ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๘๒] อรูปกฺขนฺธ

 
Sudhipong.U
วันที่  26 ก.ย. 2567
หมายเลข  48559
อ่าน  36

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ "อรูปกฺขนฺธ"

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อรูปกฺขนฺธ อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - รู - ปัก - ขัน - ดะ มาจากคำว่า อรูป (ไม่ใช่รูป) กับคำว่า ขนฺธ (ขันธ์, สภาพที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) [ซ้อน กฺ หน้า ข] จึงรวมกันเป็น อรูปกฺขนฺธ เขียนเป็นไทยได้ว่า อรูปขันธ์ แปลว่า ขันธ์ที่ไม่ใช่รูป, อรูปขันธ์

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าขันธ์ คืออะไร? ขันธ์เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลอย่างแท้จริง ขณะนี้ เป็นขันธ์และในขณะนี้ก็มีครบทั้ง ๕ ขันธ์ด้วย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงได้เลย ขันธ์มี ๕ ขันธ์ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ในบรรดาขันธ์ทั้ง ๕ เหล่านี้ อรูปขันธ์หรือขันธ์ที่ไม่ใช่รูป จึงได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ตามข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ติตถสูตร ดังนี้

“จิตนั้น ได้แก่ วิญญาณขันธ์

เวทนาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่า เวทนาขันธ์

สัญญาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่า สัญญาขันธ์

ผัสสะและเจตนา เป็นต้น ที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่า สังขารขันธ์

ขันธ์ทั้ง ๔ ดังว่ามานี้ ชื่อว่า อรูปขันธ์ (นามขันธ์ ๔)

อนึ่ง มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ชื่อว่า รูปขันธ์

บรรดารูปขันธ์และอรูปขันธ์นั้น อรูปขันธ์ ๔ เป็นนาม รูปขันธ์เป็นรูป

มีธรรมอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คือ นาม ๑ รูป ๑”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา แต่ละคำล้วนเป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด พุทธประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน ก็เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ (รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงด้วยพระองค์เอง แล้วทรงมีพระมหากรุณาแสดงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง จะเห็นได้ว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาจากการตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง ทรงรู้ในสิ่งที่มีจริง ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น ทรงตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ทุกกาลสมัย

ไม่ว่าจะในสมัยใดก็ตามมีสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่าก่อนที่จะได้ทรงบรรลุถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีซึ่งหมายความถึงคุณความดีมากมายมหาศาลเพื่อที่จะไม่ให้จิตเศร้าหมอง ไม่ให้เป็นไปกับอกุศลที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เป็นสาวกจึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือ ฟังเพื่อที่จะเข้าใจในแต่ละคำที่ได้ยิน ให้ถูกต้อง ชัดเจนไม่ใช่ให้คิดเอง

แม้แต่ในคำว่าขันธ์ซึ่งต้องฟังให้เข้าใจว่ามีในขณะนี้จริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ขันธ์ ๕ โดยชื่อ ก็คือ รูปขันธ์ (รูปทั้งหมด) ๑ เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) ๑ สัญญาขันธ์ (ความจำ) ๑ สังขารขันธ์ (เจตสิก ๕๐ มี ผัสสะ เป็นต้น) ๑ วิญญาณขันธ์ (จิตทุกประเภท) ๑ ไม่ใช่ให้จำในจำนวน แต่ให้เริ่มเข้าใจว่าต้องมีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งหมด เป็นขันธ์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่ได้ยั่งยืนเลย เช่น ในขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ทางตา ทุกคนไม่ปฏิเสธ เพราะกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วปรากฏ เมื่อมีธาตุที่กำลังเห็นสิ่งนั้น จึงปรากฏว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ต้องเกิดแน่นอนเพราะปรากฏว่ามีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และเห็นมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ซึ่งประมวลได้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปขันธ์ และเห็นก็เป็นขันธ์ คือ เป็นวิญญาณขันธ์ และในขณะที่เห็นเกิดขึ้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ได้แก่ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ เจตสิกอีก ๕ ประเภทที่เกิดร่วมกับจิตเห็น คือ ผัสสะ (สภาพที่กระทบอารมณ์) เจตนา (สภาพที่จงใจขวนขวายให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมกันทำกิจหน้าที่) เอกัคคตา (สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์) ชีวิตินทรีย์ (สภาพที่เกิดขึ้นทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยดำรงอยู่จนกว่าจะดับไป) และมนสิการ (สภาพที่ใส่ใจในอารมณ์) ก็เป็นสังขารขันธ์ ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดดับ นี้คือ การยกตัวอย่างให้เข้าใจถึงความเป็นขันธ์ ขณะนี้เป็นอย่างนี้ไม่พ้นจากขันธ์เลย สภาพที่เป็นรูป เป็นรูปขันธ์ ส่วนนามธรรมที่เกิดขึ้น ทั้งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์ ก็เป็นอรูปขันธ์หรือนามขันธ์ ทั้งหมดแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน

จากการที่ไม่รู้เลยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ ก็เริ่มที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้เพื่อให้คนที่กำลังฟังในขณะนี้รู้ตาม ไม่ใช่คิดเอง การฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ทำให้เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลย ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า กล่าวคือ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล ธรรมเป็นอย่างนี้ เป็นแต่ละขันธ์จริงๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกว่าทุกขณะมีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลโดยตลอด เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความไม่รู้และละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.ย. 2567

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ