Thai-Hindi 05 October 2024

 
prinwut
วันที่  12 ต.ค. 2567
หมายเลข  48690
อ่าน  179

Thai-Hindi 05 October 2024


- (วันก่อนคุณอาคิ่ลไปสนทนาที่สาวัตถีได้มีคำถามเรื่อง คนข้ามเพศ ในทางศาสนาพุทธคิดอย่างไร พวกเขาอยู่ในสถานะอะไรและธรรมจะช่วยพวกเขาอย่างไรได้บ้าง)

- เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) ไม่ลืมว่าสิ่งที่มีเป็นธรรม ที่ว่าเป็นธรรมเป็นธรรมอะไร (เห็น ได้ยิน รู้สิ่งกระทบสัมผัส ได้กลิ่น ลิ้มรส สำหรับพวกเขาเป็นธรรมเช่นกัน)

- เพราะฉะนั้นเราเพิ่งกล่าวเป็นธรรมแต่เป็นธรรมอะไร มิฉะนั้นก็เป็นเพียงการกล่าวถึงเรื่องราวแล้วความจริงคืออะไร เป็นธรรมหรือเปล่า อีกครั้งหนึ่งเป็นธรรมประเภทไหน

- รูปคืออะไร แข็งอ่อน สิ่งที่ปรากฏทางตาหรืออะไร (หมายถึงรูปที่แสดงความเป็นเพศชาย เป็นเพศหญิง หรือปรากฏว่าเป็นคนข้ามเพศ) ไม่ใช่เลยเพราะเดี๋ยวนี้มีเพียงคิดที่ไกลออกไปจากสิ่งที่มีจริง กำลังคิดถึงเพศชาย เพศหญิง แต่ความจริงขณะนี้คือ กำลังศึกษาและค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา มิฉะนั้นไม่ใช่ธรรม

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจความจริงลึกซึ้งอย่างยิ่ง มีธรรมทั้งวัน ทุกอย่างที่มีในชีวิตเป็นธรรม กำลังมีการคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมายแต่ยังไม่มีความเข้าใจถูกว่า สิ่งที่กำลังมีเป็น “ธรรม” ไม่ใช่ใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น

- แม้ว่าจะมีความรู้ต่างๆ มากมาย เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ทางแพทย์ศาสตร์ ฯลฯ แต่ไม่มีความเข้าใจเลยว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร โลกเป็นไปอย่างไร สถานการณ์ต่างๆ แล้วอะไรเป็นธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- ชีวิตสั้นแสนสั้น จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าที่สุดคือ ขณะที่เข้าใจว่าคืออะไร มิใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย (คุณมานิชเห็นด้วยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เข้าใจธรรม) เพราะฉะนั้นเป็นเวลาที่จะเข้าใจว่า อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้

- มีเราไหม (คุณอาช่าตอบว่า ไม่มีคุณอาช่าอยู่ที่นี่) ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใด มีเพียงสิ่งที่มีจริงเท่านั้น มีจริงๆ เพราะกำลังมีเพราะฉะนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น

- บารมีคืออะไร (คุณอาช่าตอบว่า บารมีคือเดี๋ยวนี้ที่อดทน กำลังฟังธรรมด้วยความอดทนเป็นบารมี) บารมีคือขณะที่เข้าใจความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้ธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ก็ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เข้าใจอย่างนี้มั่นคงไหม (คุณมานิชตอบว่า มีความเข้าใจยังไม่พอ แต่อย่างน้อยก็เป็นหนทางไปสู่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 12 ต.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจเท่าไหร่ก็มั่นคงในความจริงขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจเพียงเล็กแต่คิดว่ามั่นคงมากแต่ความจริงจะมั่นคงขึ้นๆ ต้องอาศัยความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

- ชีวิตคือเดี๋ยวนี้แต่จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้เพราะฉะนั้นอะไรเป็นขณะที่มีค่าที่สุดในชีวิต (คือเข้าใจธรรมขณะนี้และการฟังธรรมขณะนี้) ขณะนี้มีธรรมอะไร (ได้ยิน เข้าใจ และเห็น)

- เห็นไม่ใช่เข้าใจ ถูกต้องไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นเห็นคืออะไร ถามแล้วถามอีกเพราะว่าถ้าไม่พูดถึงเห็นไม่มีใครคิดถึงเห็นเลยแม้กำลังมีเห็น (เห็นเป็นเห็น แต่เห็นเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น) เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำให้เห็นเกิดได้เลย

- แต่อะไรเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น (กรรม) กรรมไหน (แล้วแต่ จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ได้) หมายความว่าอะไร "แล้วแต่" (หมายความว่า เห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกรรมดี เห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นผลของกรรมไม่ดี) นั่นเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า กรรมเป็นสิ่งที่ปกปิด ใครจะรู้ว่ากรรมจะให้ผลเมื่อไหร่ เช่น ขณะที่ให้ผลเป็นเห็นขณะนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลของกรรมไหน ด้วยเหตุนี้พระธรรมจึงลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นชีวิตคืออะไร (คุณมานิชตอบว่า ชีวิตคือการเห็น การได้ยิน และสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน) สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตคือ จิต เจตสิก รูป

- จิต เจตสิก รูป ต่างกันอย่างไร (จากที่ได้ฟังเข้าใจว่า จิตเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วดับ เจตสิกและรูปก็เช่นกัน) สนทนาธรรมแต่ละหนึ่งเพื่อให้มั่นคงเพื่อค่อยๆ เริ่มเข้าใจสภาพธรรมตรงตามที่ได้ยินได้ฟัง มิฉะนั้นก็เพียงตามคำตามชื่อไปไม่ใช่เป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นแม้ว่าเห็นมีอยู่ขณะนี้แต่ถ้าไม่กล่าวแล้วกล่าวอีก เริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีกที่พูดเรื่องเห็น ไม่ละเลยที่จะค่อยๆ เข้าใจเห็นหรือสิ่งที่กำลังมีในชีวิตเพิ่มขึ้น ถ้าไม่มีการกล่าวถึงเห็น ไม่มีการสนทนาธรรม ก็จะคิดถึงแต่สิ่งที่คุ้นเคยว่า เป็นใคร เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชีวิตประจำวัน

- (จิต เจตสิก รูปกำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้แต่คุณมานิชยังไม่เข้าใจเพราะว่าไม่ได้ฟังธรรมตลอดเวลา ลืมเสมอว่าเป็นจิต เจตสิก รูป จึงต้องถูกถามจากผู้รู้ว่า ความจริงแต่ละหนึ่งคืออะไร) นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องค่อยๆ เข้าใจถึงความละเอียดลึกซึ้งของธรรมทุกอย่างทุกประการ

- ถ้าหากเราศึกษาคำต่างๆ ที่มีในพระไตรปิฎก เข้าใจคำ เข้าใจความหมายของแต่ละคำ แต่ไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกก็เปล่าประโยชน์ จึงสนทนาแล้วสนทนาอีกเรื่องเห็นที่กำลังมีขณะนี้ ไม่ว่าจะกล่าวเรื่องเห็นบ่อยแค่ไหนก็ยังไม่สามารถเข้าถึงเห็นที่กำลังเห็นขณะนี้ตามความเป็นจริง

- เพราะฉะนั้นเราพูดเรื่องเห็นทำไม (คุณปรียาตอบว่า เพื่อเข้าใจความจริง) เพื่อเข้าใจความจริงเท่านั้นหรือ (เพื่อเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้อะไรจริงและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง แล้วเรารู้หรือยัง เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังแล้วฟังอีกๆ เพื่อตรงความจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 12 ต.ค. 2567

- (คุณอาช่ากล่าวว่า เรารู้แต่คำ แต่ยังไม่เข้าใจธรรม) เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ทำไมต้องสนทนาแล้วสนทนาอีกเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน ฯลฯ เพราะว่าไม่ได้มีเพียงเห็นได้ยินแต่มีธรรมอื่นๆ ด้วย เริ่มต้นด้วยเดี๋ยวนี้อะไรเป็นสิ่งที่มีจริงและค่อยๆ ต่อๆ ไปเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่มีนอกจากเห็น

- (ถ้าไม่มีความเข้าใจเห็นที่กำลังเดี๋ยวนี้ก็จะไม่มีความเข้าใจความจริงที่กำลังมีกำลังปรากฏ) เพราะฉะนั้นเริ่มพูดถึงเห็นอีกครั้งดีไหม เพราะฉะนั้นเป็นบารมีเครื่องทำให้ถึงฝั่งที่ความเข้าใจถูกพร้อมสติที่ไม่ลืมสิ่งที่ควรรู้

- พระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลกผู้ไม่สามารถเข้าใจความจริงด้วยตนเองเช่นพวกเราและคนทั่วไป แม้เพียงคำเดียว “เห็น” เป็นขณะที่ค่อยๆ รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มมั่นคงในคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ และใครจะรู้ว่านี่คือหนทางที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดไม่ไกลเลย

- เพราะฉะนั้นเริ่มสนทนาเรื่องเห็นในนัยต่างๆ หลากหลายเพื่อเข้าใจเห็นในลักษณะต่างๆ เห็นอยู่ไกลหรือใกล้ (อาช่าตอบว่าเห็นอยู่ใกล้แต่ไกลมากจากความเข้าใจ) ถูกต้อง ถูกต้อง และนี่คือความเข้าใจถูกที่เป็นหนทาง สัมมาทิฏฐิที่เป็นอริยสัจจะที่ ๔ โดยไม่ต้องไปทำอะไร เพียงเข้าใจความละเอียดของสิ่งที่มีลึกซึ้งขึ้นเพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะละความติดข้องซึ่งเป็นอริยสัจจะที่ ๒

- เบื่อไหมที่จะฟังเรื่องเห็นซ้ำๆ (ไม่เบื่อ) นี่คือบารมีที่มั่นคงแม้เดี๋ยวนี้ธรรมอยู่ใกล้มากแต่ลึกซึ้งแค่ไหน มีความเข้าใจเท่าไหร่ก็เคารพในพระรัตนตรัยเท่านั้น เห็นความละเอียดลึกซึ้งของธรรมแม้เล็กน้อยก็เป็นหนทางที่จะระลึกถึงคุณความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เพิ่มขึ้น

- เริ่มต้นจากความเข้าใจก็ค่อยๆ เคารพความจริงของสิ่งที่กำลังมีจนกระทั่งความเข้าใจเจริญขึ้นถึงความเข้าใจที่มากขึ้นเป็นปัญญาอีกระดับ

- สิ่งที่ใหญ่มากจนถึงขั้นที่สามารถจะกล่าวได้โดยนัยที่ว่า เป็นใหญ่เป็นประธาน สิ่งนั้น คือ จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้นรู้แจ้งตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดดับและสืบต่อไปแต่ละขณะ ด้วยเหตุนี้โลกจึงปรากฏ สิ่งต่างๆ จึงปรากฏเพราะมีสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานคือ จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

- เพราะฉะนั้นเห็นคืออะไร (เห็นเป็นจิตที่เกิดขึ้นและเป็นปัจจัยให้ธรรมอื่นเกิดขึ้น) เห็นดับไหม (ดับ) เห็นกำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ใช่ไหม (ใช่) รู้การเกิดดับของเห็นหรือยัง (ยัง) จึงฟังแล้วฟังอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนกระทั่งความเข้าใจถูกค่อยๆ เจริญขึ้นจากความเข้าใจที่เล็กน้อยที่สุดแต่ละขณะที่ดับไป มิฉะนั้นจะไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีได้เลย

- (คุณมธุมาร่วมสนทนาอยากให้ท่านอาจารย์กล่าวอีกครั้ง) ขอให้คุณอาคิ่ลช่วยกล่าวถึงสิ่งที่ได้ฟังไปแล้ว เรากำลังสนทนาถึงบารมี เคยได้ยินบารมี ๑๐ ไหม (คุณมธุตอบว่าเคยได้ยินแต่ไม่ทราบว่าคืออะไร) ช่วยถามคุณมานิชด้วยว่าคืออะไร (เคยได้ยินบารมี ๑๐ แต่ไม่เข้าใจและไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างเพียงได้ยินชื่อ) เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่อยๆ เริ่มเข้าใจความจริงซึ่งละเอียดมาก

- มีเห็น กำลังกล่าวถึงเห็น เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย เมื่อดับไปก็เป็นปัจจัยให้เกิดจิตขณะต่อไปเป็นสิ่งที่สามารถรู้ได้ เป็นสัจจธรรม เพราะฉะนั้นจึงเป็นการอบรมที่ยาวนานมากเพราะแม้เห็นเดี๋ยวนี้ซึ่งมีเห็นตั้งแต่เกิดและจะมีเห็นต่อไป ก็ไม่มีความเข้าใจเห็นที่กำลังมีว่า เห็นเกิดแล้วดับ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงการเข้าใจเห็นเป็นอริยสัจจะ ๓ รอบ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 12 ต.ค. 2567

- มั่นคงไหมว่า สามารถเข้าใจเห็นที่กำลังมีขณะนี้ได้ (มั่นคง) เดี๋ยวนี้สามารถเข้าใจเห็นได้ไหม (คุณมานิชยังไม่เห็นการเกิดดับของธรรมเดี๋ยวนี้ แต่จากการฟังก็ยังไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร)

- ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่คุณมานิชจะประจักษ์แจ้งความจริง (ไม่รู้) และนั่นเป็นบารมี ปัญญาบารมี เป็นบารมีไหมที่จะมั่นคงในความจริงว่า สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้เมื่อบารมีถึงพร้อม

- เป็นบารมีเมื่อไหร่ (เมื่อมีปัจจัย) เป็นบารมีขณะนี้เมื่อเข้าใจความจริง เดี๋ยวนี้เป็นบารมีไหม (ขณะนี้เป็นบารมี) เป็นบารมีอะไร เป็นบารมีไหน เป็นบารมีทั้ง ๑๐ ไหม (คุณมานิชบอกว่ามีบารมีและเชื่อว่าสามารถจะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ในวันหนึ่ง) จะเชื่อหรือมั่นคงในความจริงว่า ไม่มีเราที่สามารถทำได้ ถ้าไม่ใช่เราแล้วอะไรที่ทำได้ (เป็นธรรมเดียวที่ทำได้ไม่ใช่อย่างอื่น)

- ธรรมนั้นคืออะไร (ตอบไม่ได้) อีกครั้งบารมีคืออะไร (เป็นลักษณะพิเศษที่เกิดขึ้นในขณะที่พิเศษ) เลยไม่รู้ว่าอะไรพิเศษ (คุณสุคินขอเริ่มต้นใหม่ ถามคุณมานิชว่า บารมีคืออะไร) ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ (คุณมานิชตอบว่า บารมีเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเมื่อไหร่ที่เข้าใจเพิ่มขึ้นคุณธรรมต่างๆ ก็เพิ่มขึ้น) เพื่ออะไร (เพื่อมั่นคงเพิ่มขึ้น) เพื่ออะไร (เพื่อมั่นคงว่าคือความจริง) ถูกต้อง ความจริงว่าอะไร ทุกคนนอกจากคุณมานิชสามารถตอบได้

- (เพื่อเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น) ถึงระดับไหน (รู้ว่าเป็นอริยสัจ) จะรู้อริยสัจข้อไหน (ทุกขอริยสัจ) เท่านั้นหรือ (ถ้าความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็รู้ว่า เหตุของทุกข์คืออะไร) เท่านั้นหรือ (คุณอาช่าตอบว่า ไม่ใช่ว่าแยกกันรู้แต่ทุกข์ แต่คือรู้เหตุ รู้หนทาง รู้หนทางดับของทุกข์ด้วย)

- เพราะฉะนั้นอริยสัจจะที่ ๑ พอไหม ถ้ารู้อริยสัจจะที่ ๑ (รู้เฉพาะทุกขอริยสัจไม่พอ) เพราะฉะนั้นจนกว่าจะประจักษ์แจ้งอริยสัจทั้ง ๔ ต้องมีบารมีทั้งหมดก่อนจะรู้จริงๆ

- ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลยจะมีบารมีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว บารมีมีอะไรบ้าง (เริ่มจากความอดทน) คุณอาคิ่ลคิดอย่างไร (ปัญญา) ถ้าไม่มีปัญญาเป็นบารมีไม่ได้เลย แต่เมื่อมีปัญญาๆ รู้ว่า บารมีคืออะไร เมื่อไหร่ เพื่ออะไร

- เพราะฉะนั้นปัญญาทำให้เริ่มรู้ว่า อกุศลทั้งหมดเป็นบารมีไม่ได้ ไม่ต้องเลือกเวลาสำหรับบารมีหนึ่งบารมีใด ก่อนเข้าใจพระธรรมคุณมานิชให้สิ่งต่างๆ กับคนที่จำเป็นหรือต้องการแต่ไม่เข้าใจธรรม ขณะนั้นจึงไม่เป็นทานบารมี

- เพราะฉะนั้นถ้าให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นเป็นกุศล ถ้าไม่ให้แม้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นก็ไม่ให้ก็เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้ไม่ใช่รีบให้ต้องเป็นปัญญา

- (คุณมธุถามว่า ได้ฟังขันติบารมี ปัญญาบารมี แต่บารมีคืออะไร จะเข้าใจบารมีอย่างไร) บารมีต้องมีปัญญาเข้าใจธรรม ไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นเกิดดับไม่กลับมาอีกเลยทุกอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงมีพระมหากรุณาแสดงความจริง คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงเพราะลึกซึ้ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 12 ต.ค. 2567

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่พระองค์ตรัสรู้ให้คนอื่นรู้จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

- ฟังดีๆ ขณะนี้สิ่งที่มีจริงละเอียดยิบเกิดแล้วดับทันที แต่สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏว่า แต่ละ ๑ เล็กสุดที่จะประมาณได้ที่เกิดดับ แต่ความจริงขณะนี้เหมือนว่า มีสิ่งที่เป็นสิ่งเดียวไม่ใช่สิ่งอื่นเลย แต่ความจริงสิ่งเดียวต้องเป็นสิ่งที่เล็กมากแต่ที่รวมกันเป็นหลายอย่างจึงไม่ใช่ขณะที่เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วดับ

- (ยกตัวอย่างได้ไหม) เห็น เดี๋ยวนี้เห็นอะไร (เห็นสิ่งที่เห็น) ไม่ใช่ เห็นคน เห็นสิ่งของต่างๆ ใช่ไหม (ใช่เป็นเช่นนั้น) เพราะฉะนั้นความจริงไม่ใช่อย่างที่คิด ต้องรู้ความหมายว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่จึงจะรู้ความจริงตามที่ได้ทรงแสดงว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น ถ้าสิ่งนั้นไม่กระทบตา เห็นสิ่งนั้นไม่ได้

- สิ่งที่กระทบตาเป็นผงเล็กนิดเดียวจะปรากฏเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเดี๋ยวนี้ทันทีไม่ได้ เห็นสิ่งที่เล็กที่สุดที่กระทบตาแล้วดับเพราะฉะนั้นจะปรากฏเป็นสิ่งต่างๆ อย่างที่เห็นไม่ได้เพียง ๑ ขณะ หมายความว่า สิ่งที่ถูกเห็นเล็กมากเพราะฉะนั้นจะไม่ปรากฏอย่างที่เห็นเดี๋ยวนี้ จริงไหม (ไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน หมายความว่า สิ่งที่กระทบตาจริงๆ จะไม่ปรากฏเหมือนที่ปรากฏตอนนี้)

- แน่ใจใช่ไหม (แน่ใจ) เป็นปัญญาบารมีทำให้มีสัจจบารมีตรงต่อความเป็นจริง ความเข้าใจไม่เปลี่ยนจนสามารถรู้ความจริงได้ทั้งหมดจึงเป็นบารมีที่เกิดจากปัญญา

- ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้นใช่ไหม ถ้าไม่ตรงต่อความจริงจะไม่สามารถรู้ความจริงและไม่สามารถจะเป็นบารมีได้

- พระโพธิสัตว์ตรงต่อสัจจบารมี ทรงแสดงว่า บารมีทั้งหมดต้องมาจากปัญญาและเห็นอกุศลทุกประเภทไม่ใช่บารมี ขณะนี้กำลังเป็นเมตตาบารมีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นบารมีคือกุศลทุกอย่าง เข้าใจถูกว่า อกุศลแม้เพียงเล็กน้อยไม่สามารถเป็นบารมีได้เลย

- เมื่อมีความเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาสามารถเข้าใจว่า แต่ละขณะส่วนใหญ่เป็นอกุศลเพราะฉะนั้นถ้าปราศจากบารมีเป็นขณะที่กุศลก็ไม่มีปัญญาที่ละได้เลย

- เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดกุศลคุณความดีต่างๆ ได้โดยไม่รีรอ เพราะฉะนั้นเรากล่าวถึงทานบารมีเพราะในวันหนึ่งๆ ทานบารมีสามารถเกิดขึ้นได้

- ขณะนี้เป็นทานบารมีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่า ทานไม่ได้หมายถึงว่าต้องเป็นการให้วัตถุสิ่งของเท่านั้น แต่มีการให้ ๓ ประการที่เป็นทานบารมี เมื่อมีวัตถุสิ่งของอะไรจะให้ ไม่มีผู้รับสิ่งของที่จะให้ สามารถให้อภัยได้ไหม

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 12 ต.ค. 2567

- อะไรยากกว่ากัน ให้ทานวัตถุสิ่งของหรือให้อภัยทานกับผู้ที่ทำให้เราโศกเศร้าหรือเสียใจ (อภัยทานยากกว่า) แต่ถ้าทำบ่อยๆ และเห็นประโยชน์ก็ไม่ยาก แต่ถ้าไม่มีปัญญาให้อภัยไม่ได้

- เพราะฉะนั้นประโยชน์และปัญญาของอภัยทานคืออะไร (ทำให้อกุศลที่ขุ่นเคืองต่อผู้อื่นลดลง) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่ายิ่งกว่านั้นคือ ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เป็นอกุศลที่เป็นโทษ เพราะฉะนั้นโทษคือ ความไม่รู้ความจริงเป็นเหตุให้มีความพอใจในตัวตนของเราและไม่พอใจคนอื่น

- เคยไม่พอใจตัวเองไหม เคยไม่ให้อภัยตัวเองไหม (ในเมื่อรักตัวเองมาก เป็นไปไม่ได้ที่เราจะโกรธตัวเอง ด่าตัวเอง แต่ยกตัวอย่างสมมติว่า ไปตบหน้าเด็กบางครั้งก็รู้สึกผิดเกิดขึ้นได้แบบนั้นที่พิจารณาว่าทำผิดไป) แล้วอภัยไหม (ถ้าพูดทั่วๆ ไป สุดท้ายก็ต้องอภัยให้ตัวเองทุกครั้ง) จะอภัยหรือไม่อภัยก็ยังมีตัวเรา เป็นสิ่งที่จะต้องรู้ว่า ตราบใดที่ยังมีเราก็ยังไม่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้นจึงทำความดีทุกอย่างเพื่อที่จะละความเป็นเรา

- เพราฉะนั้นจึงต้องเริ่มรู้ความจริงยิ่งขึ้นทุกขณะซึ่งยากมากกว่าจะรู้จริงๆ ว่าขณะนั้นเป็นธรรมแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความยากแม้ของบารมี ทานบารมี

- การให้อภัยยังยาก เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เราเป็นธรรม จะยากสักแค่ไหน กว่าจะรู้อย่างนี้ กว่าจะมั่นคงว่า ต้องเป็นบารมีความดีเท่านั้นที่จะไม่ให้โอกาสแก่อกุศลเพิ่มขึ้นจึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อยตามความเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่าละเอียดและยากมาก เพราะฉะนั้นจะไม่รู้เลยว่า เพียงการที่มีกุศลจิตเกิดก็เป็นสิ่งที่จะทำให้อกุศลไม่เกิดที่จะทำให้ละอกุศลยากขึ้น

- ถ้าไม่รู้ว่า การให้อภัยเป็นธรรมก็จะมีแต่ธรรมที่เป็นอกุศล เมื่อมีธรรมที่เป็นอกุศลก็ย่อมไม่สามารถรู้ความจริงที่ไม่ใช่เราได้ นี่เป็นประโยชน์ที่จะต้องเข้าใจคำว่า บารมี

- ถ้าอภัยให้คนอื่นไม่ได้แล้วจะรู้ความจริงได้ไหม เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงในบารมี อภัยให้ใครหรือยัง (มีบ้าง แต่ให้มั่นคงเลยคงยังไม่ได้) ถูกต้อง แต่เริ่มรู้ว่า การอภัยให้ไม่เป็นโทษกับตัวเอง การเข้าใจอย่างนี้ก็เริ่มจะทำให้เป็นผู้อภัยให้คนอื่นได้ ไม่อภัยเมื่อไหร่เป็นโทษกับตัวเองเมื่อนั้น

- เพราะฉะนั้นการเข้าใจความจริงเท่านั้นทีละเล็กทีละน้อยจะทำให้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น บารมีเพิ่มขึ้นหมายความว่า ความไม่รู้น้อยลง ไม่ทราบมีใครมีคำถามอะไรบ้างหรือเปล่า

- (คุณตรัสวินกล่าวว่า บารมีลึกซึ้งและสำคัญยิ่งในความเข้าใจธรรม สัปดาห์หน้าควรคุยต่อเรื่องนี้เพราะความเข้าใจในเรื่องบารมีในชีวิตประจำวันจะช่วยให้แต่ละคนมีชีวิตที่ดีขึ้นทั้งในการทำงานและการดำรงชีพ ดีใจที่ท่านอาจารย์กล่าวเรื่องบารมี) เพราะฉะนั้นก็ยังเหลือบารมีอีกหนึ่งในการให้คือ ธรรมทาน เพราะเหตุว่า บารมีมี ๓ อามิสทาน อภัยทาน ธรรมทาน

- ธรรมทานมีประโยชน์ยิ่งใช่ไหม เมื่อรู้คุณรู้ประโยชน์อย่างยิ่งของธรรมก็พร้อมที่จะให้ธรรมกับคนอื่นที่สามารถเข้าใจได้ ให้ทรัพย์สิ่งของ ให้อภัยแต่ไม่ให้ธรรมทานก็ขาดประโยชน์ที่สูงสุด เพราะฉะนั้นกุศลสูงสุดเมื่อมีแล้วก็ควรที่จะให้คนอื่นได้มีด้วย

- ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีประโยชน์สูงสุดเมื่อเข้าใจ ก็ขอยินดีในกุศลของทุกท่านด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 12 ต.ค. 2567

ธรรมทานมีประโยชน์ยิ่งใช่ไหม เมื่อรู้คุณรู้ประโยชน์อย่างยิ่งของธรรมก็พร้อมที่จะให้ธรรมกับคนอื่นที่สามารถเข้าใจได้ ให้ทรัพย์สิ่งของ ให้อภัยแต่ไม่ให้ธรรมทานก็ขาดประโยชน์ที่สูงสุด เพราะฉะนั้น กุศลสูงสุดเมื่อมีแล้วก็ควรที่จะให้คนอื่นได้มีด้วย


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน และทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่ง
ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์ที่สุดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ต.ค. 2567

การให้อภัยยังยาก การที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรม จะยากสักแค่ไหน กว่าจะรู้อย่างนี้ กว่าจะมั่นคงว่า ต้องเป็นบารมีความดีเท่านั้นที่จะไม่ให้โอกาสแก่อกุศลเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีทีละเล็ก ทีละน้อย ตามความเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่าละเอียดและยากมาก เพราะฉะนั้นจะไม่รู้เลยว่า เพียงการที่มีกุศลจิตเกิดก็เป็นสิ่งที่จะทำให้อกุศลไม่เกิดที่จะทำให้ละอกุศลยากขึ้น

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ