Thai-English-Hindi 26 October 2024

 
prinwut
วันที่  26 ต.ค. 2567
หมายเลข  48781
อ่าน  208

Thai-English-Hindi 26 October 2024


- (นิพพานเป็นอายตนะไหม) ต้องเข้าใจก่อนว่านิพพานคืออะไร ไม่ใช่เพียงรู้ว่านิพพานเป็นอายตนะหรือไม่ ถ้าไม่มีความเข้าใจนิพพานเลยจะรู้ไหมว่าเป็นอายตนะหรือไม่เป็นอายตนะ (จริงตามนั้น)

- เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีมากแค่ไหนแม้เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แล้วไปพยายามเข้าใจนิพพานจะเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) นี่เป็นเหตุให้ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เพื่อเข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเดี๋ยวนี้มี ไม่ใช่นิพพาน

- ทำไมถึงอยากเข้าใจหรืออยากถึงนิพพาน ไม่ว่าจะกล่าวถึงสิ่งใดมากแค่ไหนถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏจะรู้ได้ไหม เดี๋ยวนี้มีความไม่รู้ไหม (มี) อย่าเพิ่งรีบด่วน ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรองธรรมมากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่นิพพานแล้วคืออะไรที่กำลังมี (ขณะนี้มีอวิชชา มีเห็น มีสิ่งอื่นมากมายด้วย)

- เพราะฉะนั้นนิพพานหมายถึงอะไร (จริงว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีนิพพานแต่มีสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายขณะนี้ ถ้าท่านอาจารย์ไม่กล่าวให้ฟัง แล้วใครจะกล่าว) ดิฉันจะกล่าวเพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- คิดว่าจะเข้าใจนิพพานได้ไหมในเมื่อนิพพานยังไม่ได้ปรากฏเดี๋ยวนี้ (ไม่ได้) นี่จึงเป็นสัจจบารมีที่มั่นคงต่อความจริง เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร (เพื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่กำลังมีเพื่อเข้าใจธรรม)

- เพราะฉะนั้น คนที่อยากจะรู้นิพพานโดยที่ไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้อะไร ถูกหรือผิด (ผิด) สิ่งนี้สำคัญมากเพราะเป็นหัวใจของการฟังพระธรรมเพื่อละความไม่รู้และอกุศลทุกประการ

- เพราะฉะนั้นขณะที่ถึงที่สุดไม่มีอะไรเกิดอีกเลยมีไหม เห็นถึงการที่มีค่าอย่างยิ่งของอกุศลธรรมทุกประการที่ไม่เกิดอีกเลยไหม ดีกว่าที่จะเพียงรู้ความหมายของนิพพานไหม เพียงรู้ว่า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นทุกอย่างไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นฟังเพื่อสิ่งนี้ใช่ไหม ไม่ใช่เพียงเข้าใจความหมายของคำว่า “นิพพาน” แต่เป็นหนทางที่จะถึงจะนั้นที่จะเป็นไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอีกเลย

- เพราะฉะนั้นมีใครเห็นถึงความติดข้องต้องการบ้าง ติดทุกอย่างแม้แต่คำว่า นิพพาน (สำคัญมากและควรเข้าใจด้วย) เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่า ถ้ายังไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจอะไรเลยในชีวิต

- ใครจะรู้ว่า นี่เป็นหนทางเดียวที่จะเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ หรือการละความติดข้องในธรรมทั้งกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีปัจจัยให้ธรรมใดเกิดขึ้น ธรรมนั้นต้องเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นการเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นโทษและค่อยๆ ละความคิดที่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเป็นหนทางที่จะค่อยๆ เข้าใจชัดเจนว่า อะไรคือนิพพาน

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่กว่าที่จะตรัสรู้ความจริงรวมทั้งนิพพาน (นานจนนับไม่ได้) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจเท่านั้นเป็นเพียงหนทางเดียวที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งที่จะค่อยๆ อบรมความเข้าใจที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุของอกุศลธรรมทุกประการ จริงไหม

- (ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นไม่ว่าจะอบรมยาวนานแค่ไหน) นี้คือความหมายของคำว่า “ภาวนา” หนทางที่ความเข้าใจถูกเริ่มต้นและค่อยๆ เจริญขึ้นยาวนานเหมือนอุปมาเหมือนการจับด้ามมีด นี่เป็นหนทางที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ที่เป็นเหตุของอกุศลทุกอย่างใช่ไหม ถ้ารีบด่วนที่จะไปอ่านพระธรรมคำสอนและพยายามที่จะไปรู้คำต่างๆ เป็นการไม่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ใช่ไหม

- สบายใจขึ้นไหมที่ไม่ต้องคิดที่จะไปรู้นิพพานแต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย อะไรจะเป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถ้าไม่ใช่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ตามความเป็นจริง

- เปรียบเทียบขณะที่กำลังคิดถึงนิพพาน ฯลฯ และขณะนี้ที่ไม่ได้คิดที่จะถึงนิพพานแต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะตามปรกติ ตรงและจริงใจที่จะค่อยๆ เข้าใจเป็นการค่อยๆ ละความคิดที่อยากจะให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ปรากฏ ค่อยๆ ลึกลงไป เริ่มที่จะอบรมความเข้าใจถูกที่จะเห็นความลึกซึ้งของธรรม ต้องอบรมเจริญปัญญานานเท่าไหร่ที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 26 ต.ค. 2567

- ตรงและจริงใจที่จะเข้าใจความจริงที่กำลังมีขณะนี้แทนที่จะคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วเป็นประโยชน์ไหม (เป็น) เห็นไหม เข้าใจหนทางที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งซึ่งเป็นหนทางเดียวคือ สัมมาทิฏฐิ อริยสัจจะที่ ๔ ที่หลายคนไม่รู้แล้วพยายามไปทำแทนที่จะเข้าใจความจริง

- รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเข้าใจสิ่งที่พระะองค์ทรงแสดงเพิ่มขึ้นไหม (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมากๆ) เห็นคุณค่าของความจริงไหม (เห็น) ชีวิตดำเนินไปทีละ ๑ ขณะตามเห็นตามปัจจัย ไม่มีใคร ทำอะไรไม่ได้

- เริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีกที่จะไตร่ตรองพิจารณาความจริงของสิ่งที่กำลังมีทีละเล็กทีละน้อยด้วยความไม่ประมาท มีหนทางอื่นไหมที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ (ไม่มีหนทางอื่นนอกจากอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจมีพอหรือยังที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ (ยังไม่พอ) จากนี้ไปหนทางที่จะนำไปสู่ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีตามความเป็นจริงลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้ง) เบาสบายขึ้นไหม (รู้สึกสบายขึ้น) รู้สึกสบายเป็นธรรมไหม (เป็นธรรม)

- ถ้ายังไม่มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยในสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ จะเข้าถึงขณะที่เข้าใจตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกคำว่า ธรรมไม่เที่ยงเกิดขึ้นแล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัยได้ไหม (ถ้ามีความเข้าใจก็จะค่อยๆ เห็นคุณค่าความเข้าใจถูกที่เข้าใจความจริงขณะนี้ซึ่งค่อยๆ เข้าใจตัวจริงของธรรมขณะนี้เพิ่มขึ้น)

- เป็นหนทางเดียวหรือเปล่า (ใช่ นี่เป็นหนทางเดียว) ขณะนั้นเป็นสัจจบารมี มั่นคงไหม (มั่นคง) ไม่ต้องพยายามไปทำอะไรเลยเพื่อจะให้รู้ (ไม่ต้องไปทำอะไร เพียงศึกษาเพียงสนทนาให้เข้าใจเท่านั้น)

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจความจริงเท่านั้นและความเข้าใจนี้เองที่ละความเห็นผิด ความไม่รู้ ความยึดถือ เป็นอธิษฐานบารมีที่ค่อยๆ มั่นคงไม่เปลี่ยน

- มีวิริยะไหม (มี) มีเนกขัมมะบารมีด้วยไหม (เคยได้ยินคำนี้แต่ยังไม่เคยสนทนาเนกขัมมะบารมี) เนกขัมมะ คือ การสละอกุศลทุกอย่างทุกประการและปัญญาเท่านั้นที่ละความติดข้องทีละน้อยขณะที่สละวัตุถุสิ่งของเป็นทาน

- เมื่อเราสำคัญมาก จะสละหรือละความยึดถือในคำพูดต่างๆ ที่คนอื่นพูดถึงเราได้ไหม (การปล่อย คือ การสละหรือการละความไม่รู้และกิเลสอกุศลประการต่างๆ จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีปัญญา มิฉะนั้นก็ละความติดข้องไม่ได้)

- ถูกต้อง ถ้าปราศจากความเข้าใจถูกจะละอกุศลทุกประการได้ไหม (ไม่ได้) คุณอาช่าให้อภัยได้ไหม (อาช่าให้อภัยไม่ได้) เห็นไหม คุณอาช่ามีอกุศล คิดว่า มีอกุศลก็ไม่เป็นไรแต่นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หมายถึงอาช่าให้อภัยไม่ได้เพราะไม่มีอาช่าที่จะให้อภัย) เพราะฉะนั้น อาช่าโกรธความโกรธ (ใช่) เป็นความเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิด เป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษาพระธรรมคำสอนหรือเปล่า (ไม่ใช่)

- เพราะฉะนั้นเป็นธรรมที่รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหนและอะไรเป็นธรรม มิฉะนั้นธรรมก็อยู่ในตำราและจำคำตามตำรา แต่ธรรมจริงๆ มีอยู่ขณะนี้ในชีวิตประจำวัน

- เพราะฉะนั้นธรรมอยู่ไหน (ขณะนี้) ขณะนี้หัวเราะเป็นคุณอาช่าหรือเป็นธรรม (เป็นธรรม) เป็นธรรมอะไร เริ่มต้นใหม่ เริ่มไตร่ตรองใหม่ เริ่มพิจารณาใหม่ เริ่มต้นเข้าใกล้ธรรมที่กำลังมีขณะนี้

- เพราะฉะนั้นเข้าใกล้ธรรมหรือยัง หรือยังห่างไกลมากทั้งๆ ที่มีธรรมอยู่ใกล้มากเดี๋ยวนี้ (มีธรรมอยู่ใกล้แต่ห่างไกลจากความเข้าใจมากๆ) จึงศึกษาเพื่อเข้าใจความจริง เป็นปรมัตถธรรมมีอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้จักเลย

- เพราะฉะนั้นพระธรรมคำสอนที่แสดงความจริงเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ เข้าใกล้ความจริงในขณะที่กำลังมีความจริงนั้น (หมายถึงอริยสัจจะหรือพระอริยะ) อริยสัจจะคืออะไร ทุกคำต้องชัดเจน ศึกษาทีละคำเพื่อเข้าใจแต่ละคำจริงๆ เพราะลึกซึ้ง (อริยสัจจะคือ ความจริงอันประเสริฐ)

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 26 ต.ค. 2567

- เห็นเดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจจะไหม (เป็น) เห็นเป็นคุณอาคิ่ลหรือเป็นใครหรือเปล่า (ไม่ใช่แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ) เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่เริ่มเข้าใจความจริงก็เป็นธรรม (ถูกต้อง)

- ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ยังไม่มีความเข้าใจความจริงของธรรมจริงๆ เลย ดังนั้นเมื่อยังไม่เข้าใจตัวจริงของธรรมจึงค่อยๆ อบรมด้วยความไม่ประมาทที่จะเข้าใจพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งว่าแต่ละคำมีความหมายที่ลึกซึ้งและไม่ใช่เรา

- เริ่มต้นที่จะศึกษาไตร่ตรองพิจารณาเพื่อเข้าใจความจริงว่า แม้ธรรมที่กำลังมีขณะนี้ก็ยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง และนี่เป็นหนทางที่จะเคารพสูงสุดต่อผู้ที่ทรงตรัสรู้และทรงเกื้อกูลเหล่าสาวกด้วยพระปัญญาคุณและพระมหากรุณาที่ค่อยๆ ฟังด้วยความไม่ประมาทเพื่อค่อยๆ เริ่มเข้าใจพระคุณของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีทั้งปวง

- เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะพิจารณาแต่ละคำของพระองค์ด้วยความเคารพสูงสุด และขณะนี้เริ่มเข้าใจความจริงด้วยความไม่ประมาทซึ่งเป็นขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์

- เพราะฉะนั้นยิ่งละเอียดรอบคอบเท่าไหร่ก็เคารพในพระคุณของพระองค์เท่านั้นแต่ถ้าฟังผ่านไปๆ ไม่พิจารณาไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบก็ไม่มีวันรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเห็นเดี๋ยวนี้ไหม (ทรงแสดง) แล้วเข้าใจเห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แค่ไหน (น้อยมาก) ยังห่างไกลมากจากการที่จะประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นหนทางที่จะเข้าใจพระคุณองค์ หนทางที่จะเคารพพระองค์คือ ขณะที่เริ่มเข้าใจ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจเห็นที่กำลังมีเพิ่มขึ้นๆ การฟังพระธรรมคำสอนก็ไร้ประโยชน์

- ไม่ว่าจะฟังเรื่องเห็นมามากแค่ไหนแต่ยังไม่มีความเข้าใจเห็นขณะนี้ก็ยังไม่เข้าใจธรรม หนทางเดียวที่จะเริ่มต้นที่จะเข้าใจเห็นคือ การสนทนาเรื่องเห็นเพื่อไม่ให้ลืมความจริงของเห็นและนี่เป็นหนทางเดียวที่จะเข้าใจความหมายที่พระองค์ทรงแสดงอริยสัจ ๔ สามรอบ

- มีเห็นทั้งวัน มีเห็นตลอดสังสารวัฏฏ์แต่ไม่มีความเข้าใจเห็นถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงเรื่องเห็น เห็นมีจริง เห็นเป็นธรรม เห็นเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับ แต่ไม่มีความเข้าใจเห็นที่มีตั้งแต่ตื่นนอนจนบัดนี้

- อ่านพระไตรปิฏกทุกฉบับ ฟังทุกคำในพระไตรปิฏกแต่ไม่มีความเข้าใจคุณค่าของความเห็นถูกเข้าใจถูกในความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ก็ไร้ประโยชน์

- เพราะฉะนั้นขณะนี้มีค่าอย่างยิ่งที่จะสนทนาแล้วสนทนาอีกเพื่อให้ไม่ลืมความจริงของเห็น เราได้ยินเรื่องสติมาแล้ว เห็นไหม สติคืออะไร ขณะนี้รู้จักสติไหม ขณะที่กำลังค่อยๆ พิจารณาลักษณะของสติทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่มีสติเกิดขึ้นทำกิจย่อมเป็นไปไม่ได้

- ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิดขึ้นต้องมีสติที่ระลึกเป็นไปในกุศล มีความเข้าใจถูกแม้เพียงเล็กน้อยหรือเปล่า นั่นไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเป็นสติที่ระลึกถึงคำถึงความหมายของพระธรรมคำสอน และความเข้าใจถูกไม่ใช่สติ แต่ถ้าปราศจากสติความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยก็เกิดขึ้นไม่ได้

- ค่อยๆ เริ่มรู้ ค่อยๆ เริ่มเข้าใจธรรมแต่ละ ๑ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่พูดถึงเลยไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังเดี๋ยวนี้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่สนทนาถึงสิ่งที่กำลังมีในชีวิตประจำวันจะรู้จักธรรมที่กำลังมีว่าไม่ได้อยู่แต่ในตำราได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงอริยสัจจธรรมขั้นไหน (ขณะนี้กำลังพูดถึงอริยสัจจะที่ ๔) ไม่ใช่ หมายความว่าทรงแสดงอริยสัจจะ ๓ รอบ รอบที่ ๑ คือ การศึกษาในขั้นฟัง พิจารณา ไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบจนกระทั่งเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องราวของธรรม

- (เรื่อง ๓ รอบหมายถึงปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ใช่ไหม) เพราะฉะนั้นต้องละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง เรากำลังพูดถึงอริยสัจจธรรมจึงต้องศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของธรรมก่อน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 26 ต.ค. 2567

- เพราะฉะนั้น เริ่มใหม่ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ไม่มีอาช่า ไม่มีอาคิ่ล ไม่มีสุจินต์ ไม่มีตรัสวิน สนทนาแล้วสนทนาอีก เริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีกเพื่อเข้าใจว่าอะไรจริงเพื่อรู้ว่า เปลี่ยนความจริงไม่ได้เลย สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมและความจริงของสิ่งที่มีคือ สัจจธรรมเปลี่ยนไม่ได้

- ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นอนัตตาเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปทันที เพราะฉะนั้นมั่นคงในสัจจธรรมไม่มีใครเปลี่ยนได้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยเป็นอนัตตาเป็นสุญญตา

- ตราบใดที่สภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ก็เป็นเพียงความเข้าใจในขั้นการฟังเรื่องของเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้เกิดไหม (เกิด) รู้ว่ามีเห็นแต่เห็นก็ยังไม่ได้ปรากฏใช่ไหม (ใช่) นี่คือรอบที่ ๑ ของอริยสัจจ์ ๔ ซึ่งความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ในขั้นฟังจะเป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงของพระอริยะที่กำลังเกิดขึ้นแล้วดับไป

- สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดได้อย่างไร ไม่มีใครหยุดยั้งได้แต่เพราะความไม่รู้และความติดข้องยินดีพอใจในสิ่งที่เกิดเป็นปัจจัยให้ติดข้องเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นจึงมีธรรมเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นๆ ตลอดเพราะความติดข้องนั้นเป็นเหตุเป็นอริยสัจจะธรรม

- เพราะฉะนั้นความติดข้องเป็นอริยสัจจะที่ ๒ เพียงฟังเพียงเข้าใจแต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง และอริยสัจจะที่ ๓ คือความดับอกุศลจนหมดสิ้นไม่กลับมาเกิดอีกเลย เป็นไปได้ไหม (เป็นไปได้ที่จะไม่เกิดอีก) เพราะฉะนั้นความเข้าใจอริยสัจจะที่ ๔ รอบที่หนึ่ง มีหนทางไหมที่จะถึงเป้าหมายที่จะไม่มีเหตุให้อกุศลเกิดอีกเลย (ขณะนี้ยังไม่มีหนทาง)

- หนทางคืออะไร หนทางเดียว (ต้องเป็นความเข้าใจถูกที่เพิ่มขึ้นๆ ที่จะเป็นหนทางละอกุศล) เพราะฉะนั้นความเข้าใจเดี๋ยวนี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ ชัดเจนขึ้นๆ จะมีหนทางอื่นไหมที่จะถึงความประจักษ์แจ้งความจริงที่กำลังเกิดดับขณะนี้

- มั่นคงไหม นี่คือความเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ รอบที่หนึ่งเป็นขั้นปริยัติ มีความคิดที่จะพยายามไปรู้ธรรมโดยไม่มีความเข้าใจไหม (ไม่มีทาง) มีใครอยากประจักษ์แจ้งนิพพานไหม (ขณะนี้ ความเข้าใจระดับนี้เป็นไปไม่ได้)

- มั่นคงไหม (มั่นคง) เป็นสัจจบารมี อธิษฐานบารมีและขันติบารมี วิริยะบารมีและเนกขัมมะบารมี

- สติเป็นธรรมไหม สติเกิดขึ้นตามใจได้ไหม พยายามให้สติเกิดขึ้นได้ไหม (พยายามให้สติเกิดไม่ได้) เป็นความมั่นคงในสัจจะเพิ่มขึ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจในขั้นนี้ก็ไม่มีปัจจัยที่จะให้ความเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ รอบที่สองเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นอริยสัจจะ ๔ รอบที่สองคืออะไร การกล่าวถึงเห็นไม่ใช่การรู้ตรงเห็น ขณะนี้เรากล่าวถึงเห็น กล่าวถึงความจริง กล่าวถึงลักษณะ กล่าวถึงขณะนี้ของเห็นแต่ยังไม่ถึงเฉพาะเห็นจริงๆ

- ถ้าไม่มีสติที่ระลึกถึงเฉพาะลักษณะของเห็นที่กำลังมี จะมีความเข้าใจเห็นที่มีจนเห็นการเกิดแล้วดับของเห็นได้อย่างไร ถูกต้องไหม (ถูกต้อง) ค่อยๆ มั่นคงขึ้น (มั่นคง) เป็นบารมีหนึ่งขณะเพิ่มขึ้นอีกนิดเป็นปัจจัยให้สัมมาสติถึงเฉพาะลักษณะของเห็นที่ไม่ใช่เรา

- เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังศึกษาธรรมใช่ไหม (ไม่ใช่ แต่ขณะนี้กำลังมีความพยายามที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรม) ถ้าไม่มีการฟัง การไตร่ตรองพิจารณาในรอบที่ ๑ จะมีความเข้าใจรอบที่ ๒ ที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร จึงต้องมีความรู้ในอริยสัจจธรรม ๔ สามรอบ จริงไหม (จริง) ไม่เปลี่ยนใช่ไหม (ไม่) เท่าที่เข้าใจได้แต่ยังต้องเข้าใจใจอีกมากเพราะยังไม่รู้อีกมาก

- เพราะฉะนั้นเข้าใจถูกว่า ความเข้าใจในอริยสัจจะ ๔ รอบที่หนึ่งคืออย่างไร และเข้าใจทั้งสามรอบ แม้ขณะที่กำลังพูดถึงเห็นก็ต้องมีความเข้าใจเห็นที่กำลังมีเป็นการศึกษาที่ค่อยๆ เริ่มเข้าใจตัวจริงของเห็นที่กำลังมีกำลังปรากฏ การศึกษาธรรมคือ เข้าใจความจริงว่า แต่ละขณะคืออะไร เช่น ขณะที่กำลังเห็น เริ่มเข้าใจว่าเห็นคืออะไร ไม่ใช่เพียงอยู่ในตำรา

- ธรรมมีอยู่ทุกที่เพราะทุกขณะเป็นธรรม เข้าใจความจริงว่า ธรรมไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม เรากำลังศึกษาสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ไม่ใช่ศึกษาเพียงคำแต่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมี

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 26 ต.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรม เข้าใจการศึกษาธรรม ไม่ใช่เพียงในตำรา ไม่ใช่ศึกษาเพียงคำแต่มีจริงๆ ขณะนี้มีเห็น มีได้ยินเป็นธรรม ศึกษาความจริงของสิ่งที่มีเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเข้าใจสิ่งที่มีที่เกิดดับเป็นอริยสัจจะที่ ๑

- (ขอให้ท่านอาจารย์กล่าวอีกครั้ง) เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมถ้าไม่ความเข้าใจว่าธรรมอยู่ไหน อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้จะชื่อว่าศึกษาธรรมไหม (ขณะนี้ต้องเข้าใจเห็นก่อนจึงจะรู้ว่าอะไรกำลังปรากฏขณะนี้ ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ โดยรู้ลักษณะและกิจหน้าที่ของสิ่งนั้น มากกว่าที่จะอ่านสิ่งนั้นในหนังสือ)

- เพราะฉะนั้นการอ่านก็คือการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เสมือนการที่ไปเฝ้าอยู่ต่อหน้าพระพักตร์และฟังคำของพระองค์เพราะคำที่ได้ฟังที่ได้อ่านก็เหมือนกับคำที่พระองค์ตรัส ยกตัวอย่างเช่น เสียงของคำที่พระองค์ทรงแสดง เช่นคำว่า นาม เพียงคำเดียว มีจริงไหม เป็นเสียงที่เกิดจากการตรัสรู้นานมาแล้ว พูดถึงคำว่า เห็น เป็นคำเดียวกับที่เคยได้ยิน เพื่ออบรมที่จะเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงเห็น หรือไม่ (ทรงกล่าว) ขณะที่ได้ยินคำว่า เห็น เห็นเป็นคำของพระองค์เพื่อเกื้อกูลผู้อื่นตามความเข้าใจที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ มิฉะนั้นใครจะเข้าใจสภาพที่กำลังเห็น เดี๋ยวนี้มีเห็นเพราะมีปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นกำลังเห็นและมีคำว่า เราเห็น แต่ไม่มีความเข้าใจอริยสัจจะที่ ๑ รอบแรก แล้วไม่ควรเข้าใจเห็นเพื่อประจักษ์แจ้งเห็นที่กำลังมีหรือ เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ที่ฟังแล้วฟังอีกฟังแล้วฟังอีกเรื่องเห็นคืออะไร (ยิ่งฟังเรื่องเห็นมากเท่าไหร่เพื่อเข้าใจเห็นเพิ่มขึ้น)

- มีธรรมอีกมากมายแต่กำลังกล่าวถึงเห็นเพียงหนึ่งธรรมจึงฟังเท่าไหร่ก็ไม่พอที่ฟังที่จะได้ยินความจริงที่มีกำลังในขณะนี้ที่กำลังศึกษาธรรม เบิกบานขึ้นไหมที่ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง (รู้สึกสบายใจขึ้นและอยากฟังอีก) เห็นไหม นี่คือความเข้าใจถูก ไม่ประมาทว่าอะไรก็ตามที่ปรากฏสามารถรู้ได้

- และเมื่อมีความเข้าใจเห็นเพิ่มขึ้นก็สามารถที่จะเข้าใจสังขารธรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้ด้วย เมื่อมีความเข้าใจเห็นเพิ่มขึ้นก็สามารถเข้าใจได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกและธรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกทีละน้อยได้ แต่ความไม่รู้ ความติดข้องและอกุศลทุกประการมีมากจึงยากมากที่จะค่อยเข้าเข้าใจที่จะประจักษ์แจ้งความจริง จึงเป็นการอบรมที่ยาวนานเป็นสัจจะที่จะเข้าใจของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

- (ขอให้ท่านอาจารย์กล่าวอีกครั้ง) เมื่อมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นๆ ในเห็น ก็สามารถที่จะมีความเข้าใจในขณะที่กำลังได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ชอบ ไม่ชอบเมื่อมีการพิจารณาไตร่ตรองเพิ่มขึ้น

- เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจเห็นเพิ่มขึ้นก็สามารถที่จะเข้าใจได้ยินและเข้าใจธรรมขณะอื่นๆ ได้เช่นกัน จึงเริ่มจากการเข้าใจเห็นทีละเล็กทีละน้อย เห็นจริงไหม (มีจริง) ได้ยินจริงไหม ได้กลิ่นจริงไหม คิดนึกจริงไหม ชอบจริงไหม เข้าใจธรรมขณะนั้นที่กำลังมี

- เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีเป็นธรรมไม่สงสัย ธรรมแตกต่างกันไหม (แตกต่างกัน) จะเหมือนกันได้ไหม (ไม่ได้) เป็นธรรมอย่างดียวกันได้แต่ไม่เหมือนกันแน่นอน จึงเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย

- เห็นขณะนี้จะเป็นเห็นขณะก่อน เป็นเห็นเดียวกันได้ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่เป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เป็นความจำในสิ่งที่เคยได้ยินแต่ยังไงประจักษ์แจ้งลักษณะที่กำลังปรากฏ

- ต่อจากนี้คุณอาคิ่ลคุณอาช่าสามารถสนทนากัน ดิฉันขอฟัง ค่อยๆ มั่นคงขึ้นในความจริงทีละเล็กทีละน้อยว่า ไม่มีเรา ไม่มีใคร ธรรมเป็นธรรมเล็กน้อยสั้นมากทันทีที่เกิดขึ้นก็ดับไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

- คุณอาคิ่ลสนทนากับคุณอาช่า คุณมธุและทุกท่านที่สนใจที่จะร่วมสนทนาเพื่อฟังความเข้าใจและฟังความคิดเห็นของท่านอื่นๆ (คุณมธุยังไม่เข้าใจคำว่า สติ)

- มีธรรมหลายอย่างหรือมีธรรมอย่างเดียว (มีหลายอย่าง) เช่น (เห็น ได้ยิน รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งหมดเป็นธรรมที่แตกต่างกัน) ถ้าไม่มีความเข้าใจเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ฯลฯ จะเข้าใจสติคืออะไรซึ่งแตกต่างจากเห็นได้ยินได้ไหม (ไม่ได้)

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 26 ต.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทีละหนึ่งเพื่อเริ่มคุ้นเคยกับสิ่งที่มีจริง เช่น สภาพที่กำลังเห็น สภาพที่กำลังให้ สภาพที่ชอบ สภาพที่เป็นอารมณ์ที่น่าพอใจ ฯลฯ ทีละหนึ่งเพื่อเข้าใจว่า ตามความเป็นจริงต้องมีปัจจัยที่เป็นเหตุให้ธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นเพราะไม่มีใครสามารถยิ้มได้ตามต้องการถ้าไม่มีปัจจัยให้ยิ้มเกิดขึ้น ต้องมีปัจจัยที่ยังไม่รู้ที่จึงศึกษาเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงแต่ละขณะ แต่มีปัจจัยให้ธรรมประเภทเดียวกันเกิดขึ้นต่อทีละขณะแล้วดับทันที

- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จากการฟัง พิจารณา ไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครเพราะธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว แล้วจะเป็นของใครได้อย่างไร ค่อยๆ ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยในชีวิตประจำวันเพื่ เข้าใจความต่างของธรรมแต่ละหนึ่งเช่น เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น

- ตั้งแต่เมื่อเช้าจนถึงเดี๋ยวนี้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างไหมในความต่างเห็นแล้วละสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าเราไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมี ด้วยเหตุนี้จึงฟังแล้วฟังอีก เข้าใจเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้เลยว่า ละความไม่รู้ไปแค่ไหนเปรียบเหมือนการจับด้ามมีด เพียงหนึ่งขณะไม่สามารถรู้ได้ว่าด้ามมีดสึกไปเท่าไหร่จนกว่าความสึกนั้นจะปรากฏซึ่งเกิดจากการจับด้ามมืดหลายๆ ขณะ แต่ละขณะของการได้ฟังเรื่องเห็นขณะนี้คืออะไร มิฉะนั้นจะไม่มีการคิดถึงธรรมที่ได้ฟังแต่จะคิดถึงเรื่องอื่นตาที่ได้สะสมมาเป็นเวลานานและตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้

- ด้วยเหตุนี้ศึกษาธรรมโดยความเป็นธรรม ไม่ใช่คน ไม่ใช่ใคร เริ่มเข้าใจความต่างของธรรมแต่ละอย่าง เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ หลากหลายแต่ละหนึ่ง เป็นหนทางที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปตลอด เป็นความเข้าใจอริยสัจจะที่ ๑ จนกระทั่งประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่ความรู้เพียงขั้นการฟังซึ่งไม่พอ

- มีคำถามอะไรไหม (คุณอาช่าพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจมากที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า มีปัจจัยอีกมากมายที่ยังไม่รู้และควรเข้าใจเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเป็นปัจจัยที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีต่อไป) หมายความว่า คุณอาช่าเริ่มสนใจที่จะเข้าใจปัจจัยใช่ไหม (ใช่)

- เข้าใจสิ่งที่มีจริงหรือเข้าใจปัจจัยเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นกล่าวถึงความจริงทีละหนึ่งและปัจจัยที่เป็นเหตุให้ธรรมนั้นเกิดขึ้น ต้องชัดเจนเพราะเหตุว่า ปัจจัยก็มีอยู่ด้วยในขณะนั้น เพราะฉะนั้นเราจะกล่าวถึงสิ่งที่มีเพื่อเข้าใจลักษณะและอะไรปัจจัยของสิ่งนั้น

- (คุณอาช่ากล่าวว่า ขณะนี้มีได้ยิน ได้ยินเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดังนั้นจึงควรเริ่มต้นที่ได้ยินขณะนี้) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า ได้ยินคืออะไรก่อน เราเริ่มต้นกล่าวถึงได้ยิน คิดถึงได้ยินไหม (ขณะที่กล่าวถึงได้ยิน ไม่ได้คิดถึงได้ยินแต่คิดว่ากำลังพูดกับท่านอาจารย์)

- ได้ยินคืออะไร ก่อนที่จะพูดถึงปัจจัยของได้ยิน (ได้ยินเป็นธรรม ได้ยินรู้แจ้งคำที่ได้ยิน) จริงหรือ ได้ยินคำหรือได้ยินอะไร (ถ้าพิจารณาได้ยินอย่างละเอียดรอบคอบ ได้ยินไม่ได้ยินคำแต่ได้ยินเสียง)

- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นใหม่ ได้ยินคืออะไร (ได้ยินเป็นนามธรรม) นามธรรมคืออะไร (เป็นสิ่งที่มีจริงที่เป็นสภาพรู้ที่รู้สิ่งที่ถูกรู้) เพราะฉะนั้นต้องมีสภาพที่มีจริงๆ ที่ถูกรู้โดยนามธรรม ถูกต้องไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นอะไรถูก รู้โดยได้ยิน (เสียง) ถ้าไม่มีเสียงจะมีได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) เสียงเป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่ปัจจัยอื่นแต่เป็นสิ่งที่ถูกได้ยินรู้ ได้ยินเกิดขึ้นรู้เสียง ถ้าไม่มีเสียงได้ยินก็เกิดไม่ได้

- เพราะฉะนั้นเสียงเป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิด ถูกต้องไหม (ถูก) มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย เสียงเป็นปัจจัยอะไร (เสียงเป็นรูป และรูปเกิดขึ้นเพราะมีนามเป็นปัจจัย) ไม่ใช่ ดิฉันกำลังพูดถึงปัจจัยที่ทำให้ได้ยินเพราะเรากำลังพูดถึงได้ยิน เพราะฉะนั้นอะไรเป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดขึ้น (มีหลายปัจจัย ไม่ได้มีปัจจัยเดียว) ช่วยยกมา ๑ ปัจจัย (วิปากปัจจัย อนันตรปัจจัย)

- เราไม่ได้พูดถึงวิบาก เรากำลังกล่าวถึงขณะที่กำลังได้ยิน อะไรเป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดขึ้น (ปัจจัยคือเสียง) เพราะฉะนั้นเสียงเป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิด เรากล่าวทีละปัจจัย เพราะฉะนั้นกำลังกล่าวถึงเสียงเป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดขึ้น ถูกต้องไหม ถ้าปราศจากเสียงได้ยินเกิดไม่ได้ (ถูกต้ง)

- เพราะฉะนั้นเสียงเป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดขึ้นโดยอารัมมณปัจจัย เพราะฉะนั้นขณะใดที่มีสภาพรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏเป็นอารัมมณปัจจัยให้เห็นให้ได้ยินสิ่งที่ปรากฏ เห็นไหม อารัมมณปัจจัยมีอยู่ทุกขณะในชีวิตประจำวันตลอดเวลายาวนาน

- เมื่อไรก็ตามที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้เป็นปัจจัยโดยอารัมมณปัจจัย จิตรู้นิพพานได้ไหม (ข้อนี้ต้องระวัง ขอฟังจากท่านอาจารย์ดีกว่า) โลกุตตรจิตรู้นิพพานไหม (คุณอาช่าไม่รู้ว่าโลกุตตรจิตรู้นิพพานหรือไม่ แต่รู้ว่ามีจิต เจตสิก รูป และสามารถเป็นอารมณ์ได้ ขอฟังจากท่านอาจาารย์เรื่องโลกุตตรจิตรู้นิพพาน) คราวหน้านะคะ

- แต่จริงๆ แล้ว สามารถไตร่ตรองได้เพราะเป็นความจริงเปลี่ยนไม่ได้ จิตเป็นสภาพรู้ ถ้านิพพานรู้ไม่ได้ ใครจะรู้ว่านิพพานคืออะไร แล้วโลกุตตรจิตเกิดได้อย่างไร เห็นไหม เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าใจความจริง สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 26 ต.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลคุณอาคิ่ล คุณอาช่า คุณมธุ คุณตรัสวินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน

กราบอนุโมทนาทีมถ่ายทอดผู้บันทึกการสนทนาธรรมทุกท่าน

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในความอนุเคราะห์ตรวจทานครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 26 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่ง
ที่แปลคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ต.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 29 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ