พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง

 
nattawan
วันที่  21 ส.ค. 2567
หมายเลข  48320
อ่าน  125

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงแต่ละคำต้องคิด ความจริงอยู่ที่ไหน? ความจริงอะไรที่พระองค์ทรงตรัสรู้? ถ้าบอกว่าเดี๋ยวนี้ ทุกคนจะคิดไว้ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!! แค่นี้ก็แสนยากสำหรับที่จะเห็นพระปัญญาคุณว่าไม่เหมือนใคร ทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ เช่นเดี๋ยวนี้อะไรจริง ... ทุกอย่างที่กำลังปรากฏว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครไปสร้าง ไม่มีใครไปทำ แต่กำลังมี และพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี

การฟังพระธรรมสูงสุดคือฟังด้วยการรู้สึกตัวว่า พระพุทธเจ้าเป็นใคร ... แล้วเราเป็นใคร!!! เพราะฉะนั้นจะคิดว่าที่ทรงแสดงแต่ละคำง่ายๆ ให้คนที่เพียงอ่านหรือว่าได้ยินเข้าใจได้ ... ก็ไม่ถูกต้อง ถ้าคิดถึงความห่างกันแสนไกลระหว่างพระองค์กับเรา ซึ่งจะต้องรู้จักพระองค์ทีละเล็กทีละน้อยด้วยการฟังพระธรรม

ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย พระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้า ต้องเป็นพระปัญญาคุณ ซึ่งทำให้พระองค์บริสุทธิ์หมดจดไม่มีกิเลสเลย ... ยากไหม ... ไม่มีเลย ... แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเรามีกิเลสกันมากน้อยแค่ไหนทุกวัน แต่พระองค์ดับกิเลส ... ไม่มีเลยซักนิดเดียว เพราะฉะนั้นพระปัญญาที่สามารถจะทำสิ่งซึ่งยากแสนยาก คือสิ่งที่มีในขณะนี้ ... ไม่รู้ แล้วค่อยๆ รู้ เพราะว่าความไม่รู้ทำให้เกิดความติดข้องและอกุศลทั้งหลายมากมาย

ต้องเริ่มต้นจากการรู้จักพระสัมมาพระพุทธเจ้า จะรู้จักโดยวิธีอื่นไม่มีทางเลย จะไปรู้จักพระองค์ได้ยังไง ที่ประสูติตรงนั้นก็จริงแต่ไม่มีพระองค์แล้ว ที่ตรัสรู้ตรงนั้นจริงแต่ก็ไม่มีพระองค์ตรงนั้น ที่ปรินิพพานก็จริงแต่ว่าไม่มีพระองค์แล้ว ... แล้วอยู่ตรงไหน??? พระปัญญาคุณยังอยู่ ทรงแสดงพระธรรม 45 พรรษา นานนะคะ 45 พรรษา นานเพราะว่าเช้าก็แสดง บ่ายก็แสดง เย็นก็แสดง ตอนกลางคืน ตอนดึกเทวดามาเฝ้าก็ยังแสดงด้วย

พระธรรมที่ทรงแสดงยังเหลืออยู่ ที่ทรงประมวลไว้ทำให้คนอื่นได้รู้จักพระองค์น่ะมีต่อเมื่อเข้าใจ!!! แต่ถ้าไม่เข้าใจแต่ละคำที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ... ไม่มีทาง!!! แล้วก็รู้ว่าคนโน้นก็รู้อย่างนี้ คนนี้ก็รู้อย่างนั้น ... แต่รู้อย่างนี้อย่างนั้นไม่ใช่พระปัญญาของพระองค์ ซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก สี่อสงไขยแสนกัปป์ กัปป์นึงก็ไม่ต้องนับ ทรงอุปมาว่า เกวียนซึ่งบรรทุกเมล็ดงาเต็ม แล้วก็ 100 ปีก็ร่วงตกไปเมล็ดนึง จนกว่าเกวียนนั้นจะไม่มีงา ... นั่นคือกัปป์นึง แล้วสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพราะฉะนั้นพอเริ่มฟังเริ่มเห็นว่ายากจริงๆ แต่ละคำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 21 ส.ค. 2567

การศึกษาธรรมะโดยเคารพ โดยไม่ประมาทก็คือว่า ทุกคำ ... ไม่ผ่านได้ยินคำไหนอย่าคิดว่าเราเข้าใจแล้วแม้แต่คำว่าปัญญาหรือพุทธะหรือความรู้ ต้องชัดเจนว่า ถ้ายังไม่มีคำตอบก็ไม่ใช่การที่รู้จักพระพุทธเจ้าว่ารู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง ... ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย สิ่งที่มีแล้วเมื่อวานนี้หมดแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทางตาจะเห็นอะไรทางหูจะได้ยินอะไร แต่ว่าเดี๋ยวนี้เองก็มีสิ่งซึ่งสามารถเข้าใจได้เพราะกำลังมี!!! สิ่งที่หมดไปแล้วผ่านไปแล้ว ไม่มีทางจะรู้ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ลักษณะนั้นจะเป็นอะไรไม่รู้ แล้วจะไปเข้าใจได้ยังไง ต้องเดี๋ยวนี้!!!

เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมที่จะรู้ว่าเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงก็คือ รู้ว่าคำนั้นทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ... ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้นแม้แต่จะคิดว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรจริงๆ แล้วพระองค์ตรัสเรื่องสิ่งที่มีจริงอย่างไร? ได้ยินคำว่าธรรมะบ่อยๆ แล้วอยู่ไหน? แล้วก็คืออะไร? ถ้าไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร ก็หาไม่เจอใช่ไหม??

ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ดำรงคำสอนไว้ ... เราใช้ภาษาบาลีแต่เราไม่ได้ศึกษา ... เราคิดว่าเราเข้าใจคำนั้น แต่ความจริงถ้าคิดถึงพระปัญญาคุณ ต้องแสดงสิ่งซึ่งลึกซึ้ง ยากแต่ว่าสามารถเข้าใจได้โดยการค่อยๆ ฟังและพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องถามใครเลย ... เข้าใจคำที่ได้ยินหรือเปล่า? เพราะธรรมะหมายถึงสิ่งที่มีจริง ความหมายต้องตรงกันเพียงแต่ว่าใช้คนละภาษา เช่นธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจะรู้ได้ยังไง นี่ก็ยืนยันแล้วว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง!!!

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 21 ส.ค. 2567

ขณะนี้อะไรมีจริง เห็นมีจริงๆ ไม่ต้องถามใครด้วยใช่ใหม? ทุกคนก็รู้ถ้าพูดถึงเห็นก็กำลังเห็นและเห็นก็มีจริงๆ ... เห็นนั่นแหละเป็นธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็นจนถึงที่สุดว่า เห็นขณะนี้ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะมีเห็นไหม? ฟังธรรมะต้องเริ่มตั้งแต่คำแรกแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าไม่เกิดเห็น ... เห็นไม่มี ถ้าไม่เกิดได้ยิน ... ได้ยินก็ไม่มี ถ้าไม่เกิดคิด ... คิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้ายังไม่เกิด ... ไม่มี ... ยังไงๆ ก็ไม่มี!!! เสียง ... ถ้าไม่มีเสียงเกิดขึ้นจะมีเสียงได้ยังไง แต่เสียงเกิดจึงมีเสียง ... แล้วได้ยินเกิดจึงมีได้ยิน

ทุกอย่างขณะนี้ที่มีเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเพราะเกิดขึ้นจึงมี ... เป็นธรรมะ เป็นของใครหรือเปล่า ... หรือว่าเป็นธรรมะ ... เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว ไม่มีใครรู้เลยว่าชั่วคราวเพราะว่าขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่เห็น จะเป็นขณะเดียวกันพร้อมกันไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้นธรรมะแต่ละหนึ่งที่มีในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิด ทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียดยิ่ง แล้วก็รู้ด้วยว่าสิ่งนั้นนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควรที่จะให้จิตเห็นเกิด ... เห็นไม่มี เพราะฉะนั้นต้องมีตา คนตาบอดไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเราหรือว่าเป็นของเราหรือเปล่า หรือว่าเห็นเป็นสิ่งที่มีจริง กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ... แต่ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน

เพราะฉะนั้นความละเอียดของธรรมะคือ กล่าวถึงทุกสิ่งที่มีจริงในชีวิตตามความเป็นจริง ให้ค่อยๆ รู้จักว่าสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วหมดไป จะใช้คำว่าดับก็ได้ ดับแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลยเพราะฉะนั้นสภาพธรรมะเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วดับทันทีไม่กลับมาอีกเลย มิฉะนั้นจะไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ารู้เหมือนคนอื่นรู้ แต่นี่รู้ความจริงถึงที่สุด ที่จะทำให้แต่ละคนไม่ต้องรีบไปหมดกิเลส หมดไม่ได้ ... เพียงเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงก่อนว่า ... ความจริงพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างนี้ ชาวพุทธก็คือผู้ที่เคารพในพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงให้เราซึ่งเกิดมาแล้วไม่เคยรู้เลย อาจจะมีคนที่ตายไปโดยที่ไม่เคยฟัง ไม่เคยรู้จักธรรมะ แต่ว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่และมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังก็เริ่มที่ว่า เกิดมาแล้วได้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทุกอย่างที่มีเกิดแล้วดับ ไตรลักษณะที่มีจริงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 21 ส.ค. 2567

สิ่งที่เกิดแล้วดับอนิจจังไม่เที่ยง จะหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงไม่ได้เลย แม้แต่เมล็ดของต้นไม้ยังไม่มีกิ่งก้านเลย แต่ก็มีน้ำมีดินที่จะทำให้มีการงอกขึ้นและในที่สุดต้นไม้ก็ตายไป อนิจจังทุกขณะ แต่เราคิดว่าตอนเกิด เกิดมาแล้วยังคงอยู่ อนิจจังตอนดับไป ... นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ... ถ้าใครสอนอย่างนี้

แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ละเอียดยิ่งกว่านี้ถึงความเป็นจริงซึ่งพิสูจน์ได้จากการเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจและเริ่มรู้ว่าสิ่งนี้แน่นอนต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่รู้เพียงขั้นฟัง แต่ต้องฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นสาวกชาวพุทธครั้งนั้นฟังพระธรรมแล้วก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยจึงประกอบด้วยพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะและพระสังฆรัตนะ

ถ้าทรงตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวไม่มีประโยชน์กับชาวโลก แต่ชาวโลกนี่คือจักรวาลหมื่นแสนจักรวาล จะไม่มีพระพุทธเจ้าพร้อมกันสองพระองค์เลย เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์เป็นประโยชน์กับสิ่งที่มีชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม แม้เทวดาก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพรหมที่บางคนก็ไปกราบไหว้ก็ไม่รู้จัก แต่ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อฟังธรรมะแล้วเริ่มเข้าใจทีละคำ จากคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สิ่งที่ไม่เที่ยงจะมีประโยชน์ไหม? เพียงแค่เกิดปรากฏว่ามีแล้วหมดไปเลยแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าติดข้องหรือเปล่า? ไม่ควรยินดีไม่เป็นสิ่งที่ควรติดข้อง ติดข้องก็สูญเปล่า ... ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี หมดแล้วและไม่กลับมาอีก

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ ก็แสดงความจริงจนกระทั่งผู้ที่เคยติดข้อง ... เคยไม่รู้ก็พ้นจากความติดข้อง ซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์ ถ้าเราไม่มีความติดข้อง สิ่งนั้นหายไป สูญไป ไม่ได้เกิดเดือดร้อนเลย เมื่อติดข้องในสิ่งใด สิ่งนั้นแหล่ะนำความทุกข์มาให้!!!

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ส.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ