เกิดมาเพื่อรู้ความจริง_สนทนาธรรม ณ บ้านรักศรีรักงาม จ.นครสวรรค์

 
เมตตา
วันที่  28 ต.ค. 2567
หมายเลข  48790
อ่าน  248

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 266

[๖๘๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ ฝนย่อมตกบ่อยๆ ชาวนาย่อมไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อยๆ ยาจกย่อมขอบ่อยๆ ทานบดีก็ให้บ่อยๆ ทานบดีให้บ่อยๆ แล้ว ก็เข้าถึงสวรรค์บ่อยๆ ผู้ต้องการน้ำนมย่อมรีดนมบ่อยๆ ลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อยๆ บุคคล ย่อมลำบากและดิ้นรนบ่อยๆ คนเขลาย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อยๆ สัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อยๆ บุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้าบ่อยๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อยๆ ก็เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก ดังนี้.

อ.อรรณพ: การสนทนาวันนี้ ถ้าสังเกตุ ท่านชัชพัชร์ จะกล่าวคำที่ให้เราคิดว่า ท่านอาจารย์มานครสวรรค์ทำไม?

ท่านชัชพัชร์ปรารภไว้ว่า ท่านอาจารย์เดินทางมานคนสวรรค์ทำไม คำตอบ ก็คือเท่ากับถามว่า เกิดมาทำไม? คงเกิดมาแน่นอน เพื่อที่จะมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึก สลับกับการหลับ

เพราะฉะนั้น เกิดมาเพื่อหลับแล้วก็ตื่นมาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก แต่เกิดมาแค่นี้หรือ? แต่เกิดมาเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง ก็จะเป็นสิ่งที่ท่านได้ปรารภถามเมื่อสักครู่ว่า ที่ท่านอาจารย์แสดงเรื่องเหล่านี้ ซึ่งก็เป็น คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎก และอรรถกถาทั้งสิ้น ถ้าได้ศึกษาในพระไตรปิฎก อรรถกถานะครับ พระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกมากมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง ทรงตรัสทรงแสดงแล้วก็ตรัสถามภิกษุเนืองๆ มากมายในพระไตรปิฎกว่า เห็น (จักขุวิญญาณในภาษาบาลี ภาษาไทย ก็คือเห็น) เห็น เที่ยงไหม? ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า ทูลตอบเช่นนั้นด้วยปัญญาของภิกษุที่ต้องเริ่มรู้จักเห็นก่อน อย่างที่ท่านได้กล่าวว่า เห็น เป็นธาตุรู้สภาพรู้ แล้วเราได้ยินคำว่า จิต แล้วเราก็มาโยงกันว่า ธาตุรู้ คือจิตใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เราจะคิดไปในเรื่องของ คำ ที่เราได้ยินมา เพราะฉะนั้น สมกับที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่า พูดเรื่องธรรม สนทนาเรื่องธรรม แต่ไม่พูดถึงสิ่งที่มีจริง เพราะเรามีตำรา พระพุทธเจ้าตรัสถึง สังคหวัตถุ ตรัสถึงอะไรๆ ฆราสธรรม เราก็จะเอาแต่ละข้อๆ เอามาปฏิบัติ แต่พระองค์ทรงแสดงไว้ทั้งหมด เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจได้เลย ถ้าไม่ฟัง คำ ของพระองค์ด้วยความละเอียดยิ่ง เพราะเป็นปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น เมื่อสักครู่ที่ท่านเรียนสนทนาก็เป็นประโยชน์นะครับ เป็นประโยชน์กับทุกคนมากๆ เลย ประเด็นของท่านว่า ฟังเข้าใจเพื่ออะไร? เพื่อปัญญาใช่ไหม? ใช่ แต่เข้าใจปัญญาแค่ไหน? ปัญญา คืออะไร? ปัญญารู้อะไร? ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า? หรือ ปัญญาเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ถูกไหม? เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

ปัญญา เป็นธรรมไหม? ความเข้าใจมีจริงๆ โต๊ะ เก้าอี้ เข้าใจอะไรไม่ได้ แต่ความเข้าใจถูกเริ่มต้นตั้งแต่เข้าใจ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพที่เข้าใจ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา หรือคำอื่นอีกเยอะ

เข้าใจ ในความหมายที่พระองค์ตรัสแต่ละคำ เพื่อสะสมไป อันนี้ท่านอาจารย์กล่าวบ่อย นี่เป็นรอบที่ ๑ ของการรู้ความจริง ที่เราพูดกัน อริยสัจจ์ ๔ อริยสัจจ์ ๔ อยู่ไหน? ทุกขสัจจ์ ก็คือสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วดับ เห็นเป็นทุกข์ไหม? เห็นเฉยๆ ไม่เจ็บไม่ปวด เป็นทุกข์ไหม? ถ้าเราคิดแบบเดิมๆ ก็ไม่ทุกข์ เพราะเราคิดว่า ทุกข์ คือเจ็บป่วย หรือไม่สบายใจ ทุกข์กาย ทุกข์กายทุกข์ใจ แต่ เห็น นี่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดปุ๊บ ก็ดับปั๊บ เร็วสุดประมาณ แต่มีปัจจัยเกิดอีกเห็นอีก คนละเห็นกัน ขณะนี้ที่เห็นนึกว่าเรามองไปเหมือนเห็นดอกไม้สีม่วง สีชมพู เราเห็นอีก เดี๋ยวกลับมาที่นี่ก็เห็นอีก แต่จริงๆ แล้ว เห็น แต่ละครั้ง เกิดแล้วดับ เกิดแล้วก็ดับแล้ว ทนอยู่ไม่ได้ นี่คือทุกข์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นทุกข์ ก็คือที่กำลังมี กำลังปรากฏ คือสิ่งที่แสนสั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือขั้นฟัง แต่ละขั้นที่จะถึงรอบที่ ๒ แค่จะระลึก ระลึก แค่ที่จะรู้ตรงว่า เป็นสิ่งที่เพียงกระทบตา หรือเป็นสภาพรู้ อันนั้นก็ไม่ใช่ขั้นฟัง แต่เป็นขั้นสมบูรณ์ของการฟังจนกระทั่งเป็นปัจจัยพอที่สติจะระลึก และปัญญาที่จะรู้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ขณะนี้เราเกิดมาเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่มีการได้ยิน คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ประโยชน์ ก็คือรู้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดในแต่ละคำ ถ้าเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เราก็ไม่ต้องศึกษาธรรม ใครๆ ก็รู้ ไม่เห็นลึกซึ้ง แต่เห็นสิ่งที่ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เก้าอี้ แต่สิ่งนั้นมีจริงๆ ที่ละเอียดที่สุด อันนี้ซิยาก นี่แหละพระพุทธศาสนา คือเห็นเพียงสิ่งที่กระทบตา ได้ยินเพียงเสียง เสียงไม่ใช่คน จะเชื่อไหม? เสียงไม่ใช่คน นี่ผมกำลังพูดอยู่นี่ ไม่มีผม ไม่ใช่เสียงผู้ชายชื่ออรรณพอะไรทั้งสิ้น แต่เสียงเป็นเสียง ขณะที่ได้ยินได้ยินเพียงเสียง แต่คิดว่าเป็นคน นั่นคือความคิด คนละขณะ ขณะได้ยินเพียงได้ยินเสียง ไม่มีคนในเสียง ไม่มีเสียงในความเป็นคน เป็นเพียงเสียงเท่านั้นที่ดัง นิดหนึ่ง ก็ละเอียดครับ

ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มที่ ...

เกิดมาเพื่อฟังพระสัทธรรม [อักขณสูตร]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ และกราบยินดีในความดีของท่านพลโทชัชพัชร์ - คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ ด้วยความเคารพค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ