บุญ บาป
บาป คือ อกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี และให้โทษ บุญ คือ กุศลธรรม เป็นสภาพที่ดีงาม เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษกับใครเลย ฉะนั้น ถ้าไม่มีจิต บาปบุญก็ไม่มี ภูเขา ก้อนหิน กรวดทราย ต้นไม้ไม่มีบุญไม่มีบาปเพราะไม่มีจิต คิดไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ฆ่าสัตว์ไม่ได้ ลักทรัพย์ไม่ได้
บุญ บาป จึงเป็นสภาพของจิต ขณะใดที่จิตประกอบด้วยสภาพธรรมที่ดีจึงเป็นบุญ ขณะใดจิตประกอบด้วยสภาพธรรมที่ไม่ดีจึงเป็นบาป ไม่มีใครจะสามารถเห็นจิต หรือดูจิตได้ด้วยตา แต่ว่าสามารถรู้ลักษณะของจิตได้ เพราะทุกคนมีจิต และทุกคนก็เพียงแต่รู้ว่ามีจิต เมื่อไม่ศึกษาให้ละเอียดก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าจิตอยู่ที่ไหน
จากหนังสือ บทบาท อ.สุจินต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม
โดย พระธนนาถ นิธิปญฺโญ
ขณะเห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะได้ยินเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะได้กลิ่นเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะลิ้มรสเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่รู้เย็นบ้าง รู้ร้อนบ้างรู้แข็งบ้างก็เป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะนึกคิดก็เป็นจิตชนิดหนึ่งและควรพิจรณาให้ละเอียดลงไปอีกว่า จิตเห็นเป็นต้นเป็นบาปหรือเปล่าจิตเห็นเพียงเห็น ไม่ใช่กุศลจิตและไม่ใช่อกุศลจิต แต่ขณะที่เห็นแล้วชอบ ขณะชอบเป็นโลภมูลจิต เป็นอกุศลจิต ซึ่งใช้คำว่าบาปก็ได้เพราะเป็นจิตที่มีกิเลสไม่ผ่องใส มีสภาพของโลภเจตสิกซึ่งทำให้ติดพอใจ ยินดี ปรารถนาต้องการสิ่งที่เห็นนั้น เป็นต้น ขณะนั้นจึงเป็นอกุศล ขณะใดเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจแล้วไม่ชอบ ขณะนั้นก็เป็นโทสะ เป็นสภาพที่ขุ่นเคือง ไม่พอใจ ขณะนั้นก็เป็นอกุศล ฉะนั้น เมื่อจิตมีจริง บาป บุญก็มีจริงและจิตก็มีทั้งอกุศลจิตและกุศลจิตขณะใดที่เป็นกุศลจิตขณะนั้นก็เป็นบุญ บุญจึงมีจริง
"บุญ" หรือ "บาป" มีจริงเกิดกับจิต
ทุกท่านรู้ว่าตนมี"จิต"แต่ก็เพียงการรู้ชื่อของจิต แม้ชื่อก็ยังยึดถือเอาว่าเป็น"จิตของตน"ซึ่งถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่าจะให้บุญเกิด (กับจิต) ได้ ต้องแสวงหาจากผู้อื่น ที่อื่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงในขณะนี้บุญหรือบาปก็เกิดแล้ว ดับแล้ว หมดไป หลายต่อหลายขณะจิต บุญเกิดแต่ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าอยากได้บุญและผลของบุญ ลืมไปว่าความอยากได้นั้น...ไม่ใช่บุญ...แต่เป็นบาป...เป็นอกุศลธรรม
ขออนุโมทนาครับ