เรื่องของ นายคามณิจันท์
จากนายคามณิจันท์ และก็คิดไปในแต่ละชาติ จนกระทั่งสังขารขันธ์ปรุงแต่ง แต่ละชาติ แต่ละชาติ สะสมกุศลเพิ่มขึ้นจนถึงชาติสุดท้ายได้เป็นท่านพระอานนท์ แต่สำหรับผู้ที่ยังสะสมกุศลไม่พอ ก็ต้องสะสมต่อไป และความคิดก็ยังจะคิดๆ คิดต่อไปไม่จบ ทุกชาติ จนกว่าจะถึงชาติที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ความคิดนึกของบุคคลในอดีต ใน อรรถกถา ติกนิบาตชาดก คามณิจันทชาดก ซึ่งมีข้อความว่า
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการสรรเสริญปัญญา จึงตรัสเรื่องนี้
ได้ยินว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญพระปัญญาของพระทศพลในโรงธรรมสภาว่า
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาหนา มีพระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาไว มีพระปัญญากล้าแข็ง มีพระปัญญาชำแรกกิเลส ก้าวล่วงโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกด้วยพระปัญญา
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็มีปัญญาเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ขอเชิญรับฟัง
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
นายคามณิจันท์ในกาลนั้นได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าอาทาสมุข ในกาลนั้น คือ เราตถาคต
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ศึกษาพระอภิธรรม แล้วอ่านชาดก ก็ได้รับประโยชน์ เพราะแสดงให้เห็นว่า สภาพที่สะสม ไม่มีรูปร่าง แต่มีจริง ผู้ที่ท่านศึกษาความจริงของสภาพนั้น จึงเตือนว่า
"ก็เป็นเรื่องที่จะต้องระวังความคิดให้เป็นไปโดยแยบคาย ให้เป็นไปโดยกุศล มิฉะนั้นแล้วจะได้รับผลของความคิดที่ไม่ถูกต้อง"
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ขอบพระคุณอย่างยิ่งในธรรมทานค่ะ