ละชั่วได้อย่างไร?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความลึกซึ้งของพระธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการละชั่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ละได้แสนยาก เพราะว่าความชั่วเกิดจากความไม่รู้ ซึ่งลึกและเหนียวแน่นมาก เพราะฉะนั้นอะไรเป็นสิ่งที่สามารถละชั่วได้และละอย่างไร??
เชิญชม
ขอเชิญรับชมเทปบันทึกรายการบ้านธัมมะ
(ปี ๒๕๕๗)
🔵FB : www.facebook.com/share/v/7w7oS2y6ZA6usF1t
🔴YT : www.youtube.com/watch?v=htjSfIe_HQ8
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
พระธรรมลึกซึ้งและเป็นสิ่งที่มีปรากฏตลอดเวลา แต่ไม่รู้จักพระธรรมเพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจจริงๆ จะไม่ลืมเช่นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริงพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้อย่างไร? แต่การที่เราไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ อะไรก็ตามที่มีจริงภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรมะ"
แต่เราไม่สามารถที่จะเห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น จึงต้องอาศัยการฟังเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเห็นว่าสิ่งที่ไม่ปรากฏขณะนี้ไม่มีที่จะให้ความจริงได้ ผ่านไปแล้ว ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และก็สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยว่าขณะต่อไปเป็นอะไร แต่ก็มีเหตุปัจจัยที่จะต้องเกิดขึ้น แต่ว่าเกิดแล้วดับไป ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้รู้ความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตายมีอะไรบ้างที่เกิดขึ้น
เราอาจจะไม่รู้เลยว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ดีแค่ไหน และความดีและไม่ดีละเอียดอย่างไร เช่นข้อความของโอวาทปาติโมกข์ "ไม่ทำชั่ว" แต่บอกแล้วใช่มั้ยคะว่าไม่ใช่สัตว์บุคคล และความชั่วคืออะไร? มีความละเอียดยิ่ง ไม่ใช่เพียงแต่ทุจริตทางกาย วาจาหรือทางใจที่เป็นอกุศลกรรมบท แต่อะไรที่ไม่ดีแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นความชั่ว ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เล็กน้อยซักเท่าไหร่ก็ตาม เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้วจะเปลี่ยนได้ยังไง นี่คือปรมัตถธรรมหรือวาจาสัจจะ ซึ่งสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพียงแต่ว่าสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจนกว่าจะรู้ความจริงนั้น ซึ่งไม่มีทางอื่นเลย
เพราะถ้าใช้คำว่าปัญญา มีปัญญาไหนบ้างที่ไม่มีความเข้าใจ ไม่เข้าใจแล้วจะเป็นปัญญาได้ไหม? แต่ความเข้าใจก็มีเข้าใจละเอียดขึ้น ... ละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจก็มีหลายระดับ ใช้คำว่าปัญญาบ้าง ญานบ้างสัมมาทิฏฐิบ้าง ทั้งหมดก็คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงแต่ว่าใครจะเห็นประโยชน์ ใครจะเห็นค่าของความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่ดี ซึ่งไม่เคยรู้เลย แล้วก็จะปล่อยให้ไม่รู้ ... ไม่รู้ไปทุกชาติ ชาติหน้าต่อไปก็ยิ่งไม่รู้เพิ่มขึ้น
แต่ประโยชน์ของการเกิดมาและมีโอกาสได้ฟังได้พิจารณาความจริง ก็ทำให้สามารถเป็นบุคคลที่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรอะไรไม่ควร ซึ่งทั้งหมดไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่อยู่ที่ความสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
ด้วยเหตุนี้การฟังแต่ละคำ แต่ละครั้งก็คือว่า ขอให้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่าหมายความถึงอะไร มีจริงๆ หรือไม่ ... คำที่ได้ยินเป็นวาจาสัจจะที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนไหม? แม้ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ได้โดยง่ายเลย!!!
ความไม่รู้ไม่สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งในสภาพธรรมะที่เป็นจริงต้องมีการเข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งคลายความติดข้องที่ยึดถือสภาพธรรมะขณะนี้ ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าติดแค่ไหน แต่เกิดมาก็เราทั้งนั้น ลืมตาขึ้นมาก็เรา โกรธก็เราชอบก็เรา สนุกก็เรา เป็นเราทั้งหมด ... แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีชั่วคราวแล้วก็หายไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นความจริงนี่เพียงเล็กน้อย เพียงเริ่มต้นความลึกซึ้งของสิ่งที่มีในขณะนี้มากกว่านั้นอีก จึงต้องทรงแสดงพระธรรมถึง 45 พรรษา ... แล้วเราจะไม่สนใจในแต่ละคำที่กล่าวถึงสภาพธรรมะโดยนัยต่างๆ เพราะรู้ว่าสัตว์โลกสะสมความไม่รู้มานานมาก แต่การได้ยินได้ฟังเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้สิ่งที่สะสมมาหมดไปได้ไหม? ให้อวิชชาหมดไป ให้ความไม่รู้หมดไป ให้ความโกรธหมดไป ให้ความติดข้องหมดไป เพียงชั่วฟังนิดๆ หน่อยๆ ... เป็นไปไม่ได้เลย!!!
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่าสภาพของจิตใจที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาส่วนใหญ่เกิดร่วมกับความไม่รู้ โลภะความติดข้องเพราะไม่รู้ โทสะเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ ... ทุกสิ่งทุกอย่างเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็เป็นปัจจัยที่จะให้มีการเกิดดับไม่รู้จบ แต่ว่าการจะรู้ขึ้นทำให้ค่อยๆ รู้ว่าชีวิตที่มีอยู่ต้องจาก ต้องหมดไปวันไหนยังไม่รู้ และไม่สามารถนำอะไรไปได้ซักอย่าง แม้แต่ร่างกายเป็นที่รักยิ่งตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ทะนุบำรุงทุกวัน ทานอาหารที่มีประโยชน์ บางคนถ้าไม่มีประโยชน์ไม่ทานเพราะอะไร ... เพื่ออะไร? เพื่อร่างกายนี้ และสิ่งซึ่งจะทำให้เป็นไปตามความติดข้องในสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นตัวเรามากมายมหาศาล ซึ่งยากแสนยากที่จะรู้ว่า ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ... เป็นเราจริงๆ หรือเปล่า!!!
หลายท่านอาจจะศึกษาพระธรรมมานานแล้ว ส่วนหลายท่านอาจจะเพิ่งเริ่มศึกษาพระธรรม แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือต้องเริ่มต้นกลับมาที่ธรรมะ ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ปราศจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สามารถยึดถือว่าเป็นเราได้เลย
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการละชั่วในระดับขั้นใดในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องของความเป็นตัวตนที่จะทำ แต่ต้องเป็นเรื่องของปัญญาที่จะมีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกและน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมไปตามลำดับจนกว่าจะสามารถละคลายขัดเกลาและดับความชั่วได้เป็นสมุทเฉทเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์
คำศัพท์ธรรมะ
อัตตานุทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นตัวตนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด