ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๘๐] ปฏิพนฺธุ

 
Sudhipong.U
วันที่  5 ก.ย. 2567
หมายเลข  48417
อ่าน  124

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ปฏิพนฺธุ”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

ปฏิพนฺธุ อ่านตามภาษาบาลีว่า ปะ - ติ - พัน - ทุ เขียนเป็นไทยได้ว่า ปฏิพันธุ แปลว่า ความผูกพัน เป็นอีกคำหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นจริงของตัณหาหรือโลภะซึ่งเป็นความอยาก ความติดข้องต้องการ ผูกพันกับสิ่งที่เป็นอารมณ์ที่เป็นที่ติดข้องยินดีพอใจ

ข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ แสดงความเป็นจริงของตัณหาที่ชื่อว่า ชัปปา ไว้ดังนี้

“ตัณหาที่ชื่อว่า ปฏิพนฺธุ (ความผูกพัน) เพราะอรรถว่า ย่อมผูกไว้เฉพาะแต่ละอารมณ์”


ปกติในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลย่อมเกิดมากกว่ากุศล จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงก็เป็นอย่างนี้ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่ามีอกุศลเกิดมากกว่ากุศล อาจจะสำคัญผิดด้วยซ้ำไปว่ามีกุศลมาก พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะทำให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

อกุศล เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เป็นอย่างนี้มาแล้วนับชาติไม่ถ้วนในสังสารวัฏฏ์ โดยเฉพาะตัณหาหรือโลภะ ซึ่งมีชื่อเรียกมากมาย เช่น นันทิ (ความเพลิดเพลิน) ราคะ (ความกำหนัด) อิจฉา (ความปรารถนา ความอยาก) อภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้) วานะ (เครื่องร้อยรัด) รุจิ (ความยินดี) อาลยะ (ความอาลัย) วิสัตติกา (สภาพที่ซ่านไปในอารมณ์) ชัปปา (สภาพที่กระซิบ) รวมถึงคำว่า ปฏิพันธุ (ความผูกพัน) ด้วย แต่ทั้งหมดหมายถึงสภาพธรรมอย่างเดียวกัน เป็นสภาพที่ติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย รวมถึงความติดข้องยินดีพอใจในนามธรรมและรูปธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนด้วย ตัณหาหรือโลภะย่อมสะสมมากขึ้นทุกครั้งที่โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุมีปัจจัย ตัณหาก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และถ้าสะสมมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนได้ เช่น ฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ ประพฤติผิดในกามก็ได้ เป็นต้น เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ตามกำลังของตัณหาหรือโลภะ ในขณะที่กระทำอกุศลกรรม ตนเองย่อมเดือดร้อน เพราะขณะนั้นได้สะสมอกุศล สร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง และเมื่ออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วถึงคราวให้ผล ก็ทำให้ตนเองประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ อันเป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย เมื่อตัณหาเกิดขึ้น ก็ผูกพันเฉพาะแต่อารมณ์ที่เป็นที่ติดข้องยินดีพอใจ ไม่สละ ไม่ปล่อยสิ่งนั้น และตัณหา ก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นกุศลด้วย เพราะในขณะที่ตัณหาเกิดขึ้น ย่อมเป็นอกุศล ในขณะที่อกุศลเกิดขึ้นนั้น กุศลหรือคุณความดีใดๆ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เลย นี้คือความเป็นจริงของธรรม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงลักษณะของธรรมโดยละเอียด แม้แต่ตัณหา ถ้าไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จะไม่ทราบเลยว่าวันหนึ่งๆ มากไปด้วยตัณหาเพียงใด ซึ่งปรากฏในอาการต่างๆ มากมาย เรื่องของตัณหา เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก บางคนทางกาย ทางวาจา อาจจะไม่มีอาการของความละโมบโลภมาก ความอยาก ความต้องการ ความหวังให้ปรากฏ แต่ทางใจมี แม้แต่ความคิดที่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเพราะมีความต้องการเป็นปัจจัย บางคนอาจจะมีการกระทำทางกาย หรือคำพูดทางวาจา ซึ่งอาจจะดูน่าเลื่อมใส แต่ว่าใจจริงของบุคคลนั้น ใครจะรู้ว่า มีความหวัง มีความละโมบโลภมาก มีความปรารถนา มีความต้องการอะไรหรือเปล่า ? ทั้งหมด คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ที่สำคัญ ต้องเห็นตัณหาหรือโลภะ ตรงตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมที่ควรจะขัดเกลาละคลายให้เบาบาง แต่การที่จะขัดเกลาละคลายตัณหาให้เบาบาง เป็นสิ่งที่ละเอียด และยากมาก ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ เพราะลักษณะของตัณหานั้น เป็นอกุศล หนัก เดือดร้อน ดิ้นรน กระสับกระส่าย ไม่สงบ ไม่ว่าตัณหาจะเกิดขึ้นในขณะใด ก็ทำให้กระสับกระส่าย หวั่นไหว เดือดร้อนตามกำลังของตัณหา แสวงหาในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเป็นความไม่สงบจริงๆ นี้คือ ความเป็นจริงของตัณหา ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

ตัณหาหรือโลภะ เป็นอกุศล เป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์โดยส่วนเดียวเท่านั้น แต่สภาพธรรมที่เป็นกุศลแล้ว จะตรงกันข้ามกันเลยกับตัณหา อย่างเช่น เมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อนหวังดีมุ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม จะไม่เป็นเหตุแห่งทุกข์เลยแม้แต่น้อย เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ควรสะสมอบรมเจริญในชีวิตประจำวันต้องเป็นกุศลคุณความดีเท่านั้น ไม่ใช่อกุศล

ข้อที่น่าพิจารณาอีกอย่างหนึ่งคือ ตัณหา ความอยากความต้องการ ความติดข้องยินดีพอใจ เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ คือ บุคคลผู้มีตัณหา แต่สะสมศรัทธามาที่เป็นผู้เห็นประโยชน์ ของพระธรรม มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเอง จนกระทั่งสามารถดับตัณหาได้ นี้คือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ กว่าจะถึงความน่าอัศจรรย์ดังกล่าวนี้ได้ ก็ต้องได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะพระธรรมทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อละโดยตลอด กล่าวคือ เพื่อละความติดข้องยินดีพอใจจนหมดสิ้น ไม่ต้องมีการเกิดอีกในภพใหม่ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อีก ถึงความเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง

หนทางนี้ คือหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เป็นไปเพื่อละกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างแท้จริง และเป็นหนทางที่จะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ปลูกฝังความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรม ทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย ทุกครั้งที่มีโอกาสฟังพระธรรม ย่อมจะทำให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกค่อยๆ เจริญขึ้น สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปจนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ก.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ