เดินเหม่อแล้วเหยียบสัตว์เล็กตาย เป็นปาณาติบาตรึปล่าวครับ?
๑. ถ้าเดินคิดอะไรเพลินๆ ด้วยโลภมูลจิตแล้วเหยียบหอยทากตาย เป็นปาณาติบาต หรือเปล่าครับ?
๒. แล้วถ้าคิดด้วยโมหมูลจิต แล้วเหยียบจะเป็นปาณาฯ หรือเปล่าครับ?
เพราะตอนผมบวช เคยเดินขึ้นเขาแล้วไม่ทันระวัง เหยียบหอยทากตายไปหลายตัว (บวชอยู่หนึ่งเดือน) มานั่งคิดดูแล้ว แม้จะไม่ได้ตั้งใจฆ่า แต่หากมีสติ ไม่เป็นโลภะหรือโมหะอยู่ในขณะเดินนั้น ก็อาจจะลดการพรากชีวิตลงไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เป็นพระอยู่ด้วย น่าจะสำรวมกว่านี้
ตอนนี้สึกออกมาสักพักแล้ว สติกับความสำรวมระวังก็ยิ่งเกิดน้อย จึงเหยียบตายไปอีกเยอะด้วยโลภะและโมหะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สำคัญว่า ขณะนั้นมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ถ้าไม่มีเจตาฆ่าก็ไม่เป็นปาณาติบาต ดังข้อความในพระไตรปิฎก
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...
พวกอันเตวาสิก ยังไม่ทันกวาดที่จงกรมของพระเถระแต่เช้า. ฝ่ายพวกภิกษุนอกนี้ มาด้วยหวังว่า "จักดูที่อยู่ของพระเถระ" เห็นสัตว์ทั้งหลายในที่จงกรมแล้ว ถามว่า "ใครจงกรมในที่นี้" พวกอันเตวาสิกของพระเถระตอบว่า "อุปัชฌาย์ของพวกกระผมขอรับ" เธอทั้งหลายติเตียนว่า "ท่านทั้งหลาย ดูกรรมของสมณะเถิด ในกาลมีจักษุ ท่านนอนหลับเสีย ไม่ทำอะไร ในกาลมีจักษุวิกล เดี๋ยวนี้ไว้ตัวว่า 'จงกรม' ทำสัตว์มีประมาณถึงเท่านี้ให้ตายแล้ว ท่านคิดว่า 'จักทำประโยชน์' กลับทำการหาประโยชน์มิได้"
พวกเธอไปกราบทูลพระตถาคตแล้วในขณะนั้นว่า "พระเจ้าข้า พระจักขุปาลเถระ ไว้ตัวว่า 'จงกรม' ทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้ว"
พระศาสดาตรัสถามว่า "ท่านทั้งหลายเห็นเธอกำลังทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้วหรือ"
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า "ไม่ได้เห็น พระเจ้าข้า"
ศ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นเธอ (ทำดังนั้น) ฉันใดแล ถึงเธอก็ไม่เห็นสัตว์มีชีวิตเหล่านั้น ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเจตนาเป็นเหตุให้ตาย ของพระขีณาสพทั้งหลาย (คือบุคคลผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว) มิได้มี
[เล่มที่ 16] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 399
ข้อความบางตอนจาก
สังคีติสูตร
บทว่า มูลโต ความว่า ปาณาติบาต มีมูล ๒ คือ โทสะและโมหะ. อทินนาทานก็มีมูล ๒ เหมือนกัน คือ โทสะและโมหะบ้าง โลภะและโมหะบ้าง. มิจฉาจาร มีมูล ๒ คือ โลภะและโมหะ. มุสาวาท ก็มีมูล ๒ คือ โทสะและโมหะบ้าง โลภะและโมหะบ้าง. ปิสุณวาจาและสัมผัปปลาปะ ก็อย่างนั้น. ผรุสวาจามีมูล ๒ คือ โทสะและโมหะ. อภิชฌา มีมูลเดียว คือ โมหะ. พยาบาทก็อย่างนั้น. มิจฉาทิฏฐิ มีมูล ๒ คือ โลภะและโมหะ ดังนี้แล.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์