ธรรมเป็นเรื่องฟังแล้วเข้าใจ
รู้ได้ เพราะมีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ ขณะใดที่รู้สิ่งใด ขณะนั้นก็ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นสภาพรู้ หรือ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังรู้สิ่งนั้น
"ธรรม" ไม่ใช่เรื่องถามใครเลย แต่เป็นเรื่องฟังแล้วเข้าใจ ไหวเป็นอะไร ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ก็เป็นปรมัตถธรรมทั้งหมดเลย แล้วแต่ว่าลักษณะใดปรากฏ ก็คือสิ่งที่เราได้เรียนแล้ว แต่ว่าขณะนั้นไม่มีชื่อที่จะต้องเป็นนึกว่าเป็นอะไร เพราะว่าลักษณะนั้นกำลังปรากฏให้รู้ แต่เมื่อไหร่ที่สติสัมปชัญญะเกิด ก็จะมีลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่งปรากฏ โดยที่ว่า ไม่มีชื่อ ไม่ต้องไปเรียกชื่อ ว่า นี่ตึงหรือไหว หรืออะไรอย่างนี้ ไปนึกอะไรอย่างนั้น ในเมื่อลักษณะนั้นกำลังปรากฏ จริงๆ ก็ควรจะรู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ท่าทางอะไรก็ไม่ได้มี ในขณะนั้น มีแต่ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใดที่ปรากฏ
เพราะเหตุว่ามีการทรงจำ ซึ่งยากแสนยากที่จะละอัตตสัญญา ซึ่งตรงกันข้ามกับ อนัตตสัญญา
อนัตตสัญญาไม่มีตัวตน ไม่มีเรา แต่อัตตสัญญา มีเรา มีรูป มีร่างกายของเรา จะไม่มีนั่ง ไม่มีนอน ไม่มียืน ไม่มีเดิน ถ้ามีไหว ขณะนั้นมีสภาพที่รู้ไหว ไม่มีเรา แต่มีสภาพที่กำลังรู้ไหว ลักษณะไหวเป็นรูปธรรม สภาพรู้เป็นนามธรรม
ขอเชิญรับฟัง