอกุศลเจตนา เป็นเหตุไม่ดี เป็นปัจจัยให้เกิดผลที่ไม่ดี และจิตที่เป็นวิบาก (ผลของกรรม) เช่น ขณะเห็นก็มีเจตนาเกิดด้วย ไม่ใช่กุศลและอกุศล เป็นอัพยากตกรรม
-ไม่มีชื่อก็เป็นธรรมะ อย่าเอาชื่อมาปิดบังลักษณะของสภาพธรรมะ
บ้านธัมมะ ๒๔ มิ.ย. ๕๒
-"สิ่งใดที่มี นั่นแหละเป็นอนัตตา" เพราะไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นธรรมะ เป็นอนัตตา (สิ่งที่มี คือ โลกียะ ๓ ได้แก่ จิต เจตสิก รูป และโลกุตตระ ๑ คือ นิพพาน)
- "แสนโง่" แม้สภาพธรรมะปรากฏก็ไม่รู้ (อวิชชา) และไม่อยากจะรู้ด้วย (ประมาท) เพราะไม่มีศรัทธา ก็อยู่ในความมืด จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจธรรมะขึ้น
-ธรรมะแต่ละอย่างปรากฏเพียงชั่วคราว สั้นแสนสั้น แล้วความไม่รู้ก็ทำให้ไม่เห็นจริงว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ แต่การเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต รูปร่างสัณฐานให้จำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริง สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ แต่ว่าเกิดดับสืบต่อซ้ำในลักษณะที่ปรากฏเหมือนเป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่ดับเลย นี่คือความไม่รู้ นี่คือความมืดสนิท จนกว่าจะมีการฟังพระธรรม เริ่มเข้าใจจากการฟัง จนกว่าจะประจักษ์ความจริงของธรรมะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ
- ฉลาดไหมที่ยึดถือสภาพที่ไม่ใช่ของเรา ว่าของเรา สภาพที่ไม่ใช่เรา ว่าเป็นเรา???
บ้านธัมมะ ๑๗ มิ.ย. ๕๒
-ถ้าไม่มีจิต โลกนี้ไม่ปรากฏ โลกจริงๆ คือ แต่ละคน จิต เจตสิก รูป ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ทุกคนเป็นโลกแต่ละโลก
-โลก ๖ ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
-แต่ละจิต แต่ละคน เป็นแต่ละโลก ทุกคนยังมีกิเลสอยู่หรือเปล่า กิเลสมืด ไม่รู้ความจริงขณะนั้นได้ เพราะอกุศลทั้งหมดมืด โลกมืดเพราะกิเลส
-อกุศลเป็นโทษที่ควรละอย่างยิ่ง
-ยังมีกิเลสมาก แต่ค่อยๆ ละได้ด้วยการฟังธรรม ค่อยๆ ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
บ้านธัมมะ ๑๐ มิ.ย. ๕๒
-เสียงเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ได้ยินก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ติดข้องหรือขุ่นเคืองในเสียง ก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนี่ง เป็นคนละขณะๆ สรุป สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมที่มีลักษณะที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
-มีเพราะความคิด ถ้าไม่คิดก็ไม่มีอะไร ความจริงคือความคิดแต่ละขณะ
-สิ่งใดที่มีจริงๆ คือธรรมะ ทุกสิ่งที่มีจริงๆ คือธรรมะ เพียงแต่ไม่สนใจที่จะเข้าใจให้มากขึ้น ตั้งแต่เกิดจนตาย รู้จักความจริงอะไรของธรรมะบ้าง?
-สิ่งที่มีจริงเป็นของใคร เป็นของชนชาติหนึ่งชาติใดหรือเปล่า?
-ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่รู้เพราะอวิชชาปกปิดไว้
-ฝันไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตคิดนึกในขณะที่ไม่มีสิ่งใดปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่มาจากความจำ ปรุงแต่งนึกคิดเป็นเรื่องราวที่ฝัน เห็นไม่ใช่ฝันเพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยินไม่ใช่ฝันเพราะมีเสียงปรากฏ ... คืนนี้จะฝันเรื่องอะไร คือคืนนี้จะคิดนึกเรื่องอะไร
- ถ้าไม่มีปัญญา พรุ่งนี้ก็จะมีอกุศลมากกว่าวันนี้
บ้านธัมมะ พ.ค.๒๕๕๒
ถึงแม้จะยากหรือน่าเบื่อสำหรับบางคนที่เพิ่งเริ่มต้นหรือศึกษามานานแล้วก็ตาม แต่มีความอดทน และวิริยะอุตสาหะค่อยๆ ทำความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะพบว่าพระธรรมนั้นยากมากแต่ก็สามารถเข้าใจได้ และเมื่อพอเข้าใจขึ้น จะซาบซึ้งและศรัทธาในพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์เป็นอย่ายิ่ง
ธรรมทัศนะ