เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เป็นอะไรจึงไม่ใช่เรา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เป็นอะไรจึงไม่ใช่เรา
ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ไม่กลับมาอีกแน่นอนที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าไม่เหลือ ลึกซึ้งมากเพราะฉะนั้นเราฟัง ... คนที่สะสมมาแล้วเท่านั้นที่สามารถจะเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงเป็นใครและทรงตรัสรู้เมื่อไหร่? เมื่อได้สะสมบารมีทุกอย่างถึงเวลาที่จะดับกิเลสจนไม่เหลือเลยถึงความเป็นพระอรหันต์ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเราฟังธรรมะเพื่ออะไร? ตามพระองค์ใช่ไหม? แต่กว่าจะถึงการที่จะได้เป็นสาวก ได้ฟังความจริงซึ่งมีทุกขณะ ก็ จะต้องเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่าไม่ใช่เรา อันนี้สำคัญที่สุด มิฉะนั้นเราตลอด เราฟัง เราเข้าใจ เราสนใจ เราถาม ... เราหมดเลย แต่ว่ากว่าจะรู้ความจริง ... ลึกซึ้งจนไม่มีเรานี่หมายความว่ายังไง? ไม่ใช่ตามเฉยๆ ว่าเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา แค่นั้นง่ายมาก แต่เป็นเราที่คิดอย่างนั้น!!! เป็นเราที่จำทั้งหมดเป็นเรา
ผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้ว เราจะไม่รู้เลยว่าใครบ้าง ... อยู่ที่ไหนบ้าง แต่พอได้ฟังธรรมะเข้าใจ แต่ความเข้าใจนี่ประมาทไม่ได้เลย ความประมาทของคนที่ฟังพระธรรมคือ คิดว่าพระธรรมไม่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าพระธรรมลึกซึ้งแค่ไหน ความเข้าใจความลึกซึ้งนั้นต่างหากที่รู้ ไม่ใช่ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น ความเป็นเรานี่ลึก เหนียว แน่น หนาสุดประมาณ ไม่รู้ไปหมดแม้เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น แต่พระอรหันต์ไม่มีกิเลสเหลือเลย และใครจะรู้ว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีกิเลส ไม่รู้สักอย่างและถ้าไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นคุณประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิตอยู่ในสังสารวัฏ ... ไม่ฟังเลย หลายคนก็ประมาทจะฟังเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คงต้องคิดว่าฟังแล้วจะได้ประโยชน์อะไร? คิดถึงตัวตน คิดว่าจะได้ประโยชน์ แต่ที่คิดว่าได้ประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์เพราะไม่รู้ความจริงว่า ประโยชน์แท้จริงคือการที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้นขั้นฟังต้องละเอียดมาก ... ต้องเคารพพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด โดยการรู้ว่าเพียงฟังแค่นี้เราเข้าใจพระองค์แค่ไหน? ตื้นมาก ... จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เห็นความลึกซึ้ง และ "มรรค" หนทางก็คือขณะที่เห็นความลึกซึ้งเท่านั้น!!!
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ทุกอย่างที่มีจริง มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็น "ปรมัตถธรรม"
ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพราะได้ประจักษ์แจ้งความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรที่จะลึกซึ้งเกินกว่าที่พระองค์ได้ประจักษ์แล้ว เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมต้องเริ่มต้นด้วยความเคารพว่าเราห่างไกลจากพระองค์แค่ไหน? ประมาณไม่ได้ เห็นพระพุทธรูปก็ไม่ใช่ว่าเห็นพระองค์ นั่นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่จะระลึกถึงก็ไม่ใช่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเพราะไม่รู้จักพระองค์!!!
ต้องฟังจนกระทั่งเป็นผู้ตรงอย่างยิ่งจึงจะรู้ว่าขณะนี้เป็นบารมีเมื่อเข้าใจความลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจในความลึกซึ้งไม่ใช่มรรคมีองค์แปด สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เป็นอะไรจึงไม่ใช่เรา ... ทุกคำนี่ข้ามไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นฟังธรรมะด้วยความเบิกบานไม่ใช้ด้วยความกังวลว่า แล้วเมื่อไหร่จะรู้สักที นั่งเป็นห่วงอยู่นั่นพยายามหาทางทำอย่างนั้นอย่างนี้จะรู้นั่นไม่ใช่ แต่ละคำที่ได้ฟัง ... รู้ว่ารู้ไม่ได้ด้วยความเป็นเรา ด้วยการไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้นว่า เห็นทั้งวันก็ไม่รู้ทั้งวัน ... เพราะฉะนั้นความไม่รู้นี่จะมากมายสักแค่ไหน? กิเลสความติดข้องสักแค่ไหน? มีแต่ความเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นเรา
เพราะฉะนั้นใครสักคนหนึ่งที่ได้ฟังแล้วเข้าใจแม้ในเบื้องต้นเป็นที่ปิติยินดีของคนที่เห็นประโยชน์อย่างยิ่งของพระธรรม เพราะฉะนั้นฟังด้วยความเบิกบานไม่ใช้ด้วยความเป็นห่วง ... ใช่ไหม? เรื่องจะรู้เมื่อไหร่ถ้ายังคงมีอยู่ก็ไม่ต้องฟังแล้ว ฟังมาตั้งนานก็ยังเมื่อไหร่ๆ จะรู้ก็ยังไม่ใช่การเข้าใจธรรมะว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจธรรมะเบิกบานที่ไหนสังสารวัฏที่ผ่านมาแสนโกฏกัปเกินกว่านั้นอีก แม้แต่ในยามต้นก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกเท่าไหร่ กี่ชั่วโมง ยังไม่สามารถถึงความสิ้นสุดของสังสารวัฏที่ผ่านมาว่ามากแค่ไหน แล้วกิเลสทุกชาติจะมากสักแค่ไหน
เพราะฉะนั้นฟังธรรมะเข้าใจเมื่อไหร่เคารพยิ่งขึ้น เบิกบานที่มีโอกาสได้รู้ความจริงที่ลึกซึ้ง และเห็นโทษของการเข้าใจผิด และมีความเป็นมิตรที่จะให้ใครก็ได้ ... ได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจถูก แต่เขาจะเข้าใจไม่เข้าใจไม่ใช่เราจะไปบันดาลได้ ทุกอย่างที่เราพูดคือเท่าที่เราเข้าใจ และเห็นประโยชน์ว่าถ้าเขาได้ฟังแล้วเขาจะรู้ความจริงว่าอีกไกลมาก!!! ไม่ต้องคิดเลย เบิกบานที่ไกลเท่าไหร่ แต่ความเข้าใจทีละน้อยค่อยๆ เข้าใกล้เข้าไปใกล้ เข้าไปใกล้ได้แค่ไหน ... คิดดู!!! แต่ละหนึ่งขณะที่ต้องตรงคือ ต้องเข้าใจจริงๆ
การสนทนาธรรมทุกครั้งเบิกบานที่ได้เข้าใจถูกยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะว่าไม่มีเราใช่ไหม? เพราะฉะนั้นความเห็นถูกต่างหากที่เริ่มตรงตามความเป็นจริงจนสามารถประจักษ์แจ้งธรรมะได้
สนทนาธรรมทุกครั้งจึงเบิกบานเพราะได้เข้าใจยิ่งขึ้นเพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นมงคล
ไม่มีใครไปละ นอกจากความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง คือ สัมมาทิฏฐิ
ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้หมดแล้วเข้าใจไม่ได้ ขณะต่อไปก็ไม่เข้าใจอีกเพราะเป็นเดี๋ยวนี้อีกแล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจ ต้องละเอียดมาก ลึกซึ้ง ตรงทุกคำเพื่อละ พอเข้าใจสักนิดในความลึกซึ้ง ค่อยๆ ละไปทีละน้อยจึงเป็นบารมีว่านานเท่าไหร่ไม่คำนึงถึง พระโพธิสัตว์ทั้งหมดไม่คำนึงถึงว่าอีกนานเท่าไหร่จึงเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ข้องในการที่จะรู้ความจริง บันดาลไม่ได้ทุกอย่างเกิดขึ้นต้องมีเหตุสมควรที่จะให้เกิด แค่เกิดดับแล้วโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะหนึ่งจะสั้นจะเล็กน้อยสักแค่ไหน แต่เร็วจนกระทั่งหลับตาไม่มีอะไรเหลือ ลืมตามีหมดทุกอย่างได้ยังไงถ้าไม่กระทบตา ต้องเป็นผู้ตรงตามความเป็นจริง แล้วเวลาปรากฏที่จะรู้จริงๆ ทั้งหมดทีเดียวพร้อมกันไม่ได้ ทีละหนึ่งโดยไม่ใช่เราจะเลือก ไม่ใช่เราจะเพียร ไม่ใช่เราจะทำ เพราะฉะนั้นความอดทนเพิ่มขึ้นอีกกี่เท่า นั่นคือ ขันติบารมี
คนที่ถามถึงบารมีแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ชื่อ 10 ชื่อเอามาพูดกัน แต่ความละเอียดของแต่ละหนึ่งมหาศาล เพราะฉะนั้นได้ฟังเมื่อไหร่เป็นบารมีเมื่อเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจไม่มีบารมี
ถ้าเข้าใจแล้วขันติบารมีเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อมีเหตุที่สมควร โดยไม่ละเลยวิริยบารมี เพียรที่จะฟังเช้าค่ำเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละคำที่ได้ยินเข้าใจแค่ไหน
คำเก่าๆ นั้นกล่าวถึงสิ่งที่มีทุกวันในสังสารวัฏมาแล้วจนถึงเดี๋ยวนี้ ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่เป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล ไม่ใช่ปล่อยชีวิตเหมือนเดิมแต่เห็นจริงๆ ว่าจะเพิ่มหรือจะละ ไม่ใช่ขึ้นกับใครทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับ ปัญญาที่สามารถเห็นประโยชน์ของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นี่แหละขันติบารมีในชีวิตประจำวันจริงๆ
เห็นโทษของคนอื่นและจิตขณะที่เห็นโทษของผู้อื่นนั้นเป็นอะไร ไม่มีใครเลยนอกจากธรรมะทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกมีข้อความว่า "สภาพธรรมะไม่ได้ปรากฏด้วยดี" คือไม่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทีละหนึ่งซึ่งความจริงต้องทีละหนึ่งเท่านั้น จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะเป็นธาตุรู้ๆ แจ้งสิ่งที่ปรากฏหนึ่ง จึงรู้แจ้งลักษณะนั้น แต่ไม่สามารถเป็นปัญญา ธรรมะแต่ละหนึ่งนี่ละเอียดมาก ต้องเข้าใจขึ้นจึงละความเป็นเราซึ่งสะสมมานานมาก
ฟังอย่างนี้เหมือนละ แต่หนทางละถ้าละจริงๆ ยังต้องมีอีกมากนัก นี่คือผู้ไม่ประมาท ผู้เคารพต่อความเป็นจริง ... เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วใครทำ? พระเจ้าหรือ ... อยู่ไหน? ใครหรือ? เกิดแล้วต่างหากโดยเหตุโดยปัจจัย ไม่ว่าใครทั้งสิ้น ภพไหนทั้งสิ้น นกหนูปูปลาทั้งหมดเหมือนกัน เพราะเห็นไม่ใช่นกเห็น ไม่ใช่คนเห็น เห็นเป็นเห็น
แต่ละคำของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อให้ละความไม่รู้ เพราะถ้าไม่รู้ ... ไม่ใช่บารมี จะเอาอะไรมาอดทน นี่อดทนต่อการที่จะรู้ว่า เมื่อไหร่จะรู้เห็นก็เมื่อได้เข้าใจละเอียดขึ้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็รู้แล้วๆ เป็นไปไม่ได้!!!
เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ไม่ประมาท ทุกคำของพระพุทธเจ้ามีคุณลึกแต่ไม่รู้ว่าคุณนั้นลึกแค่ไหน กว่าจะอย่างลงไปถึงความเป็นจริงของธรรมะที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้ว่าทีละหนึ่งนี่แหละบารมีเมื่อเข้าใจละแล้วทีละน้อยขั้นฟัง!!! ยังไม่ได้แตะตัวจริงเลยขั้นถึงเฉพาะแต่ละหนึ่ง ยังไม่ได้ถึงการประจักษ์แจ้ง เพราะอีกนานเท่าไหร่ต้องไม่ใช่เราที่จะทำแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นทีละน้อยด้วยความเคารพจึงเห็นความลึกซึ้ง
คนที่ไม่เห็นความลึกซึ้ง ไม่เคารพ จะเคารพได้ยังไง ... ตื้นๆ อย่างนี้ แต่นี่ลึกซึ้งจนกระทั่งแม้หนทางเป็นมงคล ... การฟังธรรมะเป็นมงคล ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง แต่ต้องละเอียดมากว่าใครเป็นผู้กล่าวคำนี้ ไม่ประมาทว่าไม่ลึกซึ้ง .. เป็นไปไม่ได้!!! เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่ความเข้าใจไม่หลอกไม่ตู่ ไม่ต้องไปถามใคร ประจักษ์หรือยัง? ใช่อันนี้ไหมใช่อันนั้นไหม? เพื่ออะไร? นั่นคือความไม่รู้ชัดเจน ยังไม่รู้เลยแล้วจะรู้อะไรได้!!! แค่นี้ถ้าเห็นความลึกซึ้งนั่นคือประโยชต์!!!
เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดเพราะเหตุปัจจัยได้ยินก็ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัยได้ยินแล้วคิดไตร่ตรองก็ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย เข้าใจแค่ไหนก็ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย
ทุกคำต้องเคารพนี่เป็นคำของพระพุทธเจ้า ทุกอย่างปรากฏโดยนิมิต ไม่ใช่เพียงหนึ่งเดียวแต่หลายๆ หนึ่ง ทำให้รู้ว่าเห็นมี มีโอกาสได้ฟังแต่การไตร่ตรองของแต่ละคนจะแค่ไหน? ก็จะต่อไปถึงภายภาคหน้าด้วย
ปรมัตถธรรม คือ ความจิงของสิ่งที่มีจริง ใครทำอะไรไม่ได้ ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความจริงนั้นต้องเป็นอย่างนั้น และสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนปรมัตถธรรมได้ไหม? ไม่ได้จึงเป็นปรม (ใหญ่ ใครทำอะไรไม่ได้ ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้)
ไม่มีนิสัยไตร่ตรองละเอียด จึงต้องสะสมนิสัยใหม่ คือ ฟังอะไรแล้วต้องไตร่ตรองละเอียดลึกซึ้ง มิฉะนั้นเผินมาก
เดี๋ยวนี้มีอะไรจริงไหม? เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงแน่ๆ คือ เสียงมีจริง เปลี่ยนเสียงให้เป็นกลิ่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรม ธรรมะแต่ละหนึ่งใครเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกธรรมะที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรม ต้องชัดทีละคำ นี่คือนิสัยใหม่ ... ธรรมะลึกซึ้งมาก คิดเองไม่ได้ เปลี่ยนนิดเดียวก็ไม่ได้