สนทนาธรรมกับชาวกัมพูชา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เดี๋ยวนี้เห็นหรือเปล่า? ... กำลังเห็นมีเห็น ไม่ต้องหาอะไรเพราะมีแล้วคือเห็น เพราะฉะนั้นจะหาอะไร.. ถ้าสิ่งนั้นยังไม่เกิดหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ!!
สิ่งนี้ปรากฏพบแล้วว่าเป็นสิ่งนี้ เห็นกำลังมีจะบอกว่าไม่พบเห็น ไม่รู้จักเห็น ไม่มีเห็นได้ไหม?
ไม่ต้องหาอะไรเลย ... มีแล้ว ... ปรากฏให้รู้ว่ามี!! แต่ไม่เข้าใจเห็น แมวก็เห็นนกก็เห็น แล้วก็ไม่เข้าใจเห็นเหมือนกันเพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่นก ไม่ใช่คน นกก็ไม่รู้จักเห็น คนก็ไม่รู้จักเห็น เพราะฉะนั้นเห็นไม่เปลี่ยน คนเห็นเหมือนกับนกเห็นเพราะเห็นเป็นเห็น ถ้าไม่มีรูปร่างจะรู้ไหมว่านกเห็นหรือคนเห็นหรือปลาเห็น? เพราะฉะนั้นเกิดเมื่อไหร่เป็นเพียงเห็น ต้องหาเห็นหรือเปล่า?
เห็นมีแต่ไม่เข้าใจว่าเห็นเกิดจึงมี ถ้าเห็นไม่เกิด ... ไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ทรงตรัสรู้เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่คือการตรัสรู้ รู้สิ่งที่มีตามความเป็นจริง ทุกคนกำลังเห็นแล้วก็คิด ใครไม่ได้ทำให้เห็นเกิดเลยเพราะเห็นมีตลอดเวลา เวลาได้ยินเกิดไม่ใช่เห็นเหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ
พุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีทั้งหมด ถ้าไม่มีคำของพระองค์เราอยู่ในโลกของอัตตา อยู่ในโลกที่มีคน มีฟ้า มีดาว มีทุกอย่าง แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง จึงรู้ว่าโลกที่เราเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตั้งแต่เกิด ความจริงไม่มีสิ่งนั้นเพราะเกิดและดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยตรงกับคำว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
เชิญฟัง ณ กาลครั้งหนึ่งสนทนาธรรมกับชาวกัมพูชา รร.ออนร่า พนมเปญ 30/8/67
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
เกิดแล้วตายเป็นอนิจจัง เกิดก็เป็นอนิจจัง ตายก็เป็นอนิจจัง ไม่ใช่เกิดแล้วตายจึงเป็นอนิจจัง ขณะนี้เกิดเห็นแล้วเห็นก็ดับจึงเป็นอนิจจัง ขณะนี้เกิดเห็นแล้วเห็นก็ดับเหมือนตายเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ว่า เห็นเกิดดับ ได้ยินเกิดดับ ทุกสิ่งเกิดดับ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าความตายมีสามอย่าง เพราะฉะนั้นความตายหมายถึงสิ่งนั้นดับไม่กลับมาอีกเลย เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เห็นตอนนั้น เสียงเมื่อกี้นี้ดับหรือเปล่า? กลิ่นก็ดับ รสก็ดับ อะไรที่ปรากฏเกิดแล้วก็ดับ เดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏดับหรือเปล่า? ดับแต่ยังไม่ประจักษ์
ฟังพระพุทธเจ้าผู้ทรงประจักษ์แล้ว ... เราเข้าใจความจริงแต่ยังไม่รู้แจ้งความจริง จึงมีคำว่าปัญญา วิปัสสนา ... ถ้าไม่ฟังธรรมะเลย ไม่รู้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เห็นเมื่อกี้นี้ เห็นเกิดดับเร็วมาก ทุกอย่างด้วยไม่ใช่เฉพาะเห็นเพราะฉะนั้นตั้งแต่เช้ามาไม่มีอะไรเหลือเลย ถึงพรุ่งนี้ ... เดี๋ยวนี้ไม่มีแน่!! แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต้องดับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้
เริ่มเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของสิ่งที่ปรากฏ เห็นเกิดแล้วดับแล้วเราอยู่ไหน?! เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก ไม่มีเรา ไม่มีทุกอย่างที่เมื่อกี๊ปรากฏ สิ่งที่เกิดแล้วดับพระพุทธเจ้าตรัสว่า ขณิกมรณะ จนกว่าจะถึงสมมติมรณะ เราบอกว่าเขาตายแล้ว เขาไม่เห็น ไม่ได้ยิน เขาไม่จำ เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นใครที่จากโลกนี้ไปจะไม่มีคนนี้อีกเลย เพราะฉะนั้นต้องเกิดอีกเพราะจุติจิตดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดทันที เหมือนเดี๋ยวนี้แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่ถึงสมมติมรณะ สมมติว่าตายแต่ก็เกิดดับตลอดเวลา เพราะทุกคนที่ตายแล้วต้องเกิด นอกจากพระอรหันต์เท่านั้นไม่มีปัจจัยอีกเลยที่จะเกิดเพราะฉะนั้นการตายจากโลกนี้หมดสิ้นความเป็นคนนี้โดยสิ้นเชิงแล้วเกิดต่อไปเป็น สมมติมรณะ เมื่อผู้ใดตรัสรู้ความจริงเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลสแล้วไม่มีกิเลสที่จะทำให้เกิดได้เลยเพราะฉะนั้นการตายของผู้ที่เป็นอรหันต์ทั้งหมดเป็นปรินิพพาน สมุทเฉทมรณะ ตายจริงๆ ไม่เหลือเลย ไม่เกิดอีกเลยเป็นสมุทเฉท
กลัวตายไหม ไม่ชอบตายไม่อยากตายไหม แล้วเห็นเดี๋ยวนี้ตายล่ะไม่เห็นกลัว เพราะไม่รู้ความจริงว่าเห็นก็เป็นธรรมะ ตายก็เป็นธรรมะ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เปลี่ยนไม่ได้ เพราะทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด
สิ่งที่มีจริงจะบอกว่าไม่มี ไม่จริงไม่ได้ ... เห็นกำลังเห็นจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงปรากฏให้เห็นได้ตามความเป็นจริง เป็นธรรมะเท่านั้นไม่เป็นอื่นเลย
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงคือทรงตรัสรู้เดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง ... พระองค์จึงทรงแสดงความจริงว่าธรรมะทั้งหมดทั้งปวงที่มีจริงเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง : ปฏิบัติอย่างไรเพื่อหลุดพ้น?
ท่านอาจารย์ : ต้องเข้าใจก่อน คำของพระพุทธเจ้าเป็นคำจริง ขณะนี้ธรรมะกำลังเกิดดับ เห็นเกิดดับ ได้ยินเกิดดับ คิดเกิดดับ พระองค์ทรงตรัสรู้เห็นกำลังเกิดดับ แล้วจะปฏิบัติเพื่อรู้อะไร??
ผู้ฟัง : ปฏิบัติเพื่อรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ : ฟังอย่างนี้รู้หรือยัง?
ผู้ฟัง : รู้
ท่านอาจารย์ : รู้อะไร?
ผู้ฟัง : รู้ว่ากับธรรมะกำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ : แล้วใครรู้?
ผู้ฟัง : สติเป็นผู้รู้
ท่านอาจารย์ : สติคืออะไร?
ผู้ฟัง : สติเป็นการกำหนดรู้ความจริง
ท่านอาจารย์ : จำได้ แล้วเดี๋ยวนี้สติอยู่ไหน?
ผู้ฟัง : สติกำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ : เดี๋ยวนี้สติปรากฏทางไหน?
ผู้ฟัง : ทางหู ทางตา
ท่านอาจารย์ : อะไรปรากฏทางหู?
ผู้ฟัง : โสตวิญญานทำกิจได้ยินเสียง
ท่านอาจารย์ : แต่ถามว่าอะไรปรากฏทางหู?
ผู้ฟัง : เสียงปรากฏทางหู
ท่านอาจารย์ : เสียงเกิดแล้วดับหรือเปล่า?
ผู้ฟัง : เกิดแล้วก็ดับ
ท่านอาจารย์ : แล้วจะปฏิบัติอะไร? เพื่อรู้อะไร? เสียงปรากฏปฏิบัติยังไงจะได้รู้สิ่งที่เกิดดับ?? เดี๋ยวนี้กำลังเห็น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับ ... แล้วเราจะปฏิบัติอะไร? ได้ยินคำว่าปฏิบัติก็จะปฏิบัติ แต่ไม่รู้ว่าปฏิบัติเพื่ออะไร!!! เพราะฉะนั้นปฏิบัติแล้วรู้อะไร? ยังไม่รู้ก็จะปฏิบัติอย่างนั้นหรือ ... ไม่รู้แล้วปฏิบัติเพื่อไม่รู้ขึ้น ยิ่งปฏิบัติเพราะไม่รู้ก็ยิ่งไม่รู้ แล้วจะปฏิบัติเพื่อไม่รู้อย่างนั้นหรือ?? พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงๆ มีทุกขณะ ฟังแล้วว่าขณะนี้เกิดดับ ... เปลี่ยนได้ไหม? ไม่ให้เห็นเกิดได้ไหม? เห็นเกิดแล้วไม่ให้เห็นดับได้ไหม? เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติอะไร? แล้วพระองค์ทรงแสดงพระธรรม 45 พรรษาเพื่อให้เข้าใจถูกต้องหรือให้ไปทำอะไร?
ผู้ฟัง : เพื่อเข้าใจ
ท่านอาจารย์ : เข้าใจอะไร?
ผู้ฟัง : เข้าใจสภาพธรรมะตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ : สภาพธรรมะอะไร ยังหาไม่เจอแล้วจะปฏิบัติเพื่อรู้อะไร??
ผู้ฟัง : ปฏิบัติที่กำลังรู้ลักษณะที่กำลังมีกำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ : ใครปฏิบัติ?
ผู้ฟัง : สติเป็นผู้ระลึก ผู้ปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ : ระลึกอะไรชื่อว่าปฏิบัติ
ผู้ฟัง : ระลึกสภาพธรรมะตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ : สภาพธรรมะทั้งนั้นเลยแล้วจะระลึกอะไร?
ผู้ฟัง : นี้ขณะนี้ธรรมะกำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ : ธรรมะอะไร? เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังเห็น ปฏิบัติเพื่อจะรู้อะไร? เดี๋ยวนี้กำลังเห็นไม่รู้ว่าเห็นเกิดดับ แล้วจะปฏิบัติ แล้วจะรู้อะไร?? ถ้าได้ฟังคำไหนไม่ใช่เชื่อทันทีแต่ฟังว่าคำนั้นผิดหรือถูก กำลังเห็นแล้วจะปฏิบัติอะไร??
มีชื่อเสียงมากก็ไม่เท่ากับเป็นผ้าเช็ดธุลี
ท่านพระสารีบุตรมีปัญญามาก ท่านบอกว่าท่านเป็นผ้าเช็ดธุลี ไม่ว่าใครจะเหยียบย่ำสกปรกแค่ไหน ... ไม่เดือดร้อน
ก่อนที่จะเข้าใจธรรมะ ถ้ามีใครเหยียบย่ำกายหรือวาจาคนนั้นไม่พอใจ ความไม่พอใจดีไหม? ไม่ดีก็ไม่รู้ก็ยังคงไม่พอใจ แต่ถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลี ... ไม่เดือดร้อน ใครเหยียบย่ำก็ได้ ดีไหมไม่เดือดร้อน?
เริ่มมีปัญญาความเข้าใจถูกว่าอะไรเป็นประโยชน์อะไรเป็นโทษ