ต้านภัยความไม่รู้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้านภัยความไม่รู้
ภัยที่แท้จริงก็คือความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงถูกลวงว่ามีสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ จริงๆ เพราะสภาพธรรมเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรสะสมความเข้าใจถูกตั้งแต่ขั้นการฟังว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ไม่ใช่เรา
ฟังเพิ่มเติม www.dhammahome.com/audio/topic/10958
💔อกหัก ธรรมช่วยได้ไหม💔
ความทุกข์ใจ เช่น การผิดหวังในความรัก มีสาเหตุมาจากความติดข้อง และความติดข้องนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืน แต่จะแปรเปลี่ยนไปติดข้องบุคคล หรือสิ่งใหม่ต่อๆ ไป
จึงควรมีความเป็นมิตรดีกว่าที่จะมีความรักความผูกพัน และควรเจริญปัญญา โดยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจความจริง จนกว่าจะค่อยๆ พ้นไปจากความติดข้องได้ ในที่สุด
ฟังเพิ่มเติม www.dhammahome.com/audio/topic/10960
-รู้เห็นที่กำลังเห็น คือ เห็นขณะนี้มีจริงๆ ฟังพระธรรมจนเข้าใจว่าเป็นธาตุที่กำลังเห็น จนคุ้นเคยว่าเป็นธรรมะ และละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ
-การฟังธรรมแต่ละครั้ง เข้าใจขึ้นๆ เป็นการสะสมกำลังของปัญญา เป็นทางเดียวที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมะ
บ้านธัมมะ ๓๑ มี.ค. ๕๓
-การปฏิบัติธรรม โดยสภาพธรรมคือความเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมะแต่ละอย่างๆ ที่ปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการที่จะทำโดยไม่รู้
-การเข้าใจธรรมะ คือ ไม่ใช่เราที่จะไปเปลี่ยนแปลง แต่สามารถละการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา เพราะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมะ เป็นอย่างนี้ตลอดไปเพราะว่าเป็นธรรมะ จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นแล้วรู้ความจริงยิ่งขึ้น
บ้านธรรมะ ๒๔ มี.ค. ๕๓
-ขันติเป็นตบะ (เผา) อย่างยิ่ง ขณะที่ฟังธรรม ย่อมต้องมีความอดทนที่จะฟังธรรม ย่อมมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และเผาความไม่รู้ด้วย
-สิ่งที่เป็นที่พึ่งจริงๆ คือกุศลทั้งหลาย โดยยกเอาศรัทธาขึ้นเป็นประธาน ศรัทธาเป็นเพื่อนของคน เป็นเพื่อนไปสู่สวรรค์และเป็นเพื่อนของผู้จะบรรลุพระนิพพาน
-อยากเข้าใจศรัทธา หรือมีศรัทธาที่จะเข้าใจศรัทธา?
บ้านธัมมะ ๓ มี.ค. ๕๓
ถาม : เสียงพัดลม แต่พัดลมไม่มีจริง เสียงตรงนั้นเป็นอย่างไร
อ.สุจินต์ : ได้ยินเสียงเท่านั้น เสียงปรากฏ เสียงมีจริง เสียงเป็นเสียง เป็นธรรมะ ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นรู้สภาพธรรมะนั้น เสียงนั้นก็ไม่มี มีเมื่อไหร่คือเสียงอยู่ตรงนั้น ตรงที่บอกว่ามี แต่ไม่มีพัดลมในเสียงที่ปรากฏ แต่เราคิดนึกต่อเองว่าเป็นเสียงพัดลม ขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่คิด
บ้านธัมมะ ๒๔ ก.พ. ๕๓
ลืมเสมอ ลืมว่าเป็นจิต ลืมว่าเป็นธรรมะ ลืมว่าคิดก็เป็นจิต ลืมว่าไม่ใช่เรา ลืมว่าเห็นเป็นเห็น เกิดแล้วตามปัจจัย แล้วดับ ไม่ใช่เรา
บ้านธัมมะ ๑๗ ก.พ. ๕๓
สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏได้เมื่อจิตเห็นเกิด เพราะมีจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท แม้สิ่งที่ปรากฏทางตามี ถ้าไม่กระทบ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ ปัญญาที่สามารถแทงตลอดการเกิดดับจึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า มีสิ่งที่มีจริงอยู่ขณะนี้มีจริงอยู่ชั่วขณะที่ปรากฏเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีปัญญารู้ลักษณะของธรรม ก็ฝันว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงถ้ามีปัญญารู้ลักษณะธรรมก็ตื่น
อานเพิ่ม www.dhammahome.com/webboard/topic/20245
Phito cr. Amazimg World
@ขณะนี้กำลังลืมอะไร? ลืมว่าเป็นธรรมะ ทุกครั้งที่สงสัย สภาพนั้นๆ เกิดขึ้นและดับไป แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ ฟังธรรมะเพื่อไม่ลืม เพื่อเข้าใจความจริงของธรรมะว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา
@จิตมีจริง เป็นโรคอกุศล โรคกิเลส โรคไม่รู้ความจริง เช่น ทางตาเป็นโรคไม่รู้ความจริงว่าเพียงเห็นแล้วดับไปโดยไม่เหลือ
@หนทางรักษา "จิตเน่าใน" ที่เต็มไปด้วยอกุศล ด้วยการศึกษาพระธรรม ต้องดับเชื้อของอกุศลที่สะสมจนจิตเน่าในด้วยปัญญา ดับอนุสัยกิเลสจนหมดสิ้น
@ถ้าไม่ลืมธรรมะ จะไม่สงสัยว่าขณะนี้เป็นธรรมะ แล้วจะเข้าใจธรรมะที่ขณะนี้รู้ว่าเป็นธรรมะ แต่ยังไม่รู้จักตัวธรรมะจริงๆ เพียงแต่ฟังเรื่องธรรมะ ขณะที่ธรรมะก็เกิดและดับตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงควรฟังธรรมะเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
@ความเจริญด้วยปัญญาย่อมประเสริฐกว่าลาภ ยศ สรรเสริญทั้งหลาย
@การศึกษาธรรมะ คือ มีธรรมะให้ศึกษาขณะที่ธรรมะนั้นๆ ปรากฏ
บ้านธัมมะ ๑๐ ก.พ. ๕๓
ธรรมะวันนี้ สี่คำ
#ภาวนา คือ การอบรมเจริญคุณความดีและความเข้าใจพระธรรมให้เพิ่มมากขึ้นด้วยปัญญา (ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตน)
#กามคุณ เครื่องผูกที่น่ายินดีพอใจ คือ กาม ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ
#รักตน ๑.ในทางกุศล คือ การละชั่ว ทำความดี ซึ่งนำผลดีมาให้แก่ตน
๒.ในทางอกุศล คือ เห็นแก่ตัวแล้วทำชั่ว
#พละ คือ สภาพธรรมฝ่ายคุณความดีที่มีกำลัง ไม่หวั่นไหว ในการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความจริง
บ้านธัมมะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังต่อไปนี้.
[๗๒๐] ดูก่อนเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดย
พิสดารกว่าอย่างไร ในข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว
สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็น
ปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดาร
กว่าอย่างนี้แล.
[๗๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดาครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ
และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี
ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้
ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็น
ผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.
อ่านเพิ่มเติม www.dhammahome.com/webboard/topic/12429
Photo cr. Num Sitdhiraksa
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก ภัยย่อมเกิดแต่ของที่รัก
ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้องได้จากของที่รัก
ภัยจักมีแต่ที่ไหน.
ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก
ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความรัก
ภัยจักมีแต่ที่ไหน.
ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี ภัยย่อมเกิดแต่ความยินดี
ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความยินดี
ภัยจักมีแต่ที่ไหน
--------------------------
และ ผู้ที่มีรักหนึ่งก็ต้องทุกข์
หนึ่ง มีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย
ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แสดงไว้ว่า ความรัก ความติดข้อง
ความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมอง
ของจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือ
ความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่
กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน และที่สำคัญ ตัณหาเป็นต้นเหตุ
ของทุกข์ทั้งปวง เพราะมีรัก เมื่อยังไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เพิ่มโลภะมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าผิดหวัง หรือ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความเศร้าโศก
เสียใจ เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีตัณหา เมื่อดับตัณหา
เสียได้ ทุกข์ย่อมถูกดับไปด้วย
www.dhammahome.com/webboard/topic/24990