Thai-Hindi 17 August 2024

 
prinwut
วันที่  17 ส.ค. 2567
หมายเลข  48303
อ่าน  190

Thai-Hindi 17 August 2024


- (คุณอาช่าไม่ว่างต้องทำอาหารทุกมื้อให้คุณแม่คุณอาคิ่ลที่ป่วยอยู่) ยินดีที่คุณอาช่ามีโอกาสได้เจริญกุศล ทำทุกอย่างที่ดีที่สุดในชีวิตซึ่งเราไม่รู้จะมีอีกนานเท่าไหร่ มีโอกาสเป็นกุศลเมื่อไหร่เป็นทันทีด้วยความเบิกบานที่ได้มีโอกาส ทั้งหมดเป็นธรรมใช่ไหม (ใช่) เป็นโอกาสที่จะได้รู้ความจริงที่เกิดแล้วว่าเป็นธรรม

- สังขารขันธ์ต่อไปจะเป็นอะไรไม่มีใครรู้ จะเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นวิบากต่อไปไม่มีใครรู้เลยเพราะเป็นธรรมทั้งหมด สิ่งที่ดีที่สุดเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นคือ เข้าใจความถูกต้องและความจริง

- ธรรมอยู่ไหน (อยู่ในปัจจุบัน) ไม่ใช่อยู่ในหนังสือเลยใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่มีเดี๋ยวนี้จะไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นหนทางเดียวฟังธรรมแล้วไม่ลืมเข้าใจให้ถูกต้อง

- สิ่งที่มีเกิดตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่รู้ความจริงเลยจึงเป็นเราและเป็นคุณแม่คุณอาคิ่ลเป็นทุกอย่างแต่ความจริงเป็นธรรมแต่ละ ๑

- ธรรมลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้ง) ต้องไม่ประมาทเลยเพราะกว่าจะรู้ความจริงตามที่ได้ฟัง ต้องละเอียด ต้องไตร่ตรอง ฟังธรรมเพื่อไม่ลืมว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่ยังไม่รู้ความจริงของธรรมนั้น เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงว่า ธรรมลึกซึ้ง

- กำลังมีธรรมเดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจว่าลึกซึ้ง ถ้าไม่มีเห็นมีคุณอาช่าไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ความจริงว่าเป็นธรรมแต่ไม่ใช่เราไม่มีเรา

- ถ้าไม่ฟังธรรมและไม่เข้าใจความลึกซึ้งไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเรียนคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพื่อเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งจึงรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- วันนี้คุณอาช่าเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง (เริ่มแล้ว) เพราะฉะนั้นรู้จักยิ่งขึ้นเมื่อฟังคำของพระองค์ละเอียดขึ้น ทุกคำของพระองค์กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้่ตั้งแต่เกิดจนตาย สมควรรู้ความจริงไหมว่า ไม่มีคุณอาช่าแต่ทุกอย่างที่มีเป็นธรรมทั้งหมด (สมควร)

- การเข้าใจความจริงจะทำให้จิตใจปลอดโปร่งพ้นจากความทุกทีละน้อยๆ ถ้าคิดว่า ธรรมเป็นเราจะเป็นทุกข์มากเพราะอยากจะพ้นทุกข์ต่างๆ แต่ถ้ารู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่า เกิดแล้วไม่มีใครทำเป็นธรรมทั้งหมด

- เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่จะได้รู้ความจริงทีละน้อยทำให้พ้นจากการยึดถือว่าเป็นเราและสิ่งต่างๆ ความเข้าใจความละเอียดความลึกซึ้งของธรรมจะทำให้มั่นคงว่า ธรรมเป็นธรรมไม่ใช่เรา

- เพียงฟังเล็กน้อยยังไม่มั่นคงพอเพราะฉะนั้นความเข้าใจที่มั่นคงนั่นเองจะทำหน้าที่ละความไม่รู้และทุกข์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่สุดที่จะได้สนทนาเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่กำลังมี

- ต้องไม่ลืมว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นก็เชิญสนทนาสิ่งที่กำลังมี ต้องไม่ลืมเลย ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็ขอเชิญสนทนาคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว

- (คุณอาช่าอยากต่อเรื่องอินทรีย์ คราวที่แล้วพูดถึงศรัทธา อยากให้ท่านอาจารย์เพิ่มเติมหรือย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่เพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น) ดีมากที่ไม่ประมาทว่า ความเข้าใจต้องละเอียดต้องมั่นคง ต้องเข้าใจธรรมละเอียดลึกซึ้งขึ้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2567

- ศรัทธาเป็นจิตหรือเปล่า (ไม่) เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้นจิตไม่ทำกิจอื่นเลยไม่ว่าจะเกิดที่สวรรค์ นรก หรืออะไรก็ตาม จิตเป็นสภาพที่ “รู้แจ้ง” สิ่งที่ปรากฏให้รู้คือ รู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น

- จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เปลี่ยนลักษณะของจิตให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม (เปลี่ยนไม่ได้) เพราะฉะนั้นมีจิตทุกขณะเป็นใหญ่ทุกขณะจิตเป็นอินทรีย์หรือเปล่า (เป็น) จิตเป็นอินทรีย์ทุกขณะหรือเปล่า

- กำลังนอนหลับสนิทมีจิตไหม (มีจิต) และจิตขณะนอนหลับเป็นใหญ่ไหม (จิตทุกดวงเป็นประธาน) เพราะฉะนั้นไม่ลืมความหมายของอินทรีย์ ด้วยเหตุนี้จิตจึงเป็น “มนินทรีย์”

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงใครจะรู้ว่า นอกจากจิตยังมีสภาพรู้ที่เกิดร่วมกับจิต (ถ้าพระพุทธองค์ไม่ตรัสไม่มีใครสามารถรู้ได้) และรูปที่เกิดกับจิตเกิดพร้อมจิตหรือขณะนี้รูปที่เกิดทุกขณะก็เป็นสภาพไม่รู้แต่รูปบางรูปก็เป็นอินทรีย์ด้วย

- ขณะนี้กำลังเห็น จิตเป็นสภาพรู้เป็นมนินทรีย์ จักขุปสาทเป็นจักขุนทรีย์เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีจักขุปสาท จิตเห็นเกิดไม่ได้ (คุณสุคินขอตัวไปดื่มน้ำ)

- (ท่านอาจารย์สนทนาเป็นภาษาอังกฤษกับคุณอาช่า) คุณอาช่ากำลังเห็นไหม (กำลังเห็น) มีอินทรีย์ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไหม (มี) อะไรเป็นอินทรีย์ขณะที่กำลังเห็น (จิตและจักขุปสาท) นี้เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะถ้าไม่มีความเข้าใจเห็นที่กำลังมีขณะนี้จะค่อยๆ ละความเป็นเราได้ไหม

- เพราะฉะนั้นการศึกษาไม่ใช่เพียงแค่อ่านตำราและคิด แต่ค่อยๆ เริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีอะไรปรากฏ จริงไหม (จริง)

- ค่อยๆ เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในตำรา มิฉะนั้นไม่ใช่การศึกษาธรรมเพราะไม่เข้าใจว่าธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมคืออะไร นี่จึงเป็นเวลาที่มีค่าอย่างยิ่งในชีวิตที่ค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่า จริงๆ แล้วไม่มีอะไรนอกจากธรรมซึ่งเป็นความไม่รู้ที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงถ้าไม่เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริง

- เพราะฉะนั้นค่อยๆ เริ่มรู้ความจริงว่าแต่ละขณะมีจริงๆ แต่ยังไม่รู้ ค่อยๆ เข้าใจตนเอง ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล เป็นธรรมทั้งหมด

- คุณสุคินคะ ได้คุยกับคุณอาช่าให้เขามั่นคงว่า การศึกษาธรรมคือศึกษาสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เอง (เป็นหนทางเดียวถ้าเป็นหนังสือตามที่ท่านอาจารย์พูดก็เป็นเพียงความจำ เพียงความคิดซึ่งไม่เกี่ยวกับความเข้าใจ แต่แน่นอนว่าเป็นธรรมตลอด คิดก็สามารถเข้าใจได้ว่าคิด ตอนอ่านก็สามารถเข้าใจว่าเห็นเป็นเห็น สีเป็นสีได้แต่ไม่ใช่เข้าใจจากการที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น เวลาอ่านก็ต้องไม่ประมาทและรู้เหตุผลว่า อ่านเพื่อเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ)

- มิฉะนั้นทุกอย่างก็อยู่ในความมืดสนิทไม่รู้ความจริงแต่ละขณะที่เกิดดับผ่านไปไม่ย้อนกลับมาอีกเลย (และความมืดสนิทนี้เป็นความมืดที่น่ากลัวกว่าตาบอด) เพราะฉะนั้นก็ให้ทุกคนได้ทราบด้วย คุณสุคินแปลให้คุณอาช่าได้ทราบด้วย

- เพราะฉะนั้นการที่เรารู้ความจริงทำให้เรามั่นคงขึ้นว่า สิ่งที่เป็นอินทริยะที่เป็นนามธรรมก็มี ที่เป็นรูปธรรมก็มี แม้ว่ารูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้แต่เป็นรูปสำคัญที่ทำให้สภาพรู้เกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นขอทบทวนเท่าที่ได้สนทนากันแล้ว คุณอาช่ารู้จักอินทริยะอะไรบ้างที่เป็นรูปธรรมก่อน (ปสาทรูป ๕) มีรูปอื่นอีกไหมที่เป็นอินทรีย์ (มี ๕) อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์เป็นรูปที่ทำให้ปรากฏความเป็นหญิงหรือชาย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นรูปที่เป็นอินทรีย์ไม่ได้มีแต่เฉพาะ ๕ รูป จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ แต่ยังมีอิตถินทรีย์และปุริสินทรีย์ แต่อิตถินทรีย์กับปุริสินทรีย์ไม่เป็นเหตุให้จิตเกิดแต่เป็นเหตุให้รูปแสดงความเป็นหญิงหรือชาย แต่อันนี้ไม่เป็นไร ไม่ต้องเรียนละเอียดไปถึงอย่างนั้นก็ได้แต่ให้ทราบว่ารูปที่เป็นอินทรีย์นอกจาก ๕ รูปยังมีรูปอื่นด้วย

- และนอกจากนั้นรูปที่ไม่มีชีวิตกับรูปที่มีชีวิตเพราะมีชีวิตรูปเกิดเพราะกรรมก็ต่างกัน ไม่ใช่จำแต่เข้าใจว่า เป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นนอกจากนี้เราจะพูดถึงนามธรรมที่เป็นอินทรีย์ (จะให้ท่านอาจารย์พูดอีกว่าทำไมถึงเป็นอินทริยะ) ถ้าไม่มีอิตถินทริยะจะรู้ไหมว่า รูปร่างแบบนี้เป็นหญิง (ไม่สามารถรู้ได้) เพราะฉะนั้นจึงเป็นอิตถินทริยะและปุริสินทริยะและยังมี “ชีวิตินทริยะ” รูปของคนเป็นกับรูปของคนตายต่างกันเพราะรูปของคนตายไม่มีรูปที่เกิดจากกรรมอีกต่อไปจึงไม่มีชีวิตินทริยะ

- เพราะฉะนั้นรูปอื่นๆ ไม่ใช่อินทริยะ ต่อไปนี้รู้แล้วที่ตัวรูปอะไรเป็นรูปที่เป็นอินทรีย์ทั้งๆ ที่รูปเกิดดับเร็วมากไม่เหลือให้รู้เลยแต่ขณะใดที่ปรากฏก็สามารถที่จะรู้ได้

- รูปแข็งมีชีวิตินทริยะเกิดร่วมด้วยได้ไหม (ได้) รูปอะไรรูปแข็งไหนที่มีชีวิตตินทริยะเกิดร่วมด้วย (ตัวอย่าง สัมผัสร่างกายตัวเอง)

- ถามใหม่ให้คิด นี้เป็นความลึกซึ้งเพียงขั้นต้นที่จะต้องไตร่ตรองทุกคำเพื่อเข้าใจความจริงละเอียดขึ้นมิฉะนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งยิ่งกว่านี้อีกมากได้ เพราะฉะนั้นถามว่า ชีวิตินทริยะเกิดกับรูปแข็งได้ไหม (ได้) ตัวอย่างรูปแข็งไหนที่มีชีวิตินทริยะเกิดร่วมด้วย (ยกตัวอย่างแตะร่างกายตัวเอง)

- ไม่ใช่ให้ตัวอย่างเป็นแตะร่างกาย แต่ถามว่า รูปไหน ฟังให้ดีทุกคำถามถามว่า ชีวิตินทริยะเกิดกับรูปแข็งไหน ถ้าที่ตัวก็ต้องตอบว่า ไหน อะไร ไม่ใช่ตัว (ตอบว่ากระดูก แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจ อยากให้ท่านอาจารย์ช่วย) รูปที่มีชีวิตต้องเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัยเท่านั้น

- มีแต่รูปที่ละเอียดเล็กมากมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทั่วทั้งตัว ความละเอียดความเล็ก ทั้งตัวมีรูปที่เป็นกลุ่มๆ ที่เกิดขึ้นเล็กที่สุด บางกลุ่มเกิดจากกรรม บางกลุ่มเกิดจากจิตปนกันไม่ได้ บางรูปเป็นกลุ่มที่เกิดจากอุตุ บางกลุ่มเกิดจากอาหาร เพราะฉะนั้นลึกซึ้งไหมที่จะรู้ว่า เฉพาะรูปที่เกิดจากกรรมเท่านั้นที่มีชีวิตินทริยรูปเกิดร่วมด้วย

- รูปเป็นใครหรือเปล่าหรือเป็นรูป เป็นของใครหรือเปล่าหรือไม่ใช่ของใครเลย (เป็นธรรม) เริ่มรู้เพิ่มขึ้นจึงจะค่อยๆ คลายความไม่รู้และความเป็นเรา

- คุณอาช่าเป็นคนดีไหม (ไม่) ดีมาก ยินดีด้วย ที่รู้ว่าไม่ดีเพราะอะไร (เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นอกุศล น้อยมากที่จะเป็นกุศล) เพราะเริ่มเข้าใจความจริง

- ทุกคนที่ไม่เข้าใจความจริงจะเป็นคนดีได้ไหม (ไม่ได้) ไม่มีใครอยากไม่ดีแต่ก็ไม่ดีเพราะไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นจะพึ่งใครไม่ได้เลยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่เห็นความจริงว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่จะให้รู้ความจริง ขณะนั้นจิตผ่องใสเป็นศรัทธาหรือเปล่า (ผ่องใส)

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรียกชื่อว่า ศรัทธา แต่ต้องเข้าใจลักษณะที่เป็นศรัทธาแม้น้อยแต่ก็เป็นศรัทธาที่สะอาดที่ถูกต้อง เริ่มเข้าใจว่า ศรัทธาเป็นศรัทธาไม่ใช่ใคร แต่เป็นธรรมที่ผ่องใสที่มีการเข้าใจถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเพราะทำให้จิตสะอาดขึ้นแต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ จึงจะเริ่มเข้าใจศรัทธาและธรรมยิ่งขึ้นได้

- ขณะที่เข้าใจธรรมมีศรัทธาไหม (มี) เพราะฉะนั้น ทุกขณะที่เป็นกุศลต้องมีศรัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพราะสภาพธรรมที่ทำให้จิตสะอาด ถ้าศรัทธาไม่เกิดจิตสะอาดไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นทุกครั้งทุกอย่างที่เป็นความดีต้องมีศรัทธาที่สะอาดเกิดร่วมด้วยจึงเป็ญกุศลได้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2567

- ขณะที่เห็นประโยชน์สูงสุดของความเข้าใจพระธรรม คุณอาช่าจะทำให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยหรือเปล่า (ทำด้วย) เพราะฉะนั้นจะรู้จักธรรมจริงๆ เมื่อรู้ความประพฤติที่เป็นไปในชีวิตประจำวันเพราะฉะนั้นไม่ใช่คนอื่นบอก เป็นตัวเองเท่านั้นที่รู้ความจริงได้ว่า ขณะไหนเป็นศรัทธา ขณะไหนเป็นอกุศล

- ถ้าขณะไหนที่ช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมไม่คิดถึงตัวเองเลยขณะนั้นจิตสะอาด ถึงแม้ว่าลำบากมากแต่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ทำไหม ค่อยๆ เห็นกำลังของศรัทธาเมื่อขณะนั้นเป็นจิตที่สะอาดใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นถ้าช่วยให้คนอื่นได้พ้นจากความทุกข์ได้เข้าใจความจริงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ขณะนั้นศรัทธามีกำลังไหม แต่อย่างนั้นก็ยังไม่ใช่ “สัทธินทรีย์” ยังไม่มีกำลังพอที่จะถึงความเป็นอินทรีย์

- เห็นความลึกซึ้งของพระธรรมไหม (ลึกซึ้งมาก) เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันที่ได้ช่วยคนอื่นเป็นกุศลเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ใช่สัทธินทรีย์ เพราะฉะนั้นศรัทธาจะเพิ่มขึ้นมีกำลังถึงความเป็นอินทรีย์ก็ด้วยการเข้าใจธรรมมากกว่านี้

- เริ่มฟังเรื่องศรัทธามีความเข้าใจเฉพาะเรื่องศรัทธาเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีศรัทธาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นพอจะนึกออกไหมว่า จะเป็นสัทธินทรีย์เมื่อไหร่ (เป็นเมื่อศรัทธาเป็นเหตุให้เกิดกุศล)

- ศรัทธาเกิดกับกุศลทุกประเภทแม้แต่การหยิบของให้คนอื่น (ตอบได้แค่ว่าเมื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น) เพราฉะนั้นต้องฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละเอียดเพื่อเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่คิดเองใช่ไหม (ใช่)

- เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความลึกซึ้งที่ลึกมาก ถ้าไม่มีความเข้าใจจะไม่เห็นความลึกเลย คิดว่าตื้น ถ้าไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและจะไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรม เพราะฉะนั้นเริ่มทบทวนคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพื่อเข้าใจยิ่งขึ้นลึกซึ่งยิ่งขึ้น

- ถ้าเข้าใจว่า รู้จักศรัทธาแล้ว เข้าใจศรัทธาแล้ว รู้ความลึกซึ้งแล้ว ถูกหรือผิด (ถ้าคิดอย่างนี้ไม่ถูก) เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่สัทธินทรีย์ หนทางที่ศรัทธาจะเป็นสัทธินทรีย์คืออย่างไร (มีหนทางเดียวคือฟังต่อไป พิจารณาต่อไป)

- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นอีกๆ จะได้ลึกลงไปทีละเล็กทีละน้อยเพื่อไม่ลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ก็ทบทวนแต่ละคำทีละคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร และรู้ไหมว่า นี้คือหนทางที่ศรัทธาจะเพิ่มขึ้น

- คำไหนที่คุณอาช่านึกถึงที่จะได้เพิ่มศรัทธาขึ้นเมื่อเราได้พูดถึงคำนั้นอีก ขณะที่คิดถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วขณะนั้นก็เป็นศรัทธาที่จะคิด รู้หรือยัง (การที่รู้ว่ายังไม่รู้และรู้ว่าต้องพึ่งคำสอนของพระพุทธองค์ก็แสดงว่ามีศรัทธา)

- แต่ยังไม่ละเอียดเพราะฉะนั้นเราต้องพูดถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทีละคำเพื่อศรัทธาจะได้เพิ่มขึ้น คำไหนเพื่อศรัทธาจะได้เพิ่มขึ้นเมื่อไม่ลืมคำนั้นและพูดถึงเพื่อให้เข้าใจขึ้นอีก

- มีศรัทธาไหมที่จะพูดถึงแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียง ๑ คำเดี๋ยวนี้ต้องมีศรัทธาที่จะพูดถึงแล้วใช่ไหม (เห็น) เพราะฉะนั้นจะมีศรัทธาที่จะเข้าใจเห็นละเอียดขึ้นเพราะว่ากำลังเห็น

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเห็นว่าอย่างไรบ้าง (เห็นมีอยู่เกิดเมื่อรูปกระทบตา) แล้วอะไรอีก พระองค์ไม่ได้ตรัสเพียงเท่านี้แน่นอน (เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยเห็นก็ไม่เกิด) แล้วอะไรอีกเกี่ยวกับเห็นอย่างเดียว (เห็นเป็นอินทรีย์และจักขุปสาทซึ่งเป็นที่เกิดของเห็นก็เป็นอินทรีย์) แล้วอะไรอีก (คุณมานิชตอบว่า เห็นเป็นธรรม ๑ ซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้) แล้วอะไรอีก (ให้ท่านอาจารย์ช่วย)

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2567

- คงไม่ลืม เราฟังธรรมเพื่อไม่ลืมว่า เห็นเป็นอริยสัจจธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใช่ไหม (ใช่) เห็นเป็นอริยสัจจธรรมอะไร (เป็นทุกข์) เดี๋ยวนี้ประจักษ์เห็นเป็นทุกขอริยสัจจะแล้วหรือยัง (ยัง)

- มีศรัทธาที่จะค่อยๆ ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของเห็นจนกว่าประจักษ์แจ้งไหม (มีศรัทธา) เป็นสัทธินทรีย์หรือยัง (ยังไม่เป็นสัทธินทรีย์) ถูกต้องที่สุดเพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่มั่นคงฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกไม่เห็นผิด

- ใครจะช่วยให้คุณอาช่ามีสัทธินทรีย์ได้ไหม (ไม่มีใครทำให้เกิดได้) ถูกต้อง ดีมาก มั่นคงหรือยังว่า ศรัทธาจะเป็นสัทธินทรีย์เมื่อไหร่ (หนทางคือเมื่อฟังและเพิ่มความเข้าใจและเมื่อความเข้าใจเจริญเพิ่มขึ้นคุณธรรมต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นตามกำลังของความเข้าใจ) ก็ยินดีในศรัทธาที่ได้เข้าใจความจริงตรงนี้

- คุณอาช่าเป็นคนดีเพิ่มขึ้นหรือยัง (ในเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็เป็นคนดีเพิ่มขึ้นตามกำลังของความเข้าใจ) ตามกำลังของความเข้าใจและศรัทธาซึ่งค่อยๆ จะเป็นสัทธินทรีย์แต่ยังไม่ถึง

- เพราะฉะนั้นธรรมฟังเพื่อเข้าใจเพื่อประพฤติตาม ถ้ายังไม่ประพฤติตามเป็นศรัทธาหรือเปล่า (ถ้าไม่ประพฤติตามที่ฟังและเข้าใจ ศรัทธาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้) และระดับของความเข้าใจศรัทธาขณะนี้เป็นศรัทธาขั้นไหน (ยังน้อยอยู่) แต่ก็มีศรัทธาที่จะฟังต่อไปเพื่อถึงสัทธินทรีย์ใช่ไหม

- คุณอาช่าคิดว่า เห็นเดี๋ยวนี้สามารถที่จะมีปัญญาและศรัทธาที่จะรู้ความจริงว่า เห็นขณะนี้เป็น “นิมิต” ของเห็น (เวลานี้ก็มีเกิดขึ้นเข้าใจว่าเป็นนิมิต)

- เพราะฉะนั้นนิมิตหมายความว่าอะไร (ทุกอย่างที่เกิดดับทันทีแต่จะมีนิมิตของธรรมนั้นให้รู้ว่ามี) เพราะเหตุว่า สิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่ดับ ความจริงเกิดดับเร็วมากจน ๑ ขณะที่เกิดแล้วดับไม่ปรากฏ แต่หลายๆ ขณะก็ปรากฏเป็น“นิมิต” ของธรรม ๑

- เดี๋ยวนี้ที่เข้าใจอย่างนี้มีศรัทธาไหม จิตสะอาดที่เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นต้องฟังละเอียดจึงสามารถที่จะเข้าใจแม้ศรัทธาเพิ่มขึ้น

- เพราะฉะนั้นก็เข้าใจถูกต้องว่า ศรัทธาขณะนี้ยังไม่ใช่สัทธินทรีย์แน่นอน อีกนานไหมกว่าจะเป็นสัทธินทรีย์ซึ่งใครก็ทำให้เกิดไม่ได้นอกจากปัจจัยที่จะทำให้เกิด

- เพราะฉะนั้นมีปัญญาขณะนี้ คุณอาช่ามีปัญญาที่รู้ความต่างของศรัทธาและสัทธินทรีย์ นี้คือการฟังธรรมที่เป็นอริยสัจจธรรมข้อที่ ๑ ยังไม่มากเลยแค่นิดหน่อยเท่านั้น ถูกต้องไหม

- เริ่มรู้ความละเอียดลึกซึ้งของธรรมแม้ความต่างกันของศรัทธาและสัทธินทรีย์ทุกขณะในชีวิตประจำวัน

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมคือ อริยสัจจธรรมให้รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างแต่เรายังกล่าวไม่หมดถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อฟังแล้วเข้าใจขึ้นๆ ก็รู้ว่า เพียงเข้าใจสิ่งที่ปรากฏแต่ยังไม่ประจักษ์แจ้งความจริงที่เกิดดับ

- ขณะที่เข้าใจถูกในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องอริยสัจจะ ขณะนั้นจิตผ่องใสจิตสะอาดเพราะได้รู้ความจริงแต่ยังไม่ถึงสัทธินทรีย์ แสดงความห่างไกลกันมากกับปัญญาอีกระดับหนึ่งแต่ละขั้นซึ่งต้องละเอียด แสดงว่า ถ้าขณะใดที่เป็นคนดีขณะนั้นเป็นผลของการฟังและเข้าใจธรรม

- อกุศลสะอาดผ่องใสไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นกุศลเพียง ๑ ขณะก็สะอาดผ่องใสถ้าไม่กระทำทันทีก็ไม่เป็นกุศลแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจพระธรรม จิตจะค่อยๆ สะอาดผ่องใสขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

- เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจธรรมเป็นคนดี น้ำหนึ่งใจเดียว ประพฤติตามพระธรรม ขณะนั้นเป็นศรัทธาที่เพิ่มขึ้นจนกว่าจะถึงสัทธินทรีย์

- ยินดีอย่างยิ่งในกุศลของคุณสุคิน เป็นผู้มีคุณจริงๆ ต่อคนที่ได้เข้าใจธรรม สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยความเคารพสูงสุด

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในคุณความดีคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาชาวอินเดียทุกท่านทุกประการ

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในความอนุเคาระห์ตรวจทาน

กราบยินดีในกุศลคุณความดีคณะอาจารย์ และ จนท. มศพ. ทุกท่านทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 17 ส.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ แต่ละข้อความเป็นประโยชน์ที่สุด ครับ

และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ส.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nattawan
วันที่ 18 ส.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ