Hindi-English 29 October 2024

 
prinwut
วันที่  30 ต.ค. 2567
หมายเลข  48801
อ่าน  64

Hindi-English 29 October 2024


- (คุณมธุได้ฟังมาว่า ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยเป็นอนัตตาและถามว่า มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เป็นอนัตตาหรือละจากความเป็นอัตตาได้) เห็นไหม ต้องการคำตอบเร็วๆ แล้วมีความเข้าใจอัตตาและอนัตตาเดี๋ยวนี้ไหม อะไรเป็นอัตตา อะไรเป็นอนัตตา

- (ขอฟังรายละเอียดของอัตตาและอนัตตา) อัตตาคืออะไรและอนัตตาคืออะไร (เท่าที่รู้อัตตาคือความเป็นเราและอนัตตาคือตรงข้ามกับอัตตา) เป็นเพียงคำแต่ไม่มีความเข้าใจเลย เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า อัตตา คืออะไร เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นใคร เป็นเก้าอี้ เป็นเตียงหรือเป็นอัตตา

- เดี๋ยวนี้อะไรเป็นอัตตา เดี๋ยวนี้มีอัตตาไหม (อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เรากำลังเห็นเป็นต้น) และอะไรอีกที่เป็นอัตตา (เช่น เรากำลังเห็น นี่เป็นมือถือของเรา เรากำลังเห็นท่านอาจารย์ ที่มีความรู้สึกว่าเป็นเราทั้งหมดเป็นอัตตา)

- ทีละหนึ่ง เดี๋ยวนี้อะไรเป็นอัตตา (ฉันกำลังเห็นเป็นอัตตาเดี๋ยวนี้) “ฉันกำลังเห็น” อะไรจริง (เห็นเท่านั้นที่จริง) เพราะฉะนั้นเห็นจะเป็นเราได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเริ่มไตร่ตรอง พิจารณาเพื่อเข้าใจความหมายว่า อะไรที่เป็นอัตตา ไม่ใช่ฟังชื่อแล้วพยายามไปหา นั่นไม่ใช่หนทางที่จะเข้าใจอนัตตา

- เพราะฉะนั้นคุณมธุกล่าวว่า เห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เห็นเห็นสิ่งที่กำลังถูกเห็นเพื่อมั่นคงขึ้นว่า เห็นจะเป็นเราหรือเป็นใครไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมีเราหรือมีเห็น (ตามความเป็นจริงไม่มีเราแต่โดยทั่วไปก็ยังมีเราเสมอ) เสมอๆ ถ้าไม่มีเห็นจะมีเราไหม ถ้าไม่มีได้ยินจะมีเราไหม (ไม่มี) มั่นคงขึ้น

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (ในขั้นนี้คุณมธุยังไม่มีคำใดหรือความเข้าใจพอที่จะกล่าวถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ด้วยเหตุนี้จึงพิจารณาแต่ละคำให้ละเอียด ไม่ใช่เชื่อตามเพราะความจริงกำลังปรากฏให้พิจารณาขณะนี้ว่าคืออะไร

- เพราะฉะนั้นเข้าใจเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้นทีละน้อยว่า ไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีอาช่า ไม่มีอาคิ่ล ไม่มีคุณจิ๋ว แล้วมีอะไรเดี๋ยวนี้ เมื่อไม่ใช่ใครแล้วคืออะไร (มีธรรมคือสิ่งที่มีจริง) มีธรรมชนิดเดียวอย่างเดียวหรือ (ไม่ มีธรรมหลายอย่าง)

- เพราะฉะนั้นธรรมอะไรที่มีเดี๋ยวนี้ที่รู้ (คิด) “คิด” เห็นได้ไหม (คิดไม่เห็น) เพราะฉะนั้นมีธรรม ๒ อย่างที่ได้พูดถึง มีเห็นและมีคิด มีอะไรอีกที่เป็นธรรม (นอกจากเห็น ได้ยิน มีกระทบสัมผัสด้วย) มีอะไรอีกที่เป็นธรรม (มีอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ความเย็นความร้อน) ทำไมไม่เป็นอัตตา ทำไมเป็นธรรม (ไม่รู้ ไม่สามารถตอบได้)

- จึงต้องเริ่มต้นแล้งริ่มต้นอีก ที่ต้องเริ่มต้นใหม่หมายความว่า เพราะยังไม่มีความเข้าใจใช่ไหม เป็นเหตุให้เริ่มต้นอีกๆ จนกว่าจะมั่นคงขึ้นว่า อะไรเป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นธรรมคืออะไร (ธรรมคือสิ่งที่เกิดแล้วดับ เช่น จิตซึ่งเกิดแล้วดับ เข้าใจเท่านี้) ข้ามผ่านไปถึงคำว่าเกิดดับ แต่ถามว่าธรรมคืออะไร (ไม่สามารถอธิบายได้มากกว่านี้ รู้เพียงว่าถ้าเป็นเรา นั่นไม่ถูก)

- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ตอบคำถามของดิฉันเพื่อรู้ว่ามีความเข้าใจคำว่า ธรรม แค่ไหนไม่ใช่ฟังแล้วตามหรือจำชื่อได้ แต่ความเข้าในในสิ่งที่มีจริงๆ ว่าเป็นธรรม (คุณฮาจิถามคำถามเดิม คุณมธุตอบเหมือนเดิมคือขอฟังเพิ่มอีกเพราะความรู้ยังไม่พอ)

- (คุณมานิชมีความสงสัยเพราะได้ยินคำว่าปัจจัยบ่อย อะไรๆ ก็เพราะเตุปัจจัย แต่ยังไม่รู้เลยว่าปัจจัยคืออะไร) เพราะฉะนั้นฟังดีๆ เดี๋ยวนี้มีอะไร มิฉะนั้นจะรู้จักปัจจัยได้อย่างไร (คุณมานิชไม่ขอตอบตรงๆ แต่ขอตอบเป็นตัวอย่างว่า เดี๋ยวนี้มีความหวังว่าวันหนึ่งจะเข้าใจธรรม นี่คือคำตอบ) ดิฉันก็จะตอบว่า เดี๋ยวนี้มีปัจจัย แล้วคุณมานิชจะทราบไหมว่าอะไร

- (ไม่สามารถเข้าใจได้) คุณมานิชจึงไม่เข้าใจธรรม (คุณฮาจิกล่าวว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรมก็ไม่เข้าใจปัจจัยของธรรม) เดี๋ยวนี้มีปัจจัยไหม หาปัจจัยเจอไหม (ดร.ราเชสกล่าว่า จากการสนทนาหลายๆ ครั้งได้ยินคำว่า ธรรม เข้าใจความหมายของธรรม แต่ไม่เข้าใจว่าปัจจัยของธรรมคืออะไร อะไรเป็นปัจจัย ปัจจัยอยู่ในธรรมหรือไม่ หรือว่าปัจจัยอยู่ข้างหลังธรรม)

- (คุณอาคิ่ลกล่าวเพิ่มว่า ดร.ราเชสมีความสงสัยเหมือนคุณมานิช) เดี๋ยวนี้มีตาไหม (มี) ถ้าไม่มีตาจะมีเห็นไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น ถูกไหม (ถูก) เพราะฉะนั้นตาเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น (ใช่) เข้าใจความหมายของปัจจัยหรือยัง (ที่ยกตัวอย่างมาเข้าใจ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 30 ต.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นใครยังไม่เข้าใจความหมาย ลักษณะและความจริงของปัจจัยบ้าง (ยังไม่เข้าใจลักษณะของปัจจัย) เพราะฉะนั้นก่อนอื่นปัจจัยมีจริงไหม (มีจริง) เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีตาจะมีเห็นไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นตาเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น ถูกต้องไหม

- เพราะฉะนั้นใครยังไม่เข้าใจความหมายของปัจจัย หรือ ปจฺจย ในภาษาบาลี เพราะฉะนั้นใครยังไม่เข้าใจความจริงของปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะความหมายแต่ตัวจริงๆ ของปัจจัย (คุณอาช่าเข้าใจขึ้นว่า ถ้าไม่มีตาเป็นปัจจัยเห็นก็เกิดไม่ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าท่านอื่นจะเข้าใจไหม ขอฟังเพิ่ม)

- เพราะฉะนั้นได้ยิน อะไรเป็นปัจจัยของได้ยิน (คุณมานิชเข้าใจว่าหูเป็นปัจจัย และขอฟังเพิ่มอีก) คุณมานิชอยากเข้าใจทุกๆ อย่างซึ่งทั้งละเอียดและลึกซึ้งเลยหรือ (ใช่) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ทรงแสดงพระธรรมนานเท่าไหร่ ๔๕ พรรษา กี่คำ

- (ดร.ราเชสกล่าวว่า ผู้ที่ทรงมีพระปัญญาสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) แล้วจะเป็นผู้ที่ตรัสรู้ได้อย่างไร ใช้เวลานานเท่าไหร่ ๑ วัน ๒ ปี หรือเท่าไหร่ ฟังคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร ประมาทพระปัญญาคุณขอพระองค์หรือเปล่า เคารพสูงสุดในพระคุณอันสูงยิ่งของพระองค์ที่ทรงประจักษ์แจ้งแทงตลอดความจริงซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จะเคารพพระองค์อย่างไร

- พระธรรมคำเดียว ทรงใช้เวลานานแสนนานที่จะทรงประจักษ์แจ้งความจริงแล้วเราฟังเพียงคำเดียว เข้าใจแค่ไหน ความเข้าใจเดี๋ยวนี้เปรียบได้แค่เพียงฝุ่นผงธุลีเมื่อเทียบกับความไม่รู้ที่สะสมมามากมายมหาศาล

- เพราะฉะนั้นแค่คำเดียว พิจารณาไตร่ตรองว่า เข้าใจในคำนั้นแค่ไหนและคำนั้นคือ ธรรม ถ้าปราศจากอภิธรรมพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เริ่มเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยสามารถตรัสรู้ได้เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีจริงๆ เป็นธรรมเป็นอนัตตา

- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นแล้ว เริ่มต้นอีก เริ่มต้นอีกๆ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพิ่มขึ้นๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไรมากแค่ไหน จะถามอีกกี่คำถาม ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ ว่า เป็นธรรมตั้งแต่เดี๋ยวนี้

- มีใครรู้จักธรรมก่อนที่จะได้ฟังคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นแค่คำเดียว “ธรรม” ง่ายไหมที่จะเข้าใจหรือประจักษ์แจ้งในคำนี้หรือยาก (ยากมากๆ)

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่พูดถึงธรรม (คุณมานิชถามว่า เมื่อท่านอาจารย์กล่าวว่า ธรรม ท่านอาจารย์หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ หรือท่านอาจารย์หมายถึงบัญญัติ) ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มใหม่อีกครั้ง ธรรมคืออะไร (ตอนนี้เข้าใจความสำคัญของธรรมแล้วและขอให้ท่านอาจารย์กล่าวเพิ่มอีก)

- อยากได้คำเพิ่ม แต่เมื่อคุณกล่าวว่า คุณเข้าใจธรรม หมายความว่าอย่างไร หรือว่ายังไม่เข้าใจธรรมเลย (เมื่อมีคนถามคุณมานิชก็ตอบด้วยความจริงใจว่ายังไม่เข้าใจธรรม) เพราะฉะนั้นความสำคัญไม่ได้อยู่เข้าใจเพียงคำหรือความหมายของคำว่า ธรรม แต่เข้าใจว่าคืออะไร สิ่งนี้สำคัญที่สุด

- คำแรกที่ควรเข้าใจคือคำว่า ธรรม มิฉะนั้นไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นใคร เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้นกรุณาตอบด้วยว่า ธรรมคืออะไร (สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม)

- ยกตัวอย่าง (คุณมานิชรู้เพียงเท่านี้ว่า สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมและขอฟังเพิ่ม) เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรจริง (สิ่งที่คุณมานิชเห็นมีจริงและสิ่งนั้นเป็นธรรม) ยกตัวอย่าง อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม (คุณมานิชยังไม่มีความเข้าใจอะไรเลย) พูดมาหลายคำ แต่ธรรมเดียวเพียง ๑ ธรรม

- (คุณมานิชไม่เข้าใจเลย) เห็นไหม ทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อไม่เข้าใจธรรม จะเข้าใจปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นไม่ประมาทในความละเอียดความลึกซึ้งของความเข้าใจสิ่งที่มีจริงเพราะว่า ขณะนี้มีธรรมมากมายแต่ละหนึ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรม

- เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตรงต่อความจริงว่าเดี่ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง ถ้าปราศจากความตรงต่อความจริงไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ และนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะประจักษ์แจ้งความจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 30 ต.ค. 2567

- ตามปรกติคนส่วนใหญ่อยากสนทนาธรรมแต่ไม่เข้าใจว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจธรรม อยากจะสนทนาเรื่องปัจจัย เรื่องปฏิจสมุปบาท ฯลฯ แต่ไม่เข้าใจธรรม เช่น พูดคำว่า ปัจจัย แต่ไม่มีความเข้าใจปัจจัย และสนทนาธรรม กล่าวธรรมแต่ไม่เข้าใจธรรม ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรคือพุทธ อะไรคือธรรม อะไรคือสงฆ์

- เพียงกล่าวคำว่า ขอมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งโดยไม่ศึกษาไม่ฟังพระธรรมคำสอนของพระองค์เลย เคารพพระองค์หรือเปล่า เพราะฉะนั้นความจริงคือเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยสะสมจนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงถึงความเป็นพระอรหันต์

- พระอรหันต์เข้าใจธรรมไหม (เข้าใจ) และผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์เข้าใจธรรมหรือไม่เข้าใจธรรม (ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็เข้าใจธรรมได้) เขาเข้าใจเท่ากับพระอรหันต์หรือเปล่า (ไม่) ผู้นั้นสามารถเป็นพระอรหันต์ได้ไหม (ถ้าผู้นั้นเข้าใจพระธรรม ไม่รีบด่วนด้วยความประมาทก็สามารถถึงความเป็นพระอรหันต์ได้)

- ไม่ใช่ถึงได้ด้วยเพียงแค่ขั้นฟังแต่ต้องเข้าใจความจริงด้วย เพราะฉะนั้นเบื้องต้นคือฟังธรรม ไตร่ตรองธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมคืออะไร ต้องค่อยๆ เข้าใจชัดเจนขึ้นๆ มั่นคงขึ้นๆ ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นว่าอะไรเป็นธรรม

- ช้าไปไหม นานไปไหม หรือว่า นี้เป็นหนทางเดียว (คุณมานิชบอกว่า กำลังอยู่ในหนทาง ที่อยู่ในหนทางเพราะเข้าใจว่าหนทางนี้สำคัญและกำลังดำเนินไปด้วยความเข้าใจในหนทางนี้ด้วยความไม่ประมาท) หนทางนี้ยาวนานไหม ลึกซึ้งไหม ฟังแล้วจะให้เข้าใจทันทีเลยได้ไหม

- (คุณมานิชยอมรับว่าลึกซึ้ง ยาก ต้องค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ เริ่มต้นด้วยการเข้าใจแต่ละคำทีละคำ) เริ่มเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเพื่อค่อยๆ เข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยว่า ธรรมคืออะไร ค่อยๆ มั่นคงตั้งแต่ต้น

- (ดร.ราเชสกล่าวว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้คือเห็น ได้ยิน ลิ้มรส ได้กลิ่น รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกเป็นธรรม แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยต้องค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจปัจจัยที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยให้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ตรงข้ามกับคุณมานิชที่กล่าวว่า สิ่งที่มีจริงที่ยังไม่รู้ซึ่งไม่สามารถรู้ได้เป็นธรรมซึ่งต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ)

- อะไรเป็นธรรม (คุณมานิชตอบเมือนเดิมว่า อะไรที่มีจริงขณะนี้สิ่งนั้นเป็นธรรม) ขอให้กล่าวมา ๑ ธรรม (ยกตัวอย่างเช่น เห็น ได้ยิน….) เพียง ๑ ธรรมเท่านั้น อะไร (เห็น) ทำไมเห็นเป็นธรรม (เพราะแต่ละขณะมีสิ่งที่ปรากฏเพียง ๑ อย่าง ดังนั้นขณะที่เห็นมีสิ่งเดียวเท่านั้นคือ เห็น) แล้วทำไมเห็นเพียงเห็นเท่านั้น ทำไมเป็นธรรม (เพราะเป็นความจริงเดี๋ยวนี้) เพราะว่าเห็นมีจริงๆ ขณะนี้กำลังเห็น เห็นจริงๆ เดี๋ยวนี้ เห็นจึงเป็นธรรม (คุณมานิชเข้าใจแล้วว่า เหตุผลที่เป็นธรรมคือ เห็นกำลังเห็น)

- ใครทำให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้) เริ่มเข้าใจปัจจัย อะไรที่เกิดโดยไม่มีปัจจัย (ไม่มี และคุณอาคิ่ลถามต่อว่า สิ่งที่เกิดต้องมีปัจจัย แต่นิพพานไม่เกิดไม่ดับ แล้วนิพพานต้องอาศัยปัจจัยไหม) นิพพานเกิดไหม (ไม่เกิดแต่ก็ไม่เป็นปัจจัย)

- ปัจจัยที่ทำให้ธรรมเกิดขึ้นถูกดับไม่มีเหลือไม่เกิดขึ้นอีก และนั่นคือความหมายของการปหานกิเลส (แสดงว่า ปฏิจสมุปบาทก็ไม่มีนิพพาน) เพราะเป็นเรื่องของปัจจัยว่า อะไรเป็นปัจจัยแก่อะไรตั้งแต่เกิดจนตายในสังสารวัฏฏ์ การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่นิพพาน

- เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งเป็นสังขารธรรม สังขารธรรมทุกอย่างเกิดแล้วดับ อริยสัจจะที่ ๑ ทุกขอริยสัจจะ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีเรา ไม่มีทางออกไปไหน

- เพราะฉะนั้นเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นสิ่งที่ปรากฏ ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดจะปรากฏไหม นี่คือชีวิตประจำวันที่เกิดดับสืบต่อไม่สิ้นสุดเมื่อไม่มีความเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เป็นเช่นนั้น

- (คุณมานิชถามว่า ไม่ว่าเขาจะหวังอะไร จะอยากได้อะไร เขาเป็นคนสร้างความหวังความต้องการนั้นๆ ขึ้นมาหรือเปล่า) สิ่งที่เกิดขี้นแล้วดับคือ ทุกอย่างที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้หรือเปล่า ความหวังเกิดไหม (คุณมานิชถามว่า ความติดข้องเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาและความติดข้องต้องการ ซ้ำแล้วซ้ำอีก)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 30 ต.ค. 2567

- คุณมานิชเป็นตัณหาหรือเป็นธรรม (เป็นธรรม) ตามเหตุตามปัจจัยเห็นไหม ถ้าไม่มีปัจจัยธรรมเกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก้สังขาร ปฏิจสมุปบาท และสังขารในที่นี้โดยนัยของปฏิจสมุปบาทมุ่งหมายถึง เจตนาที่เป็นกรรม เพราะแสดงถึงชีวิตแต่ละชาติที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตขาติ ส่วนกรรมในชาตินี้ก็เป็นปัจจัยให้เกิดชาติหน้าหรือชาติต่อๆ ไปเรื่อยๆ

- ทั้งหมดเป็นธรรมไหม (คุณมานิชกล่าวว่าท่านอาจารย์มีความสำคัญกับเขามากในหลายเรื่องแต่เขาก็ยังไม่เชื่อในธรรมเพราะยังไม่เข้าใจ เขาเข้าใจคำ เข้าใจความหมายแต่ยังไม่เข้าใจธรรม สำหรับเขาทั้งหมดเป็นบัญญัติ) เพราะเหตุว่ายังไม่มีความเข้าใจธรรมอย่างสมบูรณ์

- (คุณมานิชยังไม่ใจธรรมอย่างสมบูรณ์แม้ธรรมเดียว ควรจะทำอย่างไร คุณอาคิ่ลแนะนำว่า ให้ไตร่ตรองพิจาารณาแต่คุณมานิชขอให้ถามท่านอาจารย์) มีคุณมานิชหรือมีธรรม (ยืนยันว่าไม่มีมานิชแต่มี ๑ ธรรมที่ยังไม่เข้าใจ)

- ไม่ใช่แค่ ๑ ธรรม เห็นเป็น ๑ ธรรม ชอบเป็น ๑ ธรรม ไม่ชอบเป็น ๑ ธรรม อะไรที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่เราเลย ด้วยเหตุนี้จึงมีความเข้าใจตั้งแต่ต้นแต่ยังไม่มั่นคง อะไรที่มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เปลี่ยนไม่ได้จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์

- เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้นในชีวิตประจำวัน สามารถค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีได้เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่า เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย พระองค์ทรงแสดงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ทุกขอริยสัจจะ

- ตราบใดที่ธรรมยังไม่ปรากฏตามความเป็นจริงทีละ ๑​ เกิดแล้วดับไป เป็นการสะสมความเห็นผิดอย่างมหาศาลที่เห็นสิ่งที่ปรากฏมากมายอย่างรวดเร็วเป็นรูปร่างสัญฐาน เป็นหนึ่งสิ่งใด ค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรมทีละเล็กทีละน้อย

- เพราะฉะนั้นค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ศึกษาเพิ่มขึ้นว่า อะไรเป็นธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏขณะนี้เป็นเพียงสีต่างๆ มากมายที่กระทบตา ถูกไหม เพระฉะนั้นสีต่างๆ จะเป็นคนได้ไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาว่า เป็นเพียงสีต่างๆ ที่กระทบตาแล้วดับ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น จริงไหม

- เข้าใจเท่าไหร่ เคารพพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าปราศจากพะองคืใครจะเข้าใจความจริงได้ ต้องมีชีวิตอยู่ความมืดของอวิชชาที่เห็นสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตั้งแต่เกิดจนตาย

- เพราะฉะนั้นเข้าใจขึ้นว่า การศึกษาธรรมคืออย่างไร ไม่ใช่ศึกษาเพียงคำแต่เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยตามความเป็นจริง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด มั่นคงขึ้นไหมว่า อะไรที่มีขณะนี้เป็นไปตามเหตุปัจจัย เข้าใจว่าปัจจัยหมายความว่าอะไร เมื่อธรรมเกิดขึ้นแล้วดับทันที มีปัจจัยให้เกิดทันที่เกิดเกิดแล้วดับทันที่ไม่ใช่คนไม่ใช่ใครเลย

- วันนี้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นในขณะที่ระลึกถึงพระมหากรุณา พระองค์ทรงโปรดทุกสรรพสัตว์ให้พ้นจากสังสารวัฏฏ์ อริยสัจจะที่ ๑ เป็นทุกขอริยสัจจะเท่านั้น ไม่ใช่ใคร เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อไม่สิ้นสุด

- สิ่งที่ปกปิดสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ สามารถที่จะถูกเปิดเผยทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจสภาพธรรมทีละหนึ่งว่า ไม่มีใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เที่ยงเลย

- เพราะฉะนั้นมีคุณมานิชไหม (ไม่มี) นี่เป็นการเริ่มต้นที่จะเข้าใจมั่นคงจนกว่าความเข้าใจจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ชัดเจนขึ้นจนปรากฏตามความเป็นจริงแล้วดับไป ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔​ สามรอบ

- เพราะฉะนั้นอริยสัจจธรรมมีเท่าไหร่ (มี ๔) ได้แก่อะไรบ้างทีละหนึ่ง (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อยว่า ทุกข์คือะไร ทุกข์เป็นอริยสัจจะที่ ๑ ทุกขอริยสัจจะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 30 ต.ค. 2567

- อริยสัจจะรอบที่ ๑ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้มีอริยสัจจะที่ ๑ ไหม (มีทุกข์) เดี๋ยวนี้มีไหม (เดี๋ยวกำลังมีทุกข์ เกิดแล้วดับ) แต่ไม่ใช่รอบที่ ๒ ที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งด้วยสติและปัญญา

- (อะไรที่เกิดต้องดับ) แล้วความเข้าใจหล่ะ จริงไหม (จริง) จึงเริ่มเป็นปัญญาในอริยสัจจะรอบที่ ๑ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงสรุปว่ามีธรรมที่เกิดแล้วดับแต่ต้องเป็นปัยยาที่ถึงตรงลักษระของสภาพธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย

- นี่เป็นเหตุที่พระองค์ทรงแสดงธรรม ๔๕​ พรรษาเพื่อให้เข้าใจความจริงมั่นคงขึ้นเพื่อความเข้าใจอริยสัจจะรอบที่ ๒ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงในความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ที่เกิดแล้วดับ จะมีทางอื่นไหมที่จะเข้าใจความจริงและอะไรคือหนทางและอะไรคือรอบที่ ๒ ไม่ใช่เพียงชื่อ

- เพราะฉะนั้นรอบที่ ๒ คืออย่างไร รอบที่ ๑ คือรอบรู้มั่นคงในทุกคำที่เป็นพระพุทธพจน์เป็นปริยัติ และปริยัติไม่ได้หมายความว่า เข้าใจเพียงอริยสัจจะแรก ทุกขอริยสัจจะ เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจอริยสัจจะทั้ง ๔​ ชัดเจนเพื่อเป็นปัจจัยแก่ปัญญาในระดับที่สูงขึ้น

- ถูกต้องไหม ลองพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่ตามคำไปเลย แต่มีความมั่นคงว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจในอริยสัจจ์รอบที่หนึ่งขั้นปริยัติไม่ใช่เฉพาะอริยสัจจะที่ ๑ แต่มั่นคงในขั้นปริยัติในอริยสัจจ์ทั้ง ๔

- เพราะฉะนัันตอนนี้เราอยู่ในขั้นไหน ขั้นปริยัติหรือขั้นอะไร (อย๔่ในขั้นที่เล็กน้อยมากๆ) นี่เป็นปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นความลึกซึ้งของพระธรรมคำจริง เเมื่อความเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยนเป็นสัจจบารมี

- เพราะฉะนั้นถ้าความเข้าใจยังไม่มั่นคงพอ บางคนก็อาจจะเปลี่ยนเพราะหนทางนี้ลึกซึ้งมาก ละเอียดมาก ยากมาก จึงหันไปหาทางอื่น ไม่เป็นสัจจบารมี

- คุณมานิชจะเปลี่ยนไปทางอื่นไหม (ไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเปลี่ยน) นี่เป็นสัจจบารมีขึ้นอยู่กับความเข้าใจว่ามั่นคงแค่ไหน เพราะฉะนั้นขณะไหนเป็นขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ (ขณะที่เข้าใจธรรม) เห็นไหม จากนี้ไปขณะที่มีค่าที่สุดคือ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

- ขณะที่มีความเขัาใจเป็นขณะที่เกิดขึ้นได้ยากที่สุดใช่ไหม (ใช่เกิดได้ยากที่สุด) เพราะอะไร (เพราะความไม่รู้มีมากจึงยากมากที่จะมีความเข้าใจเกิดขึ้นและธรรมก็ยากมาก ละเอียดลึกซึ้งมาก) มีเหตุผลอื่นอีกไหมทำไมถึงยากอย่างนี้ (เพราะยังไม่มีปัญญาระดับนั้น)

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพราะขาดแต่ปัญญาเท่านั้นแต่เพราะยังมีกิเลสอยู่มาก ความติดข้อง ซึ่งเป็นอริยสัจจะที่ 2 และที่สำคัญที่สุดความไม่รู้เป็นปัจจัยให้ความติดข้องติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ

- เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นกุศลจึงเกิดขึ้นยากมากเพราะสะสมความไม่รู้มากมาก สะสมความติดข้องยินดีพอใจและกิเลสทุกประการ เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันเป็นเครื่องพิสูจน์ เหม่อนสงครามระหว่างกุศลกกับอกุศล และตามปรกติอะไรชนะ เพราะฉะนั้นพระปัจฉิมวาจาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

- แม้คุณความดีเพียง ๑ ขณะก็มีค่าอย่างยิ่งเพราะถ้าขณะใดไม่เป็นกุศบก็เป็นโอกาสที่อกุศลจะสะสมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นปัจจัยให้เข้าใจขณะที่ดีที่สุดในชีวิตคือ มีชีวิตอยู่เพื่อทำดีและเข้าใจธรรม ตามรอยพระบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจริญกุศลท่ามกลางอกุศลเท่าที่จะเป็นไปได้ตามเหตุตามปัจจัย

- เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตไหม เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจธรรมและทำดี เห็นด้วยไหม (เห็นด้วย) ไม่ประมาทอกุศลที่สะสมมามากมายมหาศาล เป็นสิ่งที่เป็นความเศร้าหมองเป็นโทษทุกๆ ขณะที่อกุศลเกิดขึ้น

- ยินดีในกุศลที่เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ มั่นคงขึ้นของทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 30 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างสูง

ยินดีในกุศลผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่าน

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในความอนุเคราะห์ตรวจทานครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 30 ต.ค. 2567

พระธรรมคำเดียว ทรงใช้เวลานานแสนนานที่จะทรงประจักษ์แจ้งความจริงแล้วเราฟังเพียงคำเดียว เข้าใจแค่ไหน ความเข้าใจเดี๋ยวนี้เปรียบได้แค่เพียงฝุ่นผงธุลีเมื่อเทียบกับความไม่รู้ที่สะสมมามากมายมหาศาล


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่ง
ที่แปลคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์ที่สุดครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ