ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๗๖] อตฺตรกฺขิต

 
Sudhipong.U
วันที่  9 ส.ค. 2567
หมายเลข  48268
อ่าน  62

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อตฺตรกฺขิต”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อตฺตรกฺขิต อ่านตามภาษาบาลีว่า อัด - ตะ - รัก - ขิ – ตะ มาจากคำว่า อตฺต (ตน) กับคำว่า รกฺขิต (รักษาแล้ว) รวมกันเป็น อตฺตรกฺขิต แปลว่า ผู้มีตนอันรักษาแล้ว หรือ ผู้รักษาตน คำว่า ตน ในที่นี้ ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ แต่เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม จึงหมายรู้ว่าเป็นบุคคลแต่ละคน, คำว่า ผู้มีตนอันรักษาแล้ว หรือ ผู้รักษาตน นั้น เป็นคำที่มีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผู้ที่ประพฤติสุจริต คือประพฤติดี ด้วยกาย วาจา และใจ ชื่อว่าเป็นผู้รักษาตน ด้วยการเห็นคุณค่าของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ทำความเสียหายแก่ตน ด้วยการไม่กระทำบาปกรรมทั้งหลาย นั่นคือ การรักษาตนอย่างแท้จริง เป็นการรักษาภายใน ป้องกันไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น แต่ถ้าประพฤติทุจริต คือ ประพฤติชั่ว ก็เป็นผู้ไม่รักษาตน ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อัตตรักขิตสูตร ดังนี้

“ก็ชนบางพวก ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ชนพวกนั้นชื่อว่า เป็นผู้ไม่รักษาตน ถึงแม้ชนพวกนั้นจะมีพลช้าง พลม้า พลรถ หรือพลเดินเท้า คอยรักษา ถึงเช่นนั้นชนพวกนั้นก็ชื่อว่าไม่รักษาตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าการรักษาเช่นนั้นเป็นการรักษาภายนอก มิใช่เป็นการรักษาภายใน ฉะนั้น ชนพวกนั้นจึงชื่อว่าไม่รักษาตน ส่วนว่าชนบางพวกย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ชนพวกนั้นชื่อว่าเป็นผู้รักษาตน ถึงแม้ชนพวกนั้นจะไม่มีพลช้าง พลม้า พลรถหรือพลเดินเท้า คอยรักษา ถึงเช่นนั้น ชนพวกนั้นก็ชื่อว่ารักษาตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าการรักษาเช่นนั้นเป็นการรักษาภายใน มิใช่เป็นการรักษาภายนอก ฉะนั้น ชนพวกนั้นจึงชื่อว่าเป็นผู้รักษาตน”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง เพราะแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดงเป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ด้วยพระปัญญาอันเกิดจากการตรัสรู้ของพระองค์ เมื่อผู้ศึกษาได้ศึกษาพระธรรมไปตามลำดับ ก็จะเข้าใจว่ามีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แม้แต่การสะสมสิ่งที่ดี หรือไม่ดี ก็เป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ความเป็นจริงของจิตประการหนึ่ง คือจิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม ดังนั้น จิตจึงสะสมทั้งฝ่ายที่ดีและไม่ดี กล่าวคือสะสมทั้งกุศลและอกุศล ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล เมื่ออกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปก็สะสมสิ่งที่ไม่ดี (อกุศล) ต่อไปอีกในจิตขณะต่อไป แม้ในทางฝ่ายกุศลก็เช่นเดียวกัน เมื่อกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปก็สะสมสิ่งที่ดีในจิตขณะต่อไป โดยไม่ปะปนกัน นี้คือความเป็นจริง

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเพราะผลของกุศลกรรม เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ชีวิตยังเป็นอยู่ยาก ต้องประกอบการงานเพื่อความสืบต่อแห่งชีวิตให้เป็นไปอย่างไม่เดือดร้อน และชีวิตก็ไม่ได้ยั่งยืนเลย สั้นมาก ไม่รู้ว่าจะละจากโลกนี้ไปเมื่อใดด้วย และที่สำคัญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็ที่ภูมิมนุษย์ ภูมิมนุษย์นี้จึงเป็นภูมิที่เอื้ออำนวยต่อ

การเจริญกุศลได้ทุกๆ ประการ ทั้งในเรื่อง ทาน การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ศีล ความประพฤติที่ดีงาม เว้นจากความประพฤติที่ไม่ดี และ ภาวนา คือการอบรมเจริญปัญญา

มนุษย์แต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไปตามการสะสม แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย เป็นความจริงที่ว่า บุคคลใดก็ตามที่ประพฤติทุจริตทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ขณะนั้นเป็นการกระทำเหตุที่ไม่ดี เป็นอันตรายแล้วในขณะที่กระทำอกุศลกรรม เป็นผู้ไม่ได้รักษาตน เป็นผู้ทำความเสียหายให้แก่ตนเอง ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้ตนเองได้รับผลที่ไม่ดีในภายหน้า โดยที่ไม่มีใครทำให้เลยนอกจากอกุศลกรรมของตนเองเท่านั้น เพราะเหตุว่าเวลาที่อกุศลกรรมให้ผลนั้น อกุศลวิบากอันเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามควรแก่เหตุ

ส่วนบุคคลผู้ที่ประพฤติสุจริตทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ เจริญกุศลประการต่างๆ ไม่ได้กระทำสิ่งที่เป็นอันตราย กล่าวคือ อกุศลกรรมทั้งหลายให้กับตนเอง บุคคลประเภทนี้เป็นผู้รักษาตนเอง ทำความดี ทำความเจริญให้กับตนเอง ด้วยการสะสมความดีทั้งหลายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ที่จะเป็นเหตุทำให้ออกจากวัฏฏะ ก็เป็นการรักษาตนเองอย่างสูงสุด คือสามารถทำให้พ้นจากกิเลสทั้งปวง ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์

จะเห็นได้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงละเว้นโอกาสที่จะพร่ำสอนเตือนพุทธบริษัทให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลย ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ตราบใดยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว การที่จะไปสู่กำเนิดอื่นนั้นเป็นไปได้มากกว่าการที่จะกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ ข้ออุปมาระหว่างฝุ่นที่ปลายเล็บกับพื้นมหาปฐพีนั้นเห็นได้ชัดเจนทีเดียว แต่ละบุคคลก็เห็นฝุ่นที่เล็บอยู่ทุกวัน แต่ไม่มีใครเตือนให้ได้คิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไม่ทรงละเว้นโอกาส แม้แต่การที่จะให้ระลึกได้ว่าฝุ่นที่เล็บมีน้อยกว่าที่พื้นมหาปฐพี เหมือนกับวันหนึ่งๆ นี้ กุศลกับกิเลส อย่างไหนจะเกิดมากกว่ากัน ? กิเลสเกิดมากกว่ากุศลอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ซึ่งในชีวิตประจำวันจะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือเป็นคำสอนที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเพราะเป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อกำจัดข้าศึกคือกิเลส มีโลภะ โทสะ เป็นต้นได้

ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากอย่างยิ่งแล้ว ก็ไม่ควรที่จะประมาทในชีวิตอันมีประมาณน้อยนี้ ควรเห็นถึงความสำคัญของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ควรที่จะมีการรักษาตนเอง กระทำสิ่งที่ดีให้กับตนเอง ไม่เบียดเบียนตนเอง ทำตนให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการสะสมความดีประการต่างๆ กล่าวคือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกประการ สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป เป็นการรักษาตนเอง คุ้มครองป้องกันไม่ให้ตกไปทางฝ่ายอกุศล อันเป็นทางเดียวที่จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสของตนเองให้เบาบางลง จนกว่าจะถึงการดับได้อย่างหมดสิ้นในที่สุด ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา

อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 10 ส.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ