ธรรม ฟังเพื่อเข้าใจเพื่อประพฤติตาม_สนทนาไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๗
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ผมถามถึงอาการของคุณแม่อาคิ่ล อาการไม่ดีเป็นมะเร็งที่ในกระดูก ทำอะไรไม่ได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: เป็นโรคที่หนีไม่พ้น เพราะกรรมแน่นอนเลย
คุณสุคิน: อาช่าก็บอกว่า ต้องทำอาหารให้ทุกมื้อ
ท่านอาจารย์: ดีมาก เป็นสิ่งที่เป็นกุศล บอกยินดีที่คุณอาช่าได้มีโอกาสเจริญกุศลนะ ทำทุกอย่างที่ดีที่สุดในชีวิตซึ่งเราไม่รู้จะมีอีกนานเท่าไหร่ มีโอกาสเป็นกุศลเมื่อไหร่เป็นทันทีด้วยความเบิกบานเมื่อมีโอกาส
เป็นธรรมใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เป็นโอกาสที่จะได้รู้ความจริงที่เกิดแล้วว่า เป็นธรรม สังขารขันธ์ต่อไปจะเป็นอะไรไม่มีใครรู้ จะเป็นกุศล หรืออกุศลต่อไป เป็นวิบากอะไรไม่มีใครรู้เลยเพราะเป็นธรรมทั้งหมด
สิ่งที่ดีที่สุดเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น คือเข้าใจความถูกต้อง และความจริง
ธรรมอยู่ไหน?
อาช่า: อยู่ในปัจจุบันค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่อยู่ในหนังสือเลยใช่ไหม?
อาช่า: ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ จะไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น หนทางเดียว ฟังธรรมแล้วไม่ลืม เข้าใจให้ถูกต้อง สิ่งที่มีเกิดตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่รู้ความจริงเลย จึงเป็นเรา และเป็นคุณแม่คุณอาคิ่ลเป็นทุกอย่าง แต่ความจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
ธรรมลึกซึ้งไหม?
อาช่า: ลึกซึ้งค่ะ
ท่านอาจารย์: ต้องไม่ประมาทเลย เพราะกว่าจะรู้ความจริงตามที่ได้ฟังต้องละเอียดต้องไตร่ตรอง
ฟังธรรมเพื่อไม่ลืมว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่ยังไม่รู้ความจริงของธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงว่า ธรรมลึกซึ้ง
กำลังมีธรรมเดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจว่าลึกซึ้ง
ถ้าไม่มีเห็น มีคุณอาช่าไหม?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ความจริงว่าเป็นธรรม แต่ไม่ใช่เราไม่มีเรา ถ้าไม่ฟังธรรม และไม่เข้าใจความลึกซึ้ง ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น เรียน คำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่อเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง จึงรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันนี้คุณอาช่าเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง?
อาช่า: เริ่มรู้จักค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รู้จักยิ่งขึ้นเมื่อฟัง คำ ของพระองค์ละเอียดขึ้น
อาช่า: ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ
ท่านอาจารย์: คำ ของพระองค์กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย สมควรรู้ความจริงไหมว่า ไม่มีคุณอาซ่า แต่ทุกอย่างที่มีเป็นธรรมทั้งหมด การเข้าใจความจริงจะทำให้จิตใจปลอดโปร่งพ้นจากความทุกข์ทีละน้อยๆ
ถ้าคิดว่า ธรรมเป็นเรา จะเป็นทุกข์มาก เพราะอยากจะพ้นทุกข์ต่างๆ แต่ถ้ารู้ความจริงของ สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ว่า เกิดแล้วไม่มีใครทำ เป็นธรรมเท่านั้นทั้งหมด
เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสที่จะได้รู้ความจริงทีละน้อย ทำให้พ้นจากการยึดถือว่า เป็นเรา และสิ่งต่างๆ
ความเข้าใจความละเอียดความลึกซึ้งของธรรม จะทำให้มั่นคงว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
เพียงฟังเล็กน้อยยังไม่มั่นคงพอ เ พราะฉะนั้น ความเข้าใจที่มั่นคงนั่นเอง จะทำหน้าที่ละความไม่รู้ และทุกข์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่สุดที่จะได้สนทนาเพื่อความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นในสิ่งที่กำลังมี ต้องไม่ลืมว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น ก็เชิญสนทนาสิ่งที่กำลังมี ต้องไม่ลืมฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ก็เชิญสนทนาสนทนา คำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว
อาช่า: อยากต่อเรื่องอินทรีย์ค่ะ ครั้งที่แล้วเราพูดถึงศรัทธา ขอท่านอาจารย์เพิ่มเติมย้อนกลับไปเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น ไปเริ่มต้นใหม่ก็ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ดีมากที่ไม่ประมาทว่า ความเข้าใจต้องละเอียดต้องมั่นคง ต้องเข้าใจธรรมละเอียดลึกซึ้งขึ้น
ศรัทธา เป็นจิตหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้นจิตไม่ทำกิจอื่นเลย ไม่ว่าจะเกิดที่สวรรค์ นรก หรืออะไรก็ตาม จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏให้รู้ คือรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น
จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เปลี่ยนลักษณะของจิตให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม?
อาช่า: เปลี่ยนไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีจิตทุกขณะ เป็นใหญ่ทุกขณะ จิตเป็นอินทรีย์หรือเปล่า?
อาช่า: เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์: จิตเป็นอินทรีย์ทุกขณะหรือเปล่า?
อาช่า: เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์: กำลังนอนหลับสนิทมีจิตไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: และจิตขณะนอนหลับเป็นใหญ่ไหม?
อาช่า: จิตทุกดวงเป็นใหญ่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ลืมความหมายของอินทรีย์ ด้วยเหตุนี้ จิต จึงเป็นมนินทรีย์
ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ใครจะรู้ว่า นอกจากจิต ยังมีธรรมที่รู้ สภาพรู้ เกิดขึ้นร่วมกับจิตทุกขณะ
อาช่า: ถ้าพระพุทธองค์ไม่ตรัส ก็ไม่สามารถรู้ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: แล้วรูปที่เกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต ด้วยขณะนี้รูปที่เกิดทุกขณะก็เป็นสภาพไม่รู้ แต่รูปบางรูปก็เป็นอินทรีย์ด้วย
ขณะนี้กำลังเห็น จิตเป็นสภาพรู้เป็นมนินทรีย์ จักขุปสาทะเป็นจักขุนทรีย์เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีจักขุปสาทะ จิตเห็นเกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น แม้รูปจะไม่สามารถรู้อะไรได้
ท่านอาจารย์: Asha, Are you seeing now?
อาช่า: yes, Than Acharn
ท่านอาจารย์: Is there any Indriya at moment of seeing right now?
อาช่า: yes, Than Acharn
ท่านอาจารย์: what's Indriya at moment of seeing?
อาช่า: Citta and Cakkhuppasada
ท่านอาจารย์: and this is very important because if there's no understanding of seeing now, how can there be letting go of self, is that right?
อาช่า: yes, Than Acharn
ท่านอาจารย์: So, studying Dhamma doesn't mean just read and thinking about it but begin to understand what Buddha taught is about right now, otherwise if it's not now, nothing is there, right? that's why learn to understand each moment in life it's not in the book otherwise it's not study Dhamma because not understanding where is Dhamma and when is Dhamma and what is Dhamma
อาช่า: yes, Than Acharn
ท่านอาจารย์: Is it so very very ... I can't find any word precious more than that in life to begin to understand the truth that's actually there is nothing only dhamma with ignorance no underatanding of the truth, that's why learn to understand the truth because there's what is true, each moment, unknown that's why we learn to understand one's self the akussa moment, the kussa moment, the others are same, all are dhamma
คุณสุคินคะ ดิฉันได้คุยกับคุณอาช่า ให้เขามั่นคงว่า การศึกษาธรรม คือศึกษาสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เอง
คุณสุคิน: ครับ ก็คือเป็นหนทางเดียวครับ ถ้าในหนังสือตามที่ท่านอาจารย์พูด ก็แค่เป็นความจำ และคิด ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเข้าใจธรรม แน่นอนมีธรรมตลอดมีจิตตลอด ขณะที่คิด ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นคิด ตอนอ่านก็สามารถเข้าใจเห็นเป็นเห็น สีเป็นสีได้ แต่ว่านั่นไม่ใช่จากการที่อ่าน และไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น เวลาอ่านต้องไม่ประมาท ต้องรู้เหตุผลของการอ่าน อ่านเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: มิเช่นนั้น ทุกอย่างก็อยู่ในความมืดสนิท ไม่รู้ความจริงแต่ละขณะที่ผ่านไป ไม่ย้อนกลับมาอีกเลย
คุณสุคิน: ในความมืดสนิท คือความมืดที่น่ากลัวกว่าตาบอดอีก
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ให้ทุกคนได้ทราบด้วยนะที่คุณสุคินกำลังแปลให้คุณอาช่าฟังได้ไหม
คุณสุคิน: ครับผม
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การที่เรารู้ความจริงทำให้เรามั่นคงขึ้นว่า สิ่งที่เป็นอินทริยะที่เป็นนามธรรมก็มี ที่เป็นรูปธรรมก็มี แม้ว่ารูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ แต่เป็นรูปที่สำคัญที่จะให้ธาตุรู้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ขอทบทวนเท่าที่ได้สนทนากันแล้ว คุณอาช่ารู้จัก อินทริยะ อะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม
อาช่า: จักขุปสาทะ โสตปสาทะ ฆนปสาทะ ชิวหาปสาทะ กายปสาทะ คือปสาทรูป ๕ ค่ะ
ท่านอาจารย์: มีรูปอื่นอีกไหมที่เป็นอินทรีย์?
อาช่า: มี ๕ ค่ะ
ท่านอาจารย์: อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ เป็นรูปที่ทำให้ปรากฏความเป็นหญิง และชาย
อาช่า: เข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รูปที่เป็น อินทรีย์ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะ ๕ รูป จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ แต่ยังมีอิตถินทรีย์ และปุริสินทรีย์ แต่อิตถินทรีย์ กับปุริสินทรีย์ไม่เป็นเหตุให้จิตอะไรเกิด แต่เป็นเหตุให้รูปแสดงความเป็นหญิง และชาย แต่อันนี้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเรียนละเอียดไปถึงอย่างนั้นก็ได้ แต่ให้ทราบว่า รูปที่เป็นอินทรีย์นอกจาก ๕ รูป ก็ยังมีรูปอื่นด้วย
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: และนอกจากนั้น รูปที่ไม่มีชีวิต กับรูปที่มีชีวิตเพราะมีชีวิตรูปเกิดเพราะกรรม ก็ต่างกัน
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่จำ แต่เข้าใจว่า เป็นธรรม เพราะฉะนั้น นอกจากนี้เราจะพูดถึงนามธรรมที่เป็นอินทรีย์
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับเมื่อกี๊ผมบอกอาช่าว่า ไม่ใช่แค่เราจำว่า ฟังมาหลายรอบแล้วเรื่องชีวิตินทริยะ แต่เราจะพยายามเข้าใจว่า ทำไมถึงเป็นอินทริยะ ขอให้ท่านอาจารย์พูดอีกหน่อยว่า ทำไมถึงเป็นอินทริยะครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีอิตถินทริยะ จะรู้ไหมว่า รูปร่างอย่างนี้เป็นหญิง?
อาช่า: ไม่สามรถรู้ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงเป็นอิตถินทริยะ และปุริสินทริยะ และยังมีชีวิตินทริยะ รูปของคนเป็น กับรูปของคนตายต่างกัน เพราะรูปของคนตายไม่มีรูปที่เกิดจากกรรมต่อไป จึงไม่มีชีวิตินทริยะ
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รูปอื่นๆ ไม่ใช่อินทริยะ
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้รู้แล้วนะ ที่ตัวมีรูปอะไรที่เป็นอินทรีย์ ทั้งๆ ที่รูปเกิดดับเร็วมาก ไม่เหลือให้รู้เลย แต่ขณะใดที่ปรากฏก็สามารถที่จะรู้ได้
รูปแข็ง มีชีวิตินทริยะเกิดด้วยได้ไหม?
อาช่า: ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: รูปอะไร รูปแข็งไหนที่มีอินทริยะเกิดร่วมด้วย?
อาช่า: ยกตัวอย่างสัมผัสร่างกายตัวเองค่ะ
ท่านอาจารย์: ถามใหม่นะ นี่เป็นความลึกซึ้งเพียงขั้นต้นที่จะต้องไตร่ตรองทุกคำ เพื่อเข้าใจความจริงละเอียดขึ้น มิเช่นนั้น ไม่สามารถจะเข้าใจความลึกซึ้งยิ่งกว่านี้อีกมากได้
เพราะฉะนั้น ถามว่า ชีวิตินทริยะเกิดกับรูปแข็งได้ไหม?
อาช่า: ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ยกตัวอย่าง รูปแข็งไหนที่มีชีวิตินทริยะเกิดร่วมด้วย?
อาช่า: แตะร่างกายตัวเองค่ะ
ท่านอาจารย์: ก็ให้ยกตัวอย่าง เป็นแตะร่างกาย แต่ถามว่ารูปไหน ฟังให้ดีทุกคำถาม หมายความว่า ชีวิตินทริยะเกิดกับรูปแข็งไหน? ถ้าที่ตัวก็ต้องตอบว่า ไหน อะไร ไม่ใช่ที่ตัว
อาช่า: ตอบว่า กระดูก แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้ว อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยค่ะ
ท่านอาจารย์: รูปที่มีชีวิต ต้องเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัยเท่านั้น
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เห็นความลึกซึ้งไหม?
อาช่า: ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: เห็นความลึกซึ้งไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: มีแต่รูปที่ละเอียดเล็กมาก มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทั่วทั้งตัว ความละเอียดความเล็กทั้งตัวมีรูปที่เป็นกลุ่มๆ ที่เกิดขึ้นเล็กที่สุด บางกลุ่มเกิดจากกรรม บางกลุ่มเกิดจากจิต ปนกันไม่ได้ บางกลุ่มเกิดจากอุตุ บางกลุ่มเกิดจากอาหาร เพราะฉะนั้น ลึกซึ้งไหมที่จะรู้ว่า เพราะรูปที่เกิดจากกรรมเท่านั้นที่มีชีวิตินทริยรูปเกิดร่วมด้วย
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: รูปเป็นใครหรือเปล่า หรือเป็นรูป เป็นของใครหรือเปล่าหรือไม่ใช่ของใครเลย?
อาช่า: เป็นธรรมค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มรู้เพิ่มขึ้น จึงจะค่อยๆ คลายความไม่รู้ และความเป็นเรา
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: คุณอาช่าเป็นคนดีไหม?
อาช่า: ไม่ดีค่ะ
ท่านอาจารย์: ดีมาก ยินดีด้วย ที่รู้ว่าไม่ดีเพราะอะไร?
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ผมแค่พูดไม่ได้เป็นคำถามพูดต่อไปว่า การที่เราเริ่มเข้าใจความจริง เราจะเริ่มรู้ว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง แล้วที่เราคิดว่า ดี หรือไม่ดีนี่ความจริงคืออะไร? และพูดว่าคนที่เริ่มฟังธรรม ทุกคนจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีเพราะอะไร อาช่าตอบว่า เป็นเพราะว่า ตัวเองส่วนใหญ่จะเป็นอกุศล และน้อยมากจะมีกุศลเกิดขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะเริ่มเข้าใจความจริง ทุกคนที่ไม่เข้าใจความจริงจะเป็นคนดีได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่มีใครอยากไม่ดี แต่ก็ไม่ดีเพราะไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น จะ .. ไม่ได้เลยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขณะที่เห็นความจริงว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่จะได้รู้ความจริง ขณะนั้นจิตผ่องใสเป็นศรัทธาหรือเปล่า?
อาช่า: ผ่องใสค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราไม่ใช่เรียกชื่อว่า ศรัทธา แต่ต้องเข้าใจลักษณะที่เป็นศรัทธาแม้น้อย แต่ก็เป็นศรัทธาที่สะอาดที่ถูกต้อง
เริ่มเข้าใจว่า ศรัทธาเป็นศรัทธา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นธรรมที่ผ่องใสที่มีการเข้าใจที่ถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเพราะทำให้จิตสะอาดขึ้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ จึงจะเริ่มเข้าใจศรัทธา และธรรมยิ่งขึ้นได้
ขณะที่เข้าใจธรรม มีศรัทธาไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกขณะที่เป็นกุศล ต้องมีศรัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพราะเป็นสภาพที่ทำให้จิตสะอาด
ถ้าศรัทธาไม่เกิด จิตสะอาดไหม?
อาช่า: ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกครั้งทุกอย่างที่เป็นความดีต้องมีศรัทธาที่สะอาดเกิดร่วมด้วยจึงเป็นกุศลได้
ขณะที่เห็นประโยชน์สูงสุดของความเข้าใจพระธรรม คุณอาช่าจะทำให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยหรือเปล่า?
อาช่า: ทำค่ะ ควรจะช่วยคนอื่นด้วย
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะรู้จักธรรมจริงๆ เมื่อรู้ความประพฤติที่เป็นไปในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คนอื่นบอกนะเป็นตัวเองเท่านั้นที่รู้ความจริงได้ว่า ขณะไหนเป็นศรัทธา ขณะไหนเป็นอกุศล
ถ้าขณะไหนที่ช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม ไม่คิดถึงตัวเองเลยขณะนั้นจิตสะอาด เห็นไหมว่าลำบากมากแต่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ทำไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ค่อยๆ เห็นกำลังของศรัทธาเมื่อขณะนั้นเป็นจิตที่สะอาดใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าช่วยให้คนอื่นได้พ้นจากความทุกข์ ได้เข้าใจความจริง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ขณะนั้นศรัทธามีกำลังไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: แต่อย่างนั้นก็ยังไม่เป็นศรัทธินทรีย์ ยังไม่มีกำลังพอที่จะถึงความเป็นอินทรีย์
เห็นความลึกซึ้งของพระธรรมไหม?
อาช่า: ลึกซึ้งมากค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันที่ช่วยคนอื่นเป็นกุศลเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ใช่ ศรัทธินทรีย์ เพราะฉะนั้น ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นมีกำลังถึงความเป็นอินทรีย์ก็ด้วยการเข้าใจธรรมมากกว่านี้
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ฟังเรื่องศรัทธา มีความเข้าใจเฉพาะศรัทธาเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีศรัทธาหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น พอจะนึกออกไหมว่า จะเป็นศรัทธินทรีย์เมื่อไหร่?
อาช่า: ศรัทธาเป็นอินทริยะตอนที่ศรัทธาเป็นเหตุให้เกิดกุศล
ท่านอาจารย์: ศรัทธาเกิดกับกุศลทุกประเภท แม้แต่การที่หยิบของให้คนอื่น
อาช่า: เมื่อความเข้าใจมั่นคงขึ้นค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละเอียดเพื่อเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่คิดเองใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นความลึกซึ้งที่ลึกมาก ถ้าไม่มีความเข้าใจจะไม่เห็นความลึกเลย คิดว่าตื้น
ถ้าไม่เข้าใจ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรม
เพราะฉะนั้น เริ่มทบทวน คำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพื่อเข้าใจยิ่งขึ้นลึกยิ่งขึ้น ถ้าเข้าใจว่า รู้จักศรัทธาแล้ว เข้าใจศรัทธาแล้ว รู้ความลึกซึ้งแล้ว ถูกหรือผิด?
อาช่า: ถ้าคิดอย่างนั้น ไม่ถูกค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่า ขณะนั้นยังไม่ใช่ศรัทธินทรีย์ หนทางที่ ศรัทธา จะเป็นศรัทธินทรีย์ คืออย่างไร?
อาช่า: มีหนทางเดียว ก็คือฟังต่อไป พิจารณาต่อไปค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มต้นอีกๆ ๆ จะได้ลึกซึ้งลงไปทีละเล็กทีละน้อย เพื่อที่จะไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ก็ทบทวนแต่ละคำ ทีละคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร และรู้ไหมนี่คือหนทางที่ศรัทธาจะเพิ่มขึ้น
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: คำไหนล่ะที่นึกถึงที่จะได้เพิ่มศรัทธาขึ้น เมื่อเราได้พูดถึงคำนั้นอีก ขณะที่ให้คิดถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ขณะนั้นก็เป็นศรัทธาที่จะคิด รู้หรือยัง?
คุณสุคิน: เมื่อกี๊ผมบอกว่า การที่เรารู้ว่าเราไม่รู้ และการที่เราต้องพึ่ง คำสอน ของพระพุทธองค์ ตรงนั้นก็แสดงว่ามีศรัทธา
ท่านอาจารย์: แต่ยังไม่ละเอียด เพราะฉะนั้น เราต้องพูดถึง คำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ทีละคำ เพื่อศรัทธาจะได้เพิ่มขึ้น
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: คำไหนล่ะ ศรัทธาจะได้เพิ่มขึ้นเมื่อเราจะไม่ลืมคำนั้น และพูดถึงให้เข้าใจขึ้นอีก
มีศรัทธาไหมที่จะพูดถึงแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียง ๑ คำเดี๋ยวนี้ก็มีศรัทธาที่จะพูดถึงแล้วใช่ไหม?
อาช่า: ฟังเรื่องเห็นค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
มีศรัทธาไหมที่จะพูดถึงแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียง ๑ คำเดี๋ยวนี้ก็มีศรัทธาที่จะพูดถึงแล้วใช่ไหม?
อาช่า: เห็นค่ะ ฟังเรื่องเห็นค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะมีศรัทธาที่จะเข้าใจ เห็น ละเอียดขึ้น เพราะว่ากำลังเห็น เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เห็น ว่าอย่างไรบ้าง?
อาช่า: เห็นมีอยู่ เกิดเมื่อรูปกระทบตาค่ะ
ท่านอาจารย์: แล้วอะไรอีก ไม่ได้ตรัสเพียงเท่านี้แน่นอน
อาช่า: เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่เกิดค่ะ
ท่านอาจารย์: แล้วอะไรอีก เกี่ยวกับเห็นอย่างเดียว?
อาช่า: เห็นเป็นอินทรีย์ และจักขุปสาทะซึ่งเป็นฐานให้เห็นเกิดนั่นก็อินทรีย์
ท่านอาจารย์: แล้วอะไรอีก?
มานิช: เป็นธรรมหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้
ท่านอาจารย์: แล้วอะไรอีก?
สุคิน: ต้องให้ท่านอาจารย์ช่วยครับ
ท่านอาจารย์: คงไม่ลืมนะ เราฟังธรรมเพื่อไม่ลืม เห็นเป็นอริยสัจจธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เห็นเป็นอริยสัจจธรรมอะไร?
อาช่า: เป็นทุกข์ค่ะ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ประจักษ์ เห็น เป็นทุกขอริยสัจจะแล้วหรือยัง?
อาช่า: ยังค่ะ
ท่านอาจารย์: มีศรัทธาที่จะค่อยๆ ฟัง เพื่อเข้าใจความจริงของ เห็น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งไหม?
อาช่า: มีศรัทธาค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็น ศรัทธินทรีย์ แล้วหรือยัง?
อาช่า: ยังค่ะ
ท่านอาจารย์: ถูกต้องที่สุด เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูก ไม่เห็นผิด ใครจะช่วยให้คุณอาช่ามีศรัทธินทรีย์ได้ไหม?
อาช่า: ไม่มีใครช่วยให้เกิดได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง ดีมาก มั่นคงหรือยังว่า ศรัทธาจะเป็นศรัทธินทรีย์เมื่อไหร่?
อาช่า: หนทางก็คือ ฟังแล้วเพิ่มความเข้าใจ และเมื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น คุณธรรมต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นตามกำลังของความเข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์: ก็ยินดีในศรัทธาที่ได้เข้าใจความจริงตรงนี้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: คุณอาช่าเป็นคนดีเพิ่มขึ้นหรือยัง?
อาช่า: ในเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็เป็นคนดีเพิ่มขึ้นค่ะ
ท่านอาจารย์: ตามกำลังความเข้าใจ และศรัทธา ซึ่งค่อยๆ จะเป็นศรัทธินทรีย์ แต่ยังไม่ถึง
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธรรมฟังเพื่อเข้าใจเพื่อประพฤติตาม ถ้ายังไม่ประพฤติตามเป็นศรัทธาหรือเปล่า?
อาช่า: ถ้าไม่ประพฤติตาม ศรัทธาก็ไม่สามารถเพิ่มได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: แล้วก็ ระดับของความเข้าใจศรัทธานี้เป็นศรัทธาขั้นไหน?
อาช่า: ก็สรุปได้ว่ายังน้อยอยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์: แต่ก็มีศรัทธาที่จะฟังต่อไปเพื่อจะถึงศรัทธินทรีย์ใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: คุณอาช่าคิดว่า เห็น เดี๋ยวนี้สามารถที่จะมีปัญญา และศรัทธาที่จะรู้ความจริงว่า เห็นขณะนี้เป็นนิมิตของเห็น
อาช่า: เวลานี้ก็มีเกิดขึ้นบ้าง เข้าใจว่าเป็นนิมิตค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น นิมิต หมายความว่าอะไร?
อาช่า: นิมิต คือทุกอย่างที่เกิด ดับทันที แต่ว่าจะมีนิมิตด้วยของธรรมนั้นให้รู้ว่า มี
ท่านอาจารย์: เพราะเหตุว่า สิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่ดับ ความจริงเกิดดับเร็วมาก จนหนึ่งขณะที่เกิดแล้วดับไม่ปรากฏ แต่หลายๆ ขณะก็ปรากฏเป็นนิมิตของธรรมหนึ่ง เดี๋ยวนี้ที่เข้าใจอย่างนี้มีศรัทธาไหม จิตสะอาดที่จะรู้ความจริง?
อาช่า: มีศรัทธาค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องฟังละเอียดจึงสามารถที่จะเข้าใจแม้ศรัทธาเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจถูกต้องนะว่า ศรัทธาขณะนี้ยังไม่ใช่ศรัทธินทรีย์แน่นอน
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: อีกนานไหมกว่าจะเป็นศรัทธินทรีย์ ซึ่งใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ นอกจากปัจจัยที่จะทำให้เกิด
อาช่า: ค่ะท่านอาจารย์
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีปัญญาขณะนี้ คุณอาช่ามีปัญญาที่รู้ความต่างของ ศรัทธากับศรัทธินทรีย์
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: นี่คือการฟังธรรมที่เป็นอริยสัจจธรรมข้อที่ ๑ ยังไม่มากเลย แค่นิดหน่อยเท่านั้น ถูกต้องไหม?
อาช่า: ถูกต้องค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มรู้ความละเอียดลึกซึ้งของธรรมแม้ความต่างกันของศรัทธากับศรัทธินทรีย์ทุกขณะในชีวิตประจำวัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม คืออริยสัจจธรรม ให้รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เรายังกล่าวไม่หมดถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อฟังแล้วเข้าใจขึ้นๆ ก็รู้ว่า เพียงเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงที่เกิดดับ
ขณะที่เข้าใจถูกใน คำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องอริยสัจจะ ขณะนั้นจิตผ่องใสสะอาด เพราะได้รู้ความจริง แต่ยังไม่ถึงศรัทธินทรีย์ แสดงความห่างไกลกันมากกับปัญญาอีกระดับหนึ่ง แต่ละขั้น ซึ่งต้องละเอียด เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าขณะใดที่เป็นคนดี ขณะนั้นเป็นผลของการฟัง และเข้าใจธรรม
อาช่า : ค่ะ
ท่านอาจารย์: อกุศลสะอาดผ่องใสไหม?
อาช่า: ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กุศลเพียง ๑ ขณะก็สะอาดผ่องใส ถ้าไม่กระทำทันที ก็ไม่เป็นกุศลแล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจพระธรรม จิตจะค่อยๆ สะอาดผ่องใสขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจธรรม เป็นคนดี น้ำหนึ่งใจเดียว ประพฤติตามพระธรรม ขณะนั้นเป็นศรัทธาที่เพิ่มขึ้นจนกว่าจะถึงศรัทธินทรีย์
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ