ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๘

 
khampan.a
วันที่  18 ส.ค. 2567
หมายเลข  48307
อ่าน  1,213

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๘




~ ได้ยินชื่อ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" กราบไหว้ เหมือนรู้จัก แต่ไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะชื่อว่ารู้จักพระองค์หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่เห็นพระคุณของพระองค์ เพราะคุณของพระองค์ ก็คือ พระปัญญาคุณเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักคุณที่เป็นปัญญาที่เลิศกว่าบุคคลใดทั้งหมด ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่านี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ที่กำลังฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจ มีบารมีอะไรบ้าง? เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา แต่เป็นคุณความดี เพราะว่าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นอกุศลจิตเกิด ยิ่งมืด ยิ่งปิดบัง ไม่ให้เห็นความจริง เพราะฉะนั้น ก็อาศัยกุศลที่จะเกิดที่จะไม่ให้จิตเน่าเป็นเชื้อโรคเป็นโรคมากกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว ค่อยๆ ขัด ค่อยๆ เกลา เพราะปัญญารู้ว่าถ้าไม่มีการฟัง ก็ไม่มีการเข้าใจต่อไปได้

~ การฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ถ้ารู้คุณ เหมือนเรากำลังเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ จากพระโอษฐ์ทั้งนั้น เราก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าทุกคำเป็นสิ่งที่มีจริง ยาก ลึกซึ้ง แต่มีโอกาสได้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์แล้ว เราก็ไม่ทอดทิ้ง ไม่ละเลย เพราะว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ก็คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเกิดเป็นอะไรบ้างที่แล้วมาและต่อไปจะเป็นอะไร อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ถ้ามีปัญญา สามารถค่อยๆ รู้ขึ้น ก็สามารถที่จะนำไปสู่การออกจากสังสารวัฏฏ์

~ ในขณะที่ฟังพระธรรม ทุกคนก็จะรู้ได้ว่าฟังเพื่อละความไม่รู้ ไม่ได้ฟังเพื่อต้องการลาภ ยศ หรือแม้แต่คำสรรเสริญว่าเป็นผู้ศึกษาธรรมหรือเข้าใจธรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะไม่รู้ว่าไม่รู้ จึงฟัง เพื่อจะรู้ เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าเป็นไปเพื่อการละ ก็สามารถประคับประคองความเห็นถูกไปได้

~ ศัตรูจริงๆ อยู่ที่ไหน ไม่ใช่ใครเลย ถ้าคิดว่าอยู่ข้างนอกเป็นคนอื่น นั่นคือคิด และขณะที่คิดเป็นกุศลหรืออกุศลถ้าคิดว่าคนนั้นเป็นศัตรู ศัตรูนั้นน่าสงสารไหมถ้าเขาทำกรรมที่เป็นทุจริต และถ้าเราทำกรรมที่ทุจริต ก็เหมือนกัน เพราะเหตุว่าเป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด อกุศลจิตเกิดเพราะอกุศลเจตสิก เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร ทุกกาล ไม่ว่าเมื่อไหร่ ขณะไหน จะเปลี่ยนโลภะ โทสะ โมหะให้เป็นมิตรไม่ได้

~ มีศัตรูที่อยู่ภายในและป้องกันยาก เพราะเหตุว่าอยู่ในใจ จะป้องกันเมื่อไหร่ เกิดแล้วรวดเร็ว บ่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็ต้องสะสมมิตร คือ กุศลธรรมทั้งหลายเพื่อเป็นปัจจัยให้เกิดมากกว่าอกุศล เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเคยทำอกุศลกรรมมามากน้อยเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์และจะให้ผลเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถจะรู้ได้

~ ทุกอย่างที่เกิดเป็นธรรมซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้จะได้ฟังธรรม รู้ว่ากุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล แล้วทำไมกุศลไม่เกิดแต่อกุศลเกิด ผู้นั้นก็จะเห็นได้ว่า เพราะสะสมอกุศลมาก กุศลจึงเกิดได้น้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ จึงขาดการฟังพระธรรมไม่ได้ เพราะเหตุว่าตราบใดที่ไม่ฟัง ขณะนั้นก็ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ก็ต้องฟังบ่อยๆ จนกระทั่งคุ้นเคยและสามารถเริ่มเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม

~ อกุศลเป็นสิ่งที่ควรห่างไกล เป็นสิ่งที่ควรละเว้น แล้วทำไมกุศลไม่เกิด แล้วทำไมไม่ห่างไกลจากอกุศล คำตอบ ก็คือ เพราะจิตนั้นยังไม่ได้อบรม ไม่มีใครสามารถจะไปบันดาลอะไรได้เลย จากโลกมืดสนิทที่เคยอยู่มานานแล้วพอฟังพระธรรมจะให้ออกจากโลกมืดทันทีมาสู่ความสว่างรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ได้ แม้เพียงจะออกห่างจากอกุศล ยังไม่คิดที่จะออก เพราะไม่ได้อบรมพอที่จะควรแก่การงาน จิตที่ควรแก่การงาน ก็หมายความถึงจิตที่ควรแก่การเป็นกุศลอย่างเร็ว อย่างสะดวก อย่างคล่องแคล่ว อย่างง่ายดาย ไม่ลำบาก แต่จิตที่ไม่ควรแก่การงาน เพราะเหตุว่าเป็นอกุศลมานานแสนนานและแม้ว่าฟังธรรมแล้วจะให้ควรแก่การที่จะเป็นกุศลได้ไหมในเมื่อไม่ได้อบรม?

~ ถ้าศึกษาธรรมจริงๆ ก็คือว่า เข้าใจว่าเป็นธรรมเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม จะมีเรามีเขาหรือไม่? หรือว่าเป็นธรรมทั้งหมด ยกตัวอย่างเห็นก็เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นใครเห็น โลภะเกิดขึ้น ไม่ใช่เราหรือเขาหรือใคร แต่เป็นธรรม ถ้าเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรม ก็จะเป็นผู้ตรง เพราะไม่ถูกปิดบังกั้นไว้ด้วยความเป็นตัวตน

~ กุศลเกิดขึ้นไม่ใช่ของใคร เป็นกุศล อกุศลเกิดขึ้นก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นญาติพี่น้องเพื่อนฝูงหรือใครก็ตาม ธรรมก็ต้องเป็นธรรม

~ คนที่มีอกุศลมาก ก็คงจะต้องเป็นอกุศลเพิ่มขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า วันไหนจะทำอกุศลมากมายได้ เช่น ท่านพระเทวทัต จะมีใครคิด ชาวพุทธทุกคนมองไม่ออก คิดไม่ถึงเลยว่า ใครสามารถที่จะเปรียบตัวเองกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
แต่ผู้ที่สะสมอกุศลมาก็เป็นอย่างนั้นได้ ใครสามารถที่จะทำอกุศลหนักหนาสาหัสได้ ก็คือ ผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่มีความละอาย

~ เห็นกิเลสหรืออกุศลของคนอื่น เห็นยากไหม? ไม่ใช่ของเรา ไม่ยากเลย เห็นทุกวัน คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี แต่ลืมว่าอกุศลเป็นอกุศล ขณะนั้นอกุศลที่เห็นได้ถูกต้องชัดเจนกว่าคืออกุศลอะไร ที่ตัวเองใช่ไหม? เวลาที่เห็นอกุศลของคนอื่น คิด แต่ไม่รู้อกุศลที่เกิดกับบุคคลนั้น แต่เวลาที่อกุศลนั้นเกิดกับตนเอง ย่อมรู้ชัดในสภาพที่เป็นอกุศล

~ การที่เห็นอกุศลของคนอื่นแล้วเป็นอกุศลตามไปด้วย สมควรหรือไม่? โกรธตอบคนที่โกรธ ชวนกันโกรธ ไม่จบ ตอบกันไปตอบกันมา แต่ถ้ารู้ว่าเป็นอกุศล แล้วเป็นอกุศลของเราเอง ขณะนั้นปัญญาสามารถเป็นกุศลได้ เปลี่ยนจากโทสะ เป็นการอภัย เป็นเมตตา

~ พร้อมที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มชีวิตใหม่คือชีวิตที่ไม่ตามใคร เพราะเขาผิดหรือถูกก็ไม่รู้แต่ตามเขาไปแล้ว แต่เราควรที่จะได้รู้ความจริง ถ้านับถือพระพุทธศาสนา ก็ต้องได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะศาสนาคือคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรที่จะรู้จักพระองค์ว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร ดีไหม?

~ เป็นคนดี ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็มีเมตตา และอบรมจิตใจให้มั่นคงในฝ่ายกุศล วันหนึ่งจะเป็นผู้ชนะอกุศลจริงๆ และสบายใจด้วย

~ เมตตาเมื่อเกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนเลย แต่ตรงกันข้ามทำให้เกิดความสบายใจ เพราะไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะเกื้อกูลอย่างจริงใจ

~ ควรพิจารณาเห็นอกุศลตามความเป็นจริงและเห็นโทษ เพียรที่จะละคลายอกุศลทุกประการ และคิดถึงบุคคลอื่นในทางที่เป็นกุศล พร้อมกันนั้น เป็นผู้ที่ทำความดีเสมอและเพิ่มขึ้น เพราะว่า อกุศลมีมากซึ่งทางเดียวที่จะคลายอกุศลได้ คือ ด้วยการเจริญกุศล

~ น่ากลัวมากทีเดียวสำหรับอบายภูมิ เพราะเหตุว่าใกล้ ไม่ไกล ถ้ารู้สึกว่าไกล ก็ไม่ค่อยกลัว แต่ถ้าคิดว่าใกล้ อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ก็อาจจะเห็นโทษของอกุศลแล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๗




... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 18 ส.ค. 2567

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 18 ส.ค. 2567

เป็นคนดี ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็มีเมตตา และอบรมจิตใจให้มั่นคงในฝ่ายกุศล วันหนึ่งจะเป็นผู้ชนะอกุศลจริงๆ และสบายใจด้วย

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 18 ส.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 18 ส.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
shsso2551
วันที่ 18 ส.ค. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ส.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
mon-pat
วันที่ 19 ส.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Wisaka
วันที่ 26 ส.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ