Thai-English-Hindi 19 Oct 2024

 
prinwut
วันที่  19 ต.ค. 2567
หมายเลข  48730
อ่าน  116

Thai-English-Hindi 19 Oct 2024


- เห็นเป็นแมว หรือเห็นเป็นสุนัข หรือเห็นเป็นคุณมานิช (ไม่ใช่) เห็นไม่ใช่คุณมานิช ไม่ใช่ใคร เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะแล้วดับ (ท่านอาจารย์ช่วยย้ำอีกครั้ง)

- เห็นไม่ใช่ใคร เห็นไม่ใช่แมว ไม่ใช่สุนัข เห็นเป็นเห็น นอกจากเห็น อะไรเป็นธรรมอีก (รู้สิ่งกระทบสัมผัส รู้กลิ่น และธรรมอื่นๆ อีกมาก)

- เห็นเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) เพราะฉะนั้นไม่ใช่ใครเลยเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วดับไป ตามที่ถามมว่า อะไรทำให้เกิดธรรม (คุณมานิชถามว่า อะไรก็ตามที่เป็นปัจจัยแล้วใครทำให้เกิดปัจจัยนั้น)

- ถ้าไม่มีตาจะเห็นไหม (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นตาจะเป็นใครไม่ได้ ดังนั้นไม่ใช่ถามว่า ใครทำให้เกิดสิ่งใดเพราะว่าไม่มีใคร

- (คุณมานิชถามว่า สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันเกิดตามเหตุตามปัจจัยตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อะไรเป็นตรรกของเหตุปัจจัย) ตรรกหมายความว่าอะไร (หมายถึงความคิด) ความคิดคืออะไร

- เห็นเป็นความคิดไหม ได้ยินเป็นความคิดไหม ได้กลิ่นเป็นความคิดไหม (คุณมานิชจะถามคำถามในครั้งต่อไปเนื่องจากข้อจำกัดในการแปล ขอให้ท่านอาจารย์เกื้อกูลประเด็นอื่นต่อไป)

- หมายความว่า เขาไม่พร้อมจะเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่า เขาต้องการเรื่อง เพราะฉะนั้นเราพยายามให้เขาเข้าใจธรรมซึ่งเข้าใจยากแต่ถ้าไม่เริ่มเข้าใจ รายการนี้ไม่มีประโยชน์ เป็นเรื่องทั้งหมดเพราะฉะนั้นเราต้องมีความอดทน ใช้คำง่ายๆ ธรรมดาสั้นๆ ให้เขาคิด เช่น ถ้าไม่มีตา เห็นได้ไหม เพราะฉะนั้นตาเป็นเขา หรือตาเป็นอะไร ตาก็ไม่เป็นอะไร ตาก็เป็นธรรม เราต้องการให้เขารู้ธรรม ไม่ใช่ให้เขาคิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นพยายามเต็มที่วันนี้จะให้เขาเข้าใจแค่ธรรมก็ยังดี

- เพราะฉะนั้นเราจะถามสั้น ทุกคำถามสั้นๆ ให้คิด ถ้าไม่มีธรรมมีปัจจัยไหม เพราะทุกคนจะต้องเข้าใจคำว่า ธรรมจริงๆ จนกว่าจะรู้แจ้งธรรม ไม่พ้นจากธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธรรมเลยจะมีปัจจัยไหม (มีทั้งธรรมมีทั้งปัจจัย)

- เพระฉะนั้นปัจจัยเป็นธรรมหรือเปล่า (ปัจจัยก็เป็นธรรม) ธรรมเป็นปัจจัยหรือเปล่า (ดร.ราเชสตอบว่า ธรรมก็เป็นปัจจัย) ยกตัวอย่างอะไรเป็นธรรม อะไรเป็นปัจจัย (คิดเป็นธรรม ความเข้าใจเป็นธรรม)

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม (มี) อะไรเป็นธรรม (เห็น ได้ยิน) ไม่ใช่ค่ะ ความเข้าใจในเห็นเพียงพอแล้วหรือที่จะต่อไปถึงสิ่งอื่น เพราะฉะนั้นเราพูดเรื่องเห็นเพื่อเข้าใจเห็นว่า เป็นธรรม

- (เข้าใจว่า ต้องคิดเป็นเรื่องราวต้องเข้าใจในเรื่องราวเป็นกระบวนการต้องจำชื่อได้ จำเรื่องได้จึงจะเข้าใจธรรม) นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะให้คนจำเรื่องแต่ให้สามารถรู้ความจริง ด้วยเหตุนี้เราต้องอดทนและให้รู้ด้วยว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ มีแต่ชื่อ ไม่ใช่จุดประสงค์ของการฟังผู้ที่ตรัสรู้ความจริง

- เราได้ยินได้ฟังเห็นมาตั้งกี่ปีร้อยปีพันปีก็ยังไม่รู้จักเห็น แล้วจะไม่ให้พูดๆ ๆ จนเริ่มเข้าใจทีละน้อยหรือ (คุณฮาจิถามว่า ฟังเรื่องเห็นบ่อยๆ เบื่อไหม ดร.ราเชสตอบว่าไม่เบื่อ) ดีมาก เพราะนี่คือความเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าที่พระองค์จะทรงแสดว่าเห็นคืออะไร พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่กว่าจะรู้ความจริง

- นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่มีคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า ธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเพียงธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น ธรรมคืออะไร ไม่ว่าจะศึกษาธรรม อ่านธรรม พิจารณาธรรมมากมายยาวนานสักเท่าไหร่ก็ยากที่จะประจักษ์แจ้งเห็นในความเป็นเห็นจริงๆ

- ก่อนที่จะทรงตรัสรู้เห็นได้ ต้องเป็นเวลาที่ยาวนานมากกว่าที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นขณะนี้ เพราะฉะนั้นการที่จะพูดถึงเพียงคำที่มีในพระไตรปิฎกเป็นคำๆ ก็ไม่เป็นประโยชน์ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกแสดงทุกอย่างที่กำลังมีขณะนี้ในชีวิตประจำวัน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 19 ต.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นอะไรดีกว่ากันระหว่างจำคำได้แต่ไม่ใส่ใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้กับเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ไม่ใช่เพียงคำเพียงชื่อ ถูกต้องไหม

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่เคารพสูงสุดต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะเข้าในเห็นที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นศึกษาสิ่งที่กำลังมีเพื่อค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีว่า ไม่ใช่ตัวตนสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นเป็นเพียงธรรม

- เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม (มี) มีหลายธรรมไหมเดี๋ยวนี้ (มีหลายธรรมแต่ยังไม่มีความรู้พอที่จะเข้าใจธรรมเพราะมีปัจจัยมากมาย)

- เพราะฉะนั้นเราจะสนทนาเรื่องเห็น สนทนาแล้วสนทนาอีกถึงเห็นและสิ่งที่ถูกเห็นดีไหม เพราะฉะนั้นเห็นใช่สิ่งที่ถูกเห็นไหม (ดร.ราเชสตอบว่า เห็นมีจริงแต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่มีจริง เช่น เขาอยากจะเห็นเพียงโทรศัพท์มือถือแต่ทำไมต้องเห็นกำแพง เห็นต้นไม้และสิ่งอื่นด้วย ทำไมไม่เห็นเพียงมือถือเท่านั้น)

- เห็นใช่อยากไหม (ขออภัยท่านอาจารย์ในความจำกัดทางภาษา) ไม่เป็นไรค่ะ ถามใหม่ มีความเข้าใจเห็นที่กำลังมีหรือยังที่จะไปสนทนาถึงสิ่งอื่นๆ (ยังไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นก่อนจะไปที่อื่นเรากำลังพูดถึงเห็นและสิ่งที่ถูกเห็น เรากำลังพูดถึงเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็น (มีเห็นแต่ไม่เข้าใจ)

- มีเห็นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นแน่นอนใช่ไหม (ใช่) ๒ อย่างเหมือนกันไหม เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็นเหมือนกันหรือเปล่า (ต่างกัน) อะไรเป็นธรรม (ทั้ง ๒ อย่างเป็นธรรม) ต่างกันหรือเหมือนกัน (ตอบว่าเหมือนกัน)

- เห็นอะไร (สี) สีเห็นอะไรหรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วสภาพเห็นเห็นได้ไหม (ได้) แล้วสภาพเห็นไม่เห็นได้ไหม (ไม่ได้) รู้ไหมว่า พูดอย่างนี้เพื่อให้ไม่ลืมที่จะคิดและเข้าใจเห็นและสิ่งที่ถูกเห็น (คุณฮาจิบอกว่า เราพูดถึงธรรมเพื่อให้เข้าใจว่า ธรรมแต่ละอย่างที่เกิดแล้วล้วนมีหน้าที่ของตนจะเปลี่ยนเป็นหน้าที่อื่นไม่ได้)

- ดิฉันหมายความว่า การที่เราพูดเรื่องเห็นทุกครั้งบ่อยๆ เพื่อจะได้ไม่ลืมที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจเห็นจนกว่าจะรู้ว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น

- เห็นเกิดหรือเปล่า (เกิด) เห็นดับหรือเปล่า (ดับ) เห็นเกิดแล้วดับเป็นอริยสัจธรรม ทุกขอริยสัจจะ (อะไรที่เกิดดับเป็นทุกขอริยสัจจะ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า “คิด” หรือ “ เห็น” สภาพธรรมเกิดดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจักษ์เห็นเกิดดับหรือว่าคิดเห็นเกิดดับ

- นอกจากพระพุทธเจ้าคนอื่นรู้อย่างนี้ได้ไหม (ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าคนอื่นจะมาคิดว่า เห็นเกิดดับ เป็นไปไม่ได้) ไม่ใช่เพียงคิด สามารถที่จะรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ไหม (ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ ความจริงของสิ่งที่มีจริงจะมาจากความคิดไม่ได้)

- แล้วถ้าเมื่อเข้าใจแล้วจะรู้แจ้งหมือนพระพุทธเจ้าได้ไหม (หมายความว่าเมื่อรู้แจ้งก็จะรู้จักพระพุทธเจ้าใช่ไหม) ไม่ได้มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่รู้แจ้งอริยสัจจะ พระสาวกทั้งหลาย พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะต้องรู้แจ้งอย่างนี้ไม่อย่างนั้นดับกิเลสไม่ได้

- (ขอข้ามไปก่อนเพราะยากที่จะแปล) ขันติบารมี เมตตาบารมี ทำเท่าที่จะทำได้ อย่างไรเขาก็ต้องเข้าใจ ลองถามสั้นๆ ง่ายๆ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีใครรู้แจ้งความจริงอย่างนี้หรือเปล่า (รู้ได้ถ้าได้ฟังธรรมก็สามารถที่จะตรัสรู้)

- ดร.ราเชสสามารถจะรู้ได้ไหม (วันนี้ยังตรัสรู้ไม่ได้ก็อบรมเจริญปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อยวันหนึ่งก็สามารถตรัสรู้ได้) อดทนพอไหมที่จะพูดถึงเห็นบ่อยๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เราต้องอดทนที่จะเรียนให้เข้าใจทีละคำ (อดทนฟังไปเรื่อยๆ ไม่หยุดฟังจนกว่าจะตรัสรู้) เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ในชีวิตที่สุด มีค่าที่สุดในชีวิตใช่ไหม (ใช่)

- วันนี้ขอให้ดร.ราเชสคิดถึงความต่างกันของเห็นกับสิ่งที่ถูกเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมดให้รู้ว่าเป็นธรรมแต่เป็นธรรมที่ต่างกันเพราะปัจจัย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 19 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของน้องฮาจิ ตลอดจนถึงน้องๆ ชาวเนปาล
และทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่ง
ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ