English-Hindi 02 November 2024
English-Hindi 02 November 2024
- (คุณตรัสวินกล่าวว่า มีคำถามที่เกี่ยวกับธรรมอะไร กรุณาถามได้เลย คุณอาช่าถามว่า ขณะนี้กำลังเห็นแต่มีปัจจัยมากมายที่ทำให้เห็น มีปัจจัยอะไรบ้างที่สามารถรู้ได้ในขณะที่กำลังเห็น)
- จุดประสงค์คือเข้าใจเห็นหรือเข้าใจปัจจัยที่ทำให้เกิดเห็น (ขอฟังเรื่องปัจจัยของเห็นด้วย) คุณอาช่าต้องการเข้าใจปัจจัยทุกอย่างไม่ใช่เฉพาะปัจจัยของเห็น ทุกขณะที่เกิดขึ้นต้องมีปัจจัย แต่ถ้าไม่เข้าใจเห็นขณะนี้ก็ไม่เข้าใจว่าปัจจัยหมายถึงอะไร (ใช่)
- เห็นไหม ไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี เพียงอยากรู้ทุกอย่าง อยากรู้เห็น อยากรู้ได้ยินแต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจว่า เห็นไม่ใช่ใครทั้งสิ้น
- ถ้ารู้ว่า เห็นขณะนี้คืออะไร เราก็สนทนาถึงปัจจัยของเห็นได้ เพราะฉะนั้นเห็นคืออะไร เดี๋ยวนี้มีไหม (เห็นมีจริงเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏขณะนี้) ตอบตามหนังสือหรือเปล่า (ไม่ใช่) หมายความว่าคุณอาช่าประจักษ์แจ้งเห็นแล้วหรือ (รู้จักเห็นจากการสนทนาไม่ใช่จากการอ่านตำราซึ่งเข้าใจน้อยมาก) เพราะฉะนั้นเข้าใจเห็นเพิ่มขึ้นได้ไหม (เข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อยจากการพิจารณาไตร่ตรอง)
- เพราะฉะนั้นความติดข้องความยินดีพอใจโลภะเนียนมาก ถ้าไม่มีความเข้าใจเห็นพอ ไม่สามารถที่ละความติดข้องในเห็นได้ มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างความ “อยากเข้าใจ“ ปัจจัย ฯลฯ แต่ที่สำคัญคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า เห็นไม่ใช่เรา และจะเข้าใจความจริงของเห็นต้องเป็นความเข้าใจที่มากกว่านี้ในทุกๆ อย่างเพื่อละว่า “เราเห็น”
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจถูกมั่นคงในความเป็นอนัตตาของธรรม ก็เป็นโลภะที่หลอกลวงให้อยากที่จะเข้าใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับเห็น เพราะฉะนั้นตัวอย่างความลวงของโลภะ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้จะเกิดได้ไหมถ้าไม่มีสิ่งที่มากระทบตา ดูเหมือนว่า ธรรมดาเข้าใจง่ายๆ แต่ความจริงของปัจจัยลึกซึ้งมาก แม้เห็นเองก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- คุณอาช่าอยากจะเข้าใจปัจจัยของเห็นใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ทางตาขณะนี้ มีตาและมีสิ่งที่กระทบตาซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบกับรูปพิเศษที่รับกระทบสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดเห็น นี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็รู้หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่คุณอาช่าอยากรู้หรือเปล่า ตอนนี้คุณอ่าช่ารู้แล้วว่า อะไรเป็นปัจจัยให้เห็นเกิด
- คุณอาช่าอยากรู้อะไรอีก แค่นี้พอไหม (เท่านี้ไม่พอ ยังมีอีกมากที่ควรรู้) เพราะฉะนั้นความสำคัญไม่ได้อยู่ที่รู้คำแต่เข้าใจความจริงของธรรม จักขุปสาทรูปคืออะไร คุณอาช่าเคยได้ยินคำนี้แล้วเป็นภาษาบาลี (เคยได้ยินจากท่านอาจารย์) ไม่ใช่ค่ะ คุณอาช่าเรียนภาษา เข้าใจภาษา แต่ความจริงธรรมไม่มีชื่อ ไม่มีคำ เป็นความจริงที่ไม่ขึ้นกับคำใดภาษาใดเพราะมีจริงๆ
- พูดได้ง่ายๆ ว่า จักขุปสาทเป็นรูปชนิดหนึ่ง เป็นรูปพิเศษที่เป็นปัจจัยให้เห็นเกิด เป็นรูปพิเศษที่รับกระทบสีได้ ใช่ไหม (ใช่ แต่ต้องมีความเข้าใจด้วยในขณะนี้ซึ่งความเข้าใจยังไม่พอ)
- เพราะฉะนั้นพูดถึงอะไรที่เกี่ยวกับจักขุปสาทได้อีกไหม จักขุปสาทเกิดไหม เมื่อเกิดแล้วดับไปอย่างรวดเร็วไหม เป็นความจริงหรือเปล่า (จักขุปสาทเกิดและเกิดเพราะกรรม) รู้ได้ไหม (ไม่ได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งหรือเปล่า (ทรงประจักษ์แจ้ง) พระองค์ทรงแสดงหนทางให้เข้าใจหรือเปล่า (ทรงแสดง)
- เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่สามารถจะรู้ได้ขณะนี้ว่าอย่างไร (สิ่งที่ถูกเห็นที่ปรากฏขณะนี้สามารถรู้ได้) เพราะอะไร (เพราะเห็นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่เห็นสิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ) แล้วทำไมถึงเข้าใจเห็นขณะนี้ (เพราะมีลักษณะเป็นนามธรรมคือรู้สิ่งที่ปรากฏ) เดี๋ยวนี้รู้อย่างนี้ไหม (ไม่รู้ แค่จำได้จากที่ฟัง แต่ขณะนี้ยังไม่รู้อย่างนั้น)
- เดี๋ยวนี้มีไหม ควรรู้ไหม เพราะฉะนั้นมั่นคงว่า สิ่งที่กำลังมียังไม่รู้จึงสนทนาถึงสิ่งที่กำลังมีเพื่อเข้าใจสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังไตร่ตรองพิจารณาค่อยๆ เข้าใจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงได้ ถูกไหม
- เพราะฉะนั้น ศึกษาปัจจัยคือ ศึกษาสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ทีละขณะเป็นหนทางที่จะเข้าใจธรรม เข้าใจคำสอนของพระองค์ ไม่ว่าจะสนทนาอะไรเพื่อเข้าใจสิ่งทีมีซึ่งอยู่ใกล้มาก
- ธรรมอยู่ไกลจากขณะนี้ไหม (ไม่ไกล มีอยู่ขณะนี้) เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่า ธรรมอยู่ใกล้มากแต่ยังไม่รู้จึงฟังอีก ไตร่ตรองอีก เริ่มต้นอีกเพื่อค่อยๆ สะสมความเข้าใจในความจริงเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิด เป็นนามหรือเป็นรูป ศึกษาธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจ มิฉะนั้นไม่เป็นปัจจัยให้ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น
- เพราะฉะนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดเห็นทีละหนึ่งเป็นนามหรือเป็นรูป ค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้น นี้เป็นหนทางที่จะเพิ่มความมั่นคงที่จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะพระองค์ทรงแสดงความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขณะนี้ ทรงสอนเรื่องเห็นด้วย
- เพราะฉะนั้นกำลังศึกษาปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะสนทนาทีละปัจจัย จะสนทนาปัจจัยไหนที่ทำให้เห็นเกิดขณะนี้ (ปัจจัย ๑ คือ ปสาทรูป ถ้าไม่มีจักขุปสาทเป็นปัจจัย เห็นก็เกิดไม่ได้) ปสาทรูปเกิดไหม (เกิด) ใครทำให้ปสาทรูปเกิดได้ไหม (ไม่ได้) อะไรเป็นปัจจัยให้ปสาทรูปเกิด (กรรมเป็นปัจจัย)
- เพราะฉะนั้นกรรมเป็นปัจจัยอะไรให้ปสาทรูป จักขุปสาทรูปเกิดขึ้น (กุศลกรรม อกุศลกรรม) กุศลเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากหรือรูป มั่นคง (มั่นใจว่ากุศล อกุศลเป็นปัจจัย) ด้วยเหตุนี้ไม่ลืมว่า กรรมเป็นปัจจัยจิตและเจตสิกชาติวิบากซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดขึ้นและเป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย เพราะฉะนั้นรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัยเป็น กัมมชรูป เป็นคำที่ใช้เรียกรูปใดๆ ก็ตามที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย
- มีคำถามอะไรไหม (อาช่าถามว่า จิต เจตสิกและรูปรวมกันเป็นกัมมชรูปหรือเฉพาะรูปที่มีกรรมเป็นปัจจัยเท่านั้นที่เป็นกัมมชรูป) เห็นไหม นี่คือจุดประสงค์ ถ้าเราไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่มีวันที่จะเข้าใจถูกที่จะละคลายความยึดถือในสภาพธรรมว่าเป็นเราได้เลย รูปไม่มีวันเป็นสภาพรู้
- เพราะฉะนั้นมั่นคง รูปเป็นสภาพรู้ได้ไหม กรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นปัจจัยหรือไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป (เหมือนกัน) เหมือนกัน เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมเป็นธรรม
- ทั่งร่างกายมีกลุ่มของกัมมชรูปไหม (มี) อะไรบ้าง (จักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของกัมมชรูป) เพราะฉะนั้นกัมมชรูปเหล่านี้มีอยู่ทั่วร่างกายไหม (ที่มีทั่วร่างกายคือกายปสาทรูป) บางส่วนของร่างกาย เช่น ปลายเล็บไม่มีกายปสาทรูป เพราะเหตุนี้เวลาตัดเล็บจึงไม่มีความเจ็บใดๆ เพราะไม่มีกายปสาทเกิดที่นั่น
- ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ เข้าใจกัมมชรูปที่มีอยู่ทั่วร่างกายเพิ่มขึ้น แต่บางส่วนของร่างกายก็ไม่มีกายปสาทรูป เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพื่อละความยึดถือในสิ่งที่มีใกล้ที่สุดว่า เป็นธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้แค่ไหน นี่เป็นหนทางเดียวที่จะละความเห็นผิดที่ยึดถือพร้อมความไม่รู้ว่า เป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
- ในชีวิตประจำวันมีขณะไหนที่สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริงตามเหตุตามปัจจัยบ้างหรือยัง ถ้าปราศจากความเข้าใจความจริงจะละความเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เรียกว่า อัตตา ได้ไหม
- ขณะที่เข้าใจเป็นขณะที่มีค่าอย่างยิ่งที่จะได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัจจัยให้ละความติดข้อง ไม่ยืดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นโลกของอนัตตา ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นสุญญตา เกิดขึ้นแสนสั้นและดับ
- เพราะฉะนั้นมีคำถามอะไรเกี่ยวกับตา กับเห็น กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบ้างไหม (อาช่าตอบว่า ถ้าเป็นเราเห็น ไม่ถูกเพราะเป็นธรรมทั้งหมดไม่มีเรา) ชัดเจนขึ้นไหมว่า กัมมปัจจัยเป็นปัจจัยประเภทหนึ่ง (อาช่าสงสัยว่า เป็นกัมมปัจจัยหรือกัมมชปัจจัย)
- ไม่ต้องสนใจชื่อหรือเสียงเลย แต่ความจริงคือ เห็นคืออะไร จะเห็นสิ่งที่ดี หรือเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจไม่สามารถเกิดขึ้นตามใจใครได้ แต่เป็นไปตามกัมมปัจจัยที่เป็นปัจจัยให้เกิดเห็นที่เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก
- และแน่นอนดิฉันไม่สามารถกล่าวคำบาลีอย่างถูกตรงเหมือนท่านที่ได้ศึกษาภาษาบาลีและสามารถออกเสียงตามหลักวิชาได้ถูกต้องแต่มีความเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นคนไทยก็กล่าวคำภาษาบาลีแบบไทยๆ จริงไหม
- เพราะฉะนั้นคุณอาช่าสนใจที่จะเข้าใจปัจจัยอื่นอีกไหม เข้าใจกัมมปัจจัยชัดเจนขึ้นหรือยัง (ขอความเข้าใจกัมมปัจจัยเพิ่ม) จิตและเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกันเพราะกรรมเพื่อเห็นเพราะเหตุว่า ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดขึ้นมีกรรมเป็นปัจจัยที่จะเริ่มต้นแต่ละชาติไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน บนสวรรค์เป็นเทวดา หรือในนรกล้วนเป็นไปตามกรรม
- คุณอาช่าอยากไปนรกไหม ไม่มีใครอยากไปเลยแต่กรรมเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในนรก ไม่มียานพาหนะ ไม่มีใครสามารถพาใครไปที่นั่นได้ แต่ด้วยแรงแห่งกรรม ด้วยกำลังของการกระทำ ด้วยกำลังของเจตนาเป็นปัจจัยให้ไปเกิดที่นั่น
- ทำไมคุณเกิดที่อินเดียแล้วทำไมดิฉันเกิดที่เมืองไทย (เพราะกรรมเป็นปัจจัย) เห็นไหม ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจเรื่องกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล ทุกคนได้สะสมอกุศลมามากมายมหาศาลแต่ขณะที่มีความเข้าใจธรรมเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าใจความจริงเห็นโทษของอกุศล
- เกิดมาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นอุปปัตติเพราะกรรม ขณะที่เห็นสิ่งที่ดีที่น่าพอใจหรือได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ฯลฯ เพราะกรรม เพราะฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิด คือ กิเลสเป็นปัจจัยให้กระทำกรรม กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก แล้วกิเลสก็เป็นปัจจัยให้ทำกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่สิ้นสุดในสังสารวัฏฏ์ตราบเท่าที่ยังมีปัจจัย
- (ขอให้ท่านอาจารย์กล่าวอีกครั้ง) กิเลสเป็นปัจจัยให้กระทำกรรม อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารโดยนัยของปฏิจสมุปบาท และสังขารในที่นี้หมายถึงกรรมคือเจตนาเจตสิก
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจความจริงของจิตและเจตสิกและรูปสามารถเป็นปัจจัยให้เข้าใจปฏิจสมุปบาทโดยนัยของธาตุ โดยนัยของสังสารวัฏฏ์ ฯลฯ แต่ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงคือจิต เจตสิกและรูป เพราะฉะนั้นการศึกษาเรื่องปฏิจสมุปบาทไม่ใช่เพียงศึกษาว่ามีอะไรบ้างแต่ศึกษาด้วยว่าแต่ละอย่างในปฏิจสมุปบาทเกิดขึ้นเพราะปัจจัยอะไรอย่างไร
- เพราะฉะนั้นหากไม่มีความเข้าใจลักษณะของจิต เจตสิก รูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ไม่มีปัจจัยที่จะเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกในนัยๆ ต่าง
- เพราะฉะนั้นยังสงสัยกัมมปัจจัยอีกไหม (ยังไม่ชัดเจนในความหมายของคำว่าปัจจัยและปัจจยุปบัน) ถ้าดิฉันกล่าวว่า ตราบใดที่ยังมีกรรม ต้องมีผลของกรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ) ปัจจัยธรรมเป็นเหตุให้ธรรมเกิด และคำว่า ปจฺจย กับ อุปฺปนฺน รวมเป็น ปจฺยุปปนฺนะ เพราะฉะนั้นปัจจัยเป็นธรรมที่เป็นเหตุก่อให้เกิดปัจจยุปบันซึ่งเป็นธรรมที่เป็นผลของปัจจัย
- เพราะฉะนั้นเห็นเป็นปัจจยุปบันหรือเป็นปัจจัย (เป็นปัจจยุปบัน) ไม่สงสัยในสองคำนี้แล้ว ปัจจัยกับปัจจยุปบัน (ชัดเจน) เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นปัจจยุปบันหรือเป็นปัจจัย (ปัจจยุปบัน) ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ได้ยินคำว่าปัจจัยคือเหตุ ต้องมีความเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจยุปบันของปัจจัยนั้นๆ
- เพราะฉะนั้นความรู้สึกเจ็บเป็นปัจจยุปบันหรือเป็นปัจจัย (ปัจจยุปบัน) เป็นปัจจยุปบันของปัจจัยอะไร (กัมมชรูปหรือการกระทบเป็นปัจจัย) ไม่ใช่ค่ะ เราไม่ได้พูดเรื่องอื่น เรากำลังพูดถึงได้ยิน เห็น ได้กลิ่น ฯลฯ และตอนนี้เรากำลังพูดถึงเจ็บเป็นปัจจัยหรือเป็นปัจจยุปบัน (เป็นปัจจยุปบันแต่ไม่ทราบว่าของปัจจัยอะไร) ของกัมมปัจจัย
- ความรู้สึกไม่สบายเป็นปัจจัยได้ไหม (ไม่เป็นแต่เป็นปัจจยุปบัน) ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษาปัจจัยมากกว่านี้
- จิตเกิดขึ้นมีความรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อเป็นอกุศลวิบากทางกายได้ไหม (ได้) โดยปัจจัยอะไร (วิปากปัจจัย) และอะไรเป็นปัจจยุปบันเมื่อทุกข์ทางกายเป็นปัจจัย (ทุกขเวนาเป็นปัจจยุปบันและอกุศลวิบากเป็นปัจจัย)
- เพราะฉะนั้นศึกษาแต่ละปัจจัยอย่างละเอียด กัมมปัจจัยเป็น ๑ ปัจจัยและวิปากปัจจัยเป็นอีก ๑ ปัจจัย ตอนนี้เข้าใจกัมมปัจจัยหรือยังจะได้ต่อวิปากปัจจัยต่อไป
- เพราะฉะนั้นวิปากปัจจัยคืออะไร (วิปากปัจจัยเป็นผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม) เรากำลังพูดถึงกัมมปัจจัยหรือวิปากปัจจัย (อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นวิบากเพราะวิปากปัจจัย) เพราะฉะนั้นอะไรเป็นวิปากปัจจัยและอะไรเป็นวิปากปัจจยุปบัน (อะไรที่เกิดขึ้นเป็นวิบากเป็นปัจจัยและอะไรที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น ความรู้สึกเจ็บเป็นปัจจยุปบัน)
- กล่าวทีละ ๑ ธรรม ผัสสะเจตสิกเป็นกัมมปัจจัยหรือวิปากปัจจัย (เป็นกัมมปัจจัย) เป็นวิปากปัจจัยได้ไหม (ยังสับสนอยู่) เพราะฉะนั้นไม่ใช่คิดเองแต่ต้องเป็นความเข้าใจในพระธรรมคำสอนเพราะแต่ละคำชัดเจน โดยนัยของปัจจัย กัมมปัจจัยและวิปากปัจจัยเป็นปัจจัยที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นปัจจัยเป็นเหตุให้เกิดปัจจยุปบันโดยปัจจัยนั้น แต่เป็นปัจจยุปบันที่เป็นผลของปัจจัยอื่นด้วย วิปากปัจจัยเป็นปัจจัยหนึ่งและกัมมปัจจัยเป็นปัจจัยหนึ่ง
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เช่น เห็น ผัสสะ เป็นต้นซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ และลึกซึ้งอย่างยิ่ง ค่อยๆ ศึกษาเพื่อละความไม่รู้และความติดข้องที่มีมากมายเพราะไม่เข้าใจความจริง
- เพราะฉะนั้นเราจะสนทนาปัจจัยอะไรทีละ ๑ ปัจจัย ปัจจัยไหน เข้าใจกัมมปัจจัยและวิปากปัจจัยที่แตกต่างกันชัดเจนขึ้นไหน (ขอฟังเพิ่มอีก) ทีละเล็กทีละน้อยไม่ประมาทที่จะศึกษาทีละปัจจัย เพราะฉะนั้นจะฟังกัมมปัจจัยก่อนหรือวิปากปัจจัยก่อน (กัมมปัจจัย)
- เพราะฉะนั้นกัมมปัจจัยคืออะไร (สิ่งที่ทำให้จิตและเจตสิกเกิดขึ้น) ไม่ใช่ แต่คืออะไร (คุณอาคิ่ลขอตอบว่า กัมมปัจจัย ปัจจัยคือการกระทำ ปัจจยุปบันคือผล) กรรมปัจจัยเป็นธรรมอะไร (คุณมธุคิดว่าเป็นรูป) รูปเป็นปัจจัยของกรรมได้ไหม (ไม่ทราบว่าเป็นปัจจัยไหม แต่จากที่ได้ฟังตอนต้นได้ยินว่า รูปเป็นปัจจัยให้เกิดรูป)
- เพราะฉะนั้นฟังดีๆ ทีละคำ เรากล่าวทีละปัจจัย ปัจจัยเดียวเท่านั้น (กัมมปัจจัย) ไม่ลืมๆ เฉพาะกัมมปัจจัย อะไรคือกัมมปัจจัย เราต้องเข้าใจให้มั่นคงตั้งแต่ต้น (กัมปัจจัยเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกเกิด) ขอโทษนะคะ อะไรเป็นกัมมปัจจัย กัมมปัจจัยเป็นธรรมหรือเปล่า มีจริงหรือเปล่า (คุณอาช่าตอบว่า ขณะที่เป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม มีกัมมปัจจัย)
- เพราะฉะนั้นหมายความว่า กุศลธรรมและอกุศลธรรมทุกอย่างเป็นกรรมใช่ไหม หรืออย่างไร หรือมีธรรม ๑ เท่านั้นที่เป็นกรรม (คุณอาช่าเข้าใจว่า เกี่ยวกับกุศลกรรมและอกุศลกรรมแต่ขอฟังเพิ่ม)
- เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปให้รู้ว่า ถ้าไม่ไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เป็นการทำลายคำสอนของพระองค์ด้วยความเข้าใจผิดของผู้นั้น ต้องศึกษาด้วยความรอบคอบในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงความจริงของธรรมแต่ละ ๑
- กัมมปัจจัยเป็นสิ่งที่มีจริง ธรรมที่เป็นกรรมคือ เจตนาเจตสิกเท่านั้นที่เป็นกัมมปัจจัย โลภะเป็นกัมมปัจจัยได้ไหม (ถูกต้อง โลภะเป็นกรรมปัจจัย) โลภะเป็นกัมมปัจจัยได้หรือไม่ (เป็น) นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ธรรมอื่นๆ นอกจากธรรม ๑ จะเป็นกรรมได้ไหม (ธรรมที่เป็นกรรมคือ เจตนา ธรรมอื่นเป็นกรรมไม่ได้) แน่นอนหรือยัง โลภะเป็นกัมมปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (เพราะโลภะเป็นเจตสิกแต่ไม่ใช่เจตนาเจตสิก เฉพาะเจตนาเท่านั้นที่เป็นกรรม)
- ทำไมโลภะเป็นกรรมไม่ได้ (ไม่ทราบ) เพราะโลภะเป็นธรรมที่เกิดชอบอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลยนอกจากติดข้องและชอบเท่านั้น โลภะเป็นปัจจัยได้ไหม (เป็นปัจจัยได้) โลภะเป็นปัจจัยอะไร (เป็นเหตุปัจจัย) อะไรเป็นเหตุปัจจัยบ้าง (โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ)
- โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นเหตุปัจจัยได้ไหม (เป็นได้) ฟังดีๆ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะเป็นกัมมปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) เจตนาเป็นเหตุปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) ชัดเจนแล้วใช่ไหม
- โลภะ โทสะ โมหะ เป็นวิปากปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นวิปากปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) ได้ ไม่ใช่ไม่ได้ เห็นไหม ศึกษาธรรมต้องเข้าใจจริงๆ ต้องละเอียดด้วย
- เพราะฉะนั้นมีอะไรสงสัยตอนนี้ไหม (อาช่าบอกว่าเหตุ ๖ เป็นวิปากปัจจัยได้ คุณสุคินขอให้กล่าวเพิ่ม) แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ได้ โลภะ โทสะ โมหะเป็นวิบากไม่ได้ นี่เป็นความละเอียดของปัจจัย โลภะ โทสะ โมหะเป็นวิปากปัจจัยไม่ได้แต่เป็นอุปนิสสยปัจจัยได้ แต่อโลภะ อโทสะ อโมหะเป็นวิปากปัจจัยก็ได้เป็นอุปนิสสยปัจจัยก้ได้
- เพราะฉะนั้นต้องเรียนทีละปัจจัยละเอียดมาก เห็นไหมว่า ต้องมีความรู้จริงๆ ต้องเข้าใจจิต เจตสิก รูปจริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นได้เป็นไม่ได้เพราะอะไร
- (คุณอาคิ่ลขอถามนอกเรื่อง เคยได้ยินว่า ธรรมที่เป็นปัจจัยต้องมีปัจจัยด้วยขอให้ท่านอาจารย์เพิ่มเติม) ธรรมไม่เป็นธรรมได้ไหม (ไม่ได้) ธรรมที่ไม่เป็นปัจจัยมีไหม (ไม่มี) นามธรรมกับรูปธรรมเป็นปัจจัยอย่างเดียวกันได้ไหม (ไม่ได้) รูปเป็นวิปากปัจจัยได้ไหม (ไม่ได้) วิปากปัจจัยเป็นรูปได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นทำให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้นใช่ไหมว่า รูปต้องเป็นรูป เป็นนามธรรมไม่ได้ วิปากปัจจัยเป็นรูปได้ไหม (ไม่ได้) วิบากจิต วิบากเจตสิกเกิดจากกรรมได้ไหม (ขอคำถามใหม่) จิต เจตสิก รูปเกิดจากกรรมได้ไหม (ได้) จิต เจตสิก รูปเกิดจากกัมมปัจจัยได้ อะไรไม่ใช่วิบาก (รูป) เพราะฉะนั้นแสดงว่า เข้าใจแล้วเข้าใจดีอย่าลืมนะ
- รูปเป็นวิบากได้ไหม (ไม่ได้) รูปเป็นผลของกรรมได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นอะไรเป็นผลของกรรมแต่ไม่ใช่จิตเจตสิก (ปสาทรูป ๕ แต่อาช่าสงสัยว่า เสียงเป็นผลของกรรมหรือเปล่า) นี่เป็นเหตุที่จะต้องรู้ว่า กรรมทำให้เกิดรูปอะไรบ้าง จิตทำให้เกิดรูปอะไรบ้าง อุตุทำให้เกิดรูปอะไรบ้าง อาหารทำให้เกิดรูปอะไรบ้าง เพราะเหตุให้เกิดต่างกัน
- เพราะฉะนั้นเสียงเป็นรูปที่เกิดจากอะไร (อาช่าตอบว่าเกิดจากอุตุ) อย่างเดียวหรือ (นึกไม่ออก) เสียงเกิดจากจิตที่กำลังพูดหรือเปล่า เสียงเกิดจากจิตถ้าไม่มีจิตจะมีเสียงไหมจะพูดไหม (ไม่)
- เสียงอะไรเกิดจากอุตุ (เสียงจากโทรศัพท์) อะไรอีก (เสียงรถยนต์ เสียงมอเตอร์ไซค์เกิดจากอุตุ) ดีมากเก่งมาก เสียงเป็นวิบากได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (เพราะเสียงเป็นรูป) ไม่ใช่ธาตุรู้เป็นวิบากไม่ได้ เสียงเป็นผลของกรรมได้ไหม (ไม่ได้) เก่งมาก วันนี้เก่งมาก
- สงสัยอะไรอีกไหม วันนี้เรียนปัจจัยอะไรบ้าง (หลักๆ คือ กัมมปัจจัย วิปากปัจจัย) ก็ดีมาก หมายความว่า เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อย แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงเสียที (ใช้เวลาเยอะมากไม่รู้ว่านานแค่ไหน)
- ถ้าเรียนเพื่อเก่ง เพื่อสมใจ เพื่ออยากรู้มากๆ เป็นหนทางถูกหรือผิด (เป็นหนทางที่ผิด) เพราะฉะนั้นหนทางที่ถูกคือ เรียนเพราะรู้ว่าธรรมลึกซึ้งมาก เป็นความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานที่จะให้เข้าใจความจริงนี้ได้
- เพราะฉะนั้นเรียนเพราะเข้าใจถูกว่า มีอกุศลธรรมมากมายที่สะสมมาไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงโดยไม่ค่อยๆ เข้าใความจริงทีละเล็กทีละน้อย
- คุณอาคิ่ลกับคุณอาช่าไม่ดีมากไหม (ไม่ดีมาก) การรู้ว่าไม่ดีขณะนั้นดีไหม (รู้ว่าไม่ดีก็คือดี) เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เป็นธรรมอะไรที่รู้ได้อย่างนั้น (เป็นความเข้าใจถูก) เพราะฉะนั้นเป็นอริยมรรคหรือเปล่า (เป็น) มีหนทางอื่นไหมที่จะเป็นอริยมรรค (ไม่)
- เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ แต่ไม่รู้ความลึกซึ้งของเห็นเดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่มีในชึวิตประจำวันเป็นมรรคได้ไหม (เป็นหนทางไม่ได้ถ้าไม่เข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักหนทางที่จะรู้ความจริง ธรรมลึกซึ้งยากที่จะรู้ไหม (ลึกซึ้ง) เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียวที่จะเข้าใจความจริงชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้ปรากฏไหม (ที่รู้ว่ามีเห็นเพราะสิ่งที่ถูกเห็นปรากฏ ถ้าไม่ไตร่ตรองก็ไม่มีความเข้าใจเห็นที่กำลังมี)
- ถ้าเห็นไม่ปรากฏจะมีความเข้าใจถูกในเห็นตามความเป็นจริงได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเรียนเรื่องเห็น เข้าใจเรื่องเห็น แต่เห็นยังไม่ปรากฏเป็นอริยสัจจะที่ ๑ หรือเปล่า
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าอริยสัจจ์ ๔ สามรอบ ใครทำให้เกิดรอบที่สองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะเหตุว่า นี้เป็นเพียงรอบแรก ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไตร่ตรอง พิจารณาในขั้นฟังจะเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ เริ่มเป็นความเข้าใจในรอบที่ ๒
- และรอบที่สองเป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ถ้าไม่มีความเข้าใจเห็นในรอบแรก ความเข้าใจเห็นที่ปรากฏในรอบที่สองก็เกิดไม่ได้ ทุกๆ ขณะในชีวิตสภาพธรรมปรากฏดีไหม (ไม่) สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏดีไหม (ไม่) เพราะอะไร (เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ) สิ่งที่ปรากฎเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา ถูกต้องไหม และธรรมเดียวเท่านั้นที่ปรากฏได้ขณะเห็นคืออะไร (คือรูปที่กระทบตาที่ปรากฏ)
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้สิ่งที่กระทบตาปรากฏหรืออาคิ่ลปรากฏ (สิ่งที่กระทบ) แล้วนั่นไม่ใช่คุณอาคิ่ลหรือ (ไม่ใช่เพราะอาคิ่ลไม่เคยมีจริง มีแต่สภาพธรรม เช่น เห็น ได้ยิน) เพราะฉะนั้นหมายความว่า สภาพที่มีจริงที่กระทบตาได้ปรากฏดีจึงไม่มีอาคิ่ล เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระทบปรากฏดีหรือยัง (ยัง)
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกเข้าใจคำในพระไตรปิฎกว่า สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏดี รู้ไหมว่ากำลังอยู่ในโลกของอะไร (ในโลกของบัญญัติ) ใช่กำลังอยู่ในโลกของอัตตา และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่โลกของอัตตาแต่เป็นโลกของความจริงอนัตตา
- เพราะฉะนั้นขณะที่สิ่งที่ปรากฏปรากฏดีกับปัญญาซึ่งเข้าใจความจริงว่า ไม่มีใครเลย มีเพียงสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นดีขึ้นไหมที่เริ่มรู้ว่าปรากฏดีคืออย่างไร และจะปรากฏดีกับปัญญาความเข้าใจถูกเท่านั้นในระดับที่เป็นความเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ รอบที่สาม
- เพราะฉะนั้นไม่สงสัยในอริยสัจจ์ ๔ สามรอบแล้วใช่ไหม ตรงและจริงใจ เดี๋ยวนี้กำลังฟังเป็นรอบไหน รอบแรกเท่านั้น ความตรงต่อความจริงเป็นบารมีที่จะฟังต่อเข้าใจต่อทีละเล็กทีละน้อยเป็นหนทางละ เป็นหนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ขณะนี้เป็นบารมีไหม เริ่มเป็นบารมี อบรมจนกว่าจะถึงรอบที่สองต่อไป
- ยินดีที่ได้ไตร่ตรองอย่างยิ่งเพราะว่า ถ้าไม่มีการพิจารณาไตร่ตรองไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เพราะสิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏดี
- สิ่งที่กระทบตาปรากฏดีไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นตราบใดที่สภาพธรรมยังปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เรายังคงอยู่ในโลกแห่งความฝัน อยู่ในโลกของความคิดเพราะสิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏดี ยินดีด้วยในบารมี สวัสดีค่ะ
ศึกษาปัจจัยคือ ศึกษาสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ทีละขณะเป็นหนทางที่จะเข้าใจธรรม เข้าใจคำสอนของพระองค์ ไม่ว่าจะสนทนาอะไรเพื่อเข้าใจสิ่งทีมีซึ่งอยู่ใกล้มาก
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์และผู้ร่วมสนทนาซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ