จิต (ใจ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตหรือใจซึ่งทุกท่านรู้ว่ามีจิตใจ แต่ไม่เคยรู้เลยถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมว่าจิตคืออะไร ใจคืออะไรและอยู่ที่ไหน มีความลึกซึ้งอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ต้องสนทนาและศึกษาอย่างละเอียดลึกซึ้ง
เชิญชม
เทปบันทึก (๑๕๐๑๒๕๕๗) รายการบัานธัมมะ - วันเสาร์ที่ ๗ ก.ย. ๖๗
🔴 YouTube : www.youtube.com/live/ZPc41M51xSc?si=gItJ7rODnwUV0SQK
🔵 Facebook : www.facebook.com/share/v/p5nbwALvJspEupc9/?mibextid=QwDbR1
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดีความสุขย่อมไปตามเขาเพราะเหตุนั้นๆ เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น (คาถาธรรมบท)
คนที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย พูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่รู้ซักอย่างเดียวว่าใจก็คือธาตุรู้ จะใช้คำว่าจิตในภาษาบาลีหรือภาษาใดก็ตามแต่ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีชีวิตเพราะจิต ... แต่ถ้าไม่มีชีวิตจะไม่มีจิตเลย
จิตเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ เพียงแค่มีใครสักคนตายรู้ได้เลยใช่ไหมว่าบุคคลนั้นไม่มีจิตหรือใจ ทุกคนมีจิตแน่นอนจิตอยู่ไหน? ขณะนี้มีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นจะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไหม? ... ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรก็ได้ไม่เรียกก็ได้ ไม่ต้องไปห่วงชื่อ แต่มีธาตุชนิดหนึ่งมีจริงๆ จะใช้คำว่าธาตุหรือว่าจะไม่ใช้คำใดๆ เลยทั้งสิ้น หรือจะใช้คำว่าธรรมะก็หมายความถึง ขณะนี้มีธาตุรู้หรือความรู้ สิ่งที่รู้สามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งอะไรที่กำลังปรากฏให้เห็น
ก็น่าแปลกเพียงแค่เห็นคำเดียวก็ไม่รู้จัก!!! พูดถึงเห็นกันตลอด แต่ก็ไม่รู้จักเห็น และขณะนี้ก็กำลังเห็น จนกว่าจะรู้ว่า ถ้าจะรู้จักเห็นก็คือในขณะที่กำลังเห็น!!!
เห็นมีจริงแน่นอน แล้วก็ไม่รู้ความจริงของเห็นด้วย แต่ถ้าสามารถจะรู้ได้เข้าใจได้ ... ควรรู้ไหม!!! และก็มีหนทางจริงๆ แต่ต้องเป็นความอดทนและเป็นความจริงใจที่จะรู้ว่า ความรู้และความไม่รู้ต่างกัน เห็นเมื่อไหร่ไม่รู้ก็อย่างนึง แต่พอมีผู้ที่สามารถที่จะทรงแสดงให้เข้าใจได้ว่าเห็นมีจริงๆ เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจความจริง ขณะนี้เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นเพราะเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เพราะเหตุว่ามีอย่างอื่นเสียงก็มี ... คิดก็มี
ตั้งแต่เกิดมาไม่ใช่ผู้ที่มีความละเอียดที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงที่เรียกว่าเป็นเราเกิดแล้วก็ตายตลอดชีวิตมีอะไรบ้าง ... นับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยรู้ซักอย่าง ไม่รู้ว่าแต่ละหนึ่งอย่างเพียงปรากฏแล้วก็หมดไปๆ สืบต่ออย่างรวดเร็ว แล้วก็พูดแต่เรื่องราวต่างๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดนั้นคืออะไร???
ความรู้และความไม่รู้กับจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้จะเป็นธรรมะอย่างไร? เห็นดอกกุหลาบแล้วชอบ ... ชอบกับเห็นเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า? เห็นเพียงเห็นไม่ได้ชอบ แต่บางครั้งพอเห็นแล้วชอบเป็นอย่างนึง ไม่ชอบเป็นอีกอย่างนึง เพราะฉะนั้นชอบไม่ชอบไม่ใช่เห็น ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่มีการเห็นเลยจะติดข้องพอใจในสิ่งที่เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นใหญ่เป็นประธานในขณะที่กำลังรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้!!! เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้ว เพราะฉะนั้นธาตุที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นใหญ่เฉพาะในการรู้ว่าสิ่งนี้ปรากฏเพราะมีธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏได้ว่ามี เพราะว่าขณะนั้นมีธาตุ ธรรมะหรือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นทำกิจนั้นคือเห็นแล้วก็ดับไป
"เห็นขณะหนึ่งกับความพอใจชอบใจเป็นอีกขณะหนึ่ง" แต่แม้เคยได้ยินได้ฟังก็ยากที่จะรู้ว่าจิตขณะนั้นเป็นอย่างไร? แล้วใครบอกให้รู้อย่างนี้ ... คิดเองได้ไหม? ใครหนอที่บอกให้เข้าใจขึ้นว่า ขณะนี้มีเห็นเกิดขึ้นเห็นและก็มีชอบ แต่ชอบไม่ใช่เห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ชอบ ... นี่คือความละเอียดของทุกอย่างที่ปรากฏเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามเหตุการณ์ใหญ่ๆ แต่ลืมว่าก่อนที่จะมีอะไรที่รวมกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็จะต้องมีสภาพที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งซึ่งปรากฏ!!!
ธรรมะเป็นเรื่องที่มีจริง สนทนากันเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องอื่นไป แต่ว่าถ้าสนทนาถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจ ... สามารถที่จะเข้าใจได้ทุกเรื่อง แต่ต้องมาจากการเข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งก่อน เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงเรื่องราวมากมายใหญ่โต เพียงแค่ให้รู้ว่าขณะนี้หนึ่งขณะคือเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้จะไม่ใช่ขณะอื่นที่ผ่านไปแล้วหรือที่ยังไม่เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้มีอะไรและก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นเพราะตลอดชีวิตที่เกิดมาก็มีสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งนั้นที่ปรากฏแล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง ไม่เหลืออะไรเลย!!!
ถ้าจะรู้ความจริงดีกว่าไม่รู้ หรือว่าชอบไม่รู้??? จึงฟังและรู้ว่า ถ้าปัญญาหรือว่าความเห็นถูกต้องเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่รู้ก็ต้องไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏนั่นเอง
เพราะฉะนั้นแต่ละขณะเป็นสิ่งที่มีจริงที่สามารถเข้าใจจริงๆ ได้ แต่ว่าไม่ใช่ด้วยความคิดของเราเอง เพราะว่าเราแต่ละคนไม่ใช่ผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง
คำศัพท์ธรรมะ
" จิต " (ใจ) หมายถึงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้แจ้งชัดในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ
คำศัพท์ธรรมะ
" เจตสิก " หมายถึงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เกิดร่วมกับจิต อาศัยจิตปรุงแต่งจิตให้เป็นไปโดยประการต่างๆ
ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว พูดแต่คำที่ไม่รู้จัก แม้แต่คำว่าจิตหรือใจซึ่งทุกคนมี แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาแล้วก็เป็นแต่เพียงความคิดนึกคาดเดาเกี่ยวกับจิตเอง โดยที่ไม่ได้ศึกษาให้มีความเข้าใจถูกต้องว่า จิตใจเป็นสภาพธรรมะที่ไม่ได้มีรูปร่างสัณฐานอะไรเลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงเพราะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เป็นสภาพที่รู้แจ้งชัดในสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้แก่สภาพเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสและความคิดนึกในแต่ละขณะในชีวิตประจำวัน เมื่อศึกษาเรื่องของจิตแล้วจะเข้าใจชีวิตอย่างดีขึ้น