ฟังแล้วฟังอีกไม่มีทางพอ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าอะไรไม่ปรากฏ แล้วเราเพียรจะไปรู้ เสียเวลาไหม!? กับสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ เสียเวลาไหมที่ไม่รู้?
จะไม่เหลือความเป็นเราต้องทั่ว ... ทั่วอย่างไร? เดี๋ยวนี้มีอะไร? มีแข็งแล้วไม่รู้ ... หมดทุกอย่างไม่รู้ ดังนั้นต้องรู้ทุกอย่างที่มีจริง เพราะมีจริงเกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้แต่เพราะไม่รู้ความจริงว่าไม่ใช่เราแล้วถ้าไม่รู้ก็ยังอยู่และเป็นเราต่อไปแล้วจะไม่ทั่วได้อย่างไร?!
ต้องเป็นคนที่มีเหตุผล มั่นคงและไม่เผิน เพื่อให้รู้ว่าถ้าอะไรไม่ปรากฏ แล้วเพียรจะไปรู้ เสียเวลาไหม!? กับสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ เสียเวลาไหมที่ไม่รู้? ต้องละเอียดมาก
แต่ละคำ ฟังแล้วฟังอีกไม่มีทางพอ เพราะว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกขณะที่ฟังอีกๆ กว่าจะฟังพอ ... ซึ่งเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะความไม่รู้มีแสนโกฏกัปนับไม่ถ้วนมาแล้ว ทุกขณะนี่ไม่รู้หมดเพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า ฟังเพื่อเข้าใจ จบ ... ไม่ใช่เราไปคิดต่อทำโน่นทำนี่เสียเวลา!!!
ติดมากี่ชาติ เยอะมาก เราก็ค่อยๆ เริ่มสะสมทีละน้อย เพราะเราละเมื่อไหร่ ... เมื่อเข้าใจเท่านั้น!! ตรงนั้นเท่านั้นที่รู้เมื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังแล้วเข้าใจในความลึกซึ้งว่าทั้งๆ ปรากฏแต่ไม่รู้ปรากฏทั้งวันไม่รู้ทั้งวัน และยังมีเราไปคิดไปพยายามอีก เสียเวลากว่าการที่เราฟังด้วยความเห็นความลึกซึ้งตรงนั้นปัญญา ตอนเห็นความลึกซึ้งเริ่มละคือเริ่มละความไม่รู้ความลึกซึ้ง ซึ่งยากที่สุดในสังสารวัฏ
พระพุทธเจ้าต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่กว่าจะตรัสรู้ว่าธรรมะลึกซึ้งยากจะรู้ได้ แต่ก็รู้ได้จึงทรงแสดง แต่คนฟังต้องฟังเพื่อเห็นความลึกซึ้ง
เชิญชม ณ กาลครั้งหนึ่ง สนทนาธรรมที่บ้านซ.พัฒนเวศม์ เช้า 11/9/67
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
"ธรรม" เดี๋ยวนี้มีไหม? อะไรเป็นธรรม? เพราะอะไรเป็นธรรม? อยู่ที่ตรงนั้นแหละ จนกว่าจะรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง
ทุกอย่างลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ว่า การฟังต้องไตร่ตรองระดับไหน ... ระดับแรกคำแรกเลย มีจริง ... พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้สิ่งที่ไม่มี แล้วเดี๋ยวนี้มีอะไร? เราไม่รู้แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เห็นความห่างกันไหม ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานเท่าไหร่ แล้วเราฟังแล้วเราจะรู้ไหมคำที่พระองค์ตรัส แค่ "ธรรม" ไหนธรรม? มันบังไว้หมดทุกชาติ จนไม่รู้ว่าอยู่ในโลกของอัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดกาลตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังแล้วเข้าใจจะมากจะน้อยเข้าใจนั่นเริ่มค่อยๆ อบรมเจริญ ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะไม่มีเราจะทำ แต่ให้รู้ว่า แม้เดี๋ยวนี้คิดก็เพราะปัจจัย พูดก็เพราะปัจจัย จำก็เพราะปัจจัย ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ละเอียดอย่างยิ่ง นี่คือ เริ่มฟังเพื่อได้เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย จะได้รู้จักพระองค์ในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่งั้นไม่เห็นความต่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับคนอื่น กราบไหว้บูชาไม่ถึงไหน จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจก็ค่อยๆ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ... สนทนาเพื่อเข้าใจ!!!
ไม่ต้องไปทำอะไร เข้าใจ "เขาละความไม่รู้" ตรงที่เข้าใจ นี่แหละ ... ความลึกซึ้ง มรรค หนทางที่จะรู้ความจริง
ไม่รู้อะไรแค่ไหน? กำลังพูดก็ไม่รู้ แต่ความเข้าใจมีทีละเล็กทีละน้อย แล้วจะเอาเยอะๆ มากๆ ไหม? เอาเร็วๆ ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่เข้าใจธรรมะ เมื่อนั้นจึงเคารพพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงที่เข้าใจในสิ่งที่ไม่สามารถจะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
ฟังเพื่อเข้าใจคำที่ได้ฟัง เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่รู้ความจริงตลอดมา ... แม้เดี๋ยวนี้และต่อไป นี่แหละเริ่มเห็นว่าประโยชน์ของการฟังที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ
เริ่มอยู่ในโลกที่ไม่ใช่อัตตาคืออนัตตาเพราะอยู่ในโลกของอัตตามานานเท่าไหร่ ไม่รู้เลยตั้งแต่เกิดก็อัตตาเต็มโลกแล้วก็จากไปด้วยความไม่รู้ความจริงของธรรมะ เพราะฉะนั้นแต่ละคำมีค่ามากสำหรับเข้าใจในความลึกซึ้ง จึงจะรู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะไปรู้ได้ถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อละ ละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละความหวังไง จะทำยังไง ไม่เลยไม่ใช่เลย ใช่ก็คือเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสทีละเล็กทีละน้อย!! ประมาณไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะถึงความเข้าใจขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย กว่าจะมั่นคง ขันติบารมี สัจจบารมี แล้ววิธีอื่นจะได้ไหมล่ะ ... ไม่มีทาง!!!