รู้การเกิดดับของสภาพธัมมะ ไม่ใช่ด้วยการคิดนึก
รู้การเกิดดับของสภาพธัมมะได้ ไม่ใช่ด้วยการคิดนึกแต่เป็นปัญญาระดับสูงคือระดับวิปัสสนาญาน แต่ที่สำคัญ ปัญญาเริ่มต้น คือต้องรู้ว่าเป็นธรรมก่อน จนรู้ว่าอะไรเป็นนามธรรม หรือ รูปธรรม ถ้ายังไม่รู้ ก็ไม่เข้าใจหรือถึงการเกิดดับ เพราะการเกิดดับก็คือ นามธรรมและรูปธรรมที่เกิดดับ แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นนามธรรมและรูปธรรม ก็ไม่เข้าใจการเกิดดับไม่ได้เลย ดังนั้น เบื้องต้นต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจก่อนว่า ธรรมคืออะไร และที่สำคัญ การเจริญวิปัสสนา ไม่เลือกเวลา ว่าตอนนี้จะเจริญ ไม่เลือกท่า อิริยาบถ และไม่มีการทำวิปัสสนาขึ้นมา ตราบใดที่ยังไม่ฟังให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไร ก็อบรมวิปัสสนาไม่ได้
หนทางเดียวคือฟังให้เข้ัาใจ จนกว่าสัญญาความจำที่มั่นคงว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะค่ะ
จิตเป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้ สภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เป็นประธานในการรู้อารมณ์ไม่เว้นแม้ในขณะหลับ จิตต้องเกิดร่วมกับเจตสิก เจตสิกต้องเกิดร่วมกับจิต จิตและเจตสิกเกิดและดับพร้อมกัน มีอารมณ์เดียวกัน และเกิดดับที่เดียวกัน เจตสิกธรรมเข้าประกอบปรุงแต่งจิต แล้วทำให้จิต มีลักษณะแตกต่างกันไป จิตจึงจำแนกเป็น 4 ชาติคือ วิบากจิต1 กุศลจิต1, อกุศลจิต1 และกิริยาจิต1 หรือจำแนกเป็น 4 ประเภท คือ กา-มาวจรจิต,รูปาวจรจิต,อรูปาวจรจิต,โลกุตตรจิต
รูปเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง จะมีรูปเกิดขึ้นเพียงรูปเดียวไม่ได้ ต้องมีรูปที่เกิดพร้อมกันและอาศัยกันเกิดหลายรูปรวมกัน รูปทั้งหมดมี 28 รูปกับนามนั้นไม่ปะปนกัน แต่จิตกับเจตสิกปะปนกันแยกกันไม่ได้ ทั้งจิต เจตสิกรูป ต่างอาศัยกันเป็นเหตุปัจจัยกัน ดังที่พระองค์ตรัสว่า สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
เมื่อรูปธรรมกับอรูปธรรมเกิดพร้อมกัน รูปย่อมเกิดพร้อมกับอรูป แต่ไม่เกี่ยวข้องกันไม่สัมปยุตกัน อรูปก็เหมือนกันเกิดพร้อมกับรูปแต่ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่สัมปยุตกัน และรูปเกิดพร้อมกับรูปก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่สัมปยุตกัน. ส่วนอรูปโดยแน่นอนที่เดียวเกิดพร้อมกันเกี่ยวข้องกัน สัมปยุตกันกับอรูปทีเดียว