ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๙

 
khampan.a
วันที่  3 พ.ย. 2567
หมายเลข  48837
อ่าน  1,112

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๙





~ กำลังเริ่มจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการฟังคำที่พระองค์ตรัส ไม่มีหนทางอื่นเลยที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากฟังคำที่พระองค์ตรัสด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่คำของใคร และคำทุกคำที่พระองค์ตรัสด้วยพระมหากรุณา เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าธรรม ง่าย จะบรรลุกันได้เร็ว แต่ว่าเมื่อตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรม ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้ ประมาทคำนี้หรือเปล่า? ง่ายหรือเปล่า? ต้องฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรองหรือเปล่า? เพื่อเป็นความเข้าใจของตนเอง นี่คือ พระพุทธประสงค์

~ ความชั่วมีมากมาย เกินที่จะประมาณได้ที่ไม่เคยรู้ความจริงและประพฤติชั่ว เพราะฉะนั้น เมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเห็นคุณอย่างยิ่งที่คำของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้สามารถละชั่วได้ เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรม เข้าใจพระธรรม เพื่อละชั่วหรือเปล่า? ถ้าไม่ละชั่ว ก็เพิ่มความชั่วขึ้นอีกมากมาย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่าทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เมื่อรวมกันก็เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่แท้ที่จริง ที่รวมกันคือแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยงเลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดสิ่งนั้นดับ เป็นธรรมดา นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ชีวิตประสบกับขึ้นๆ ลงๆ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็มาจากเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ก่อนการฟังธรรมศึกษาธรรมก็มักจะคิดว่าทำไมจะต้องเป็นเรา แต่เมื่อศึกษาแล้วจะเข้าใจว่า เพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นไม่ได้ ในเมื่อเป็นกรรมที่เราทำมา เราจะไปให้กรรมกับคนอื่นหรือให้ผลกับคนอื่นก็ไม่ได้ ทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับบุคคลใด ก็เพราะเหตุที่บุคคลนั้นได้กระทำมาแล้ว

~ การฟังพระธรรมเมื่อเข้าใจแล้ว ไม่เป็นโมฆะคือไม่ว่างเปล่า ไม่เสียเวลา เป็นสาระที่สุดในชีวิต เพราะว่าสามารถที่จะสะสมสืบต่อไป ทรัพย์สมบัติที่ได้มา จากชาตินี้ก็หมดแล้ว เป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เป็นคนอื่นแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ บริวารหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่เข้าใจว่าเป็นของเรา เมื่อจากโลกนี้ไปก็เห็นกันชัดเจนว่า ไม่ใช่ของคนที่จากไปแน่นอน

~ ประโยชน์สูงสุดจริงๆ คือ ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น แม้แต่จะคิดร้าย ก็ไม่คิดร้าย แม้แต่จะพูดร้าย ก็ไม่พูดร้ายกับคนอื่น นี่ก็เป็นเพราะพระธรรมที่ได้เข้าใจแล้ว คอยอารักขาคือรักษา จากการที่เคยได้ฟังบ่อยๆ เข้าใจว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ จนกว่าจะดับกิเลสได้จริงๆ ตามลำดับขั้น

~ ประมาทไม่ได้เลย มีชีวิตอยู่ทุกวันเหมือนอยู่บนปากเหว จะตกเมื่อไหร่วันไหน ไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะเหตุว่า อกุศลทั้งหมดเหมือนก้อนหินที่ผูกเท้าไว้ดึงลงต่ำแน่นอน ส่วนกุศลทั้งหลายก็เหมือนกับกิ่งไม้ที่เราเหนี่ยวรั้งไว้ที่จะให้พ้นไปจากทางที่จะไปสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมแล้วเข้าใจขึ้น เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เข้าใว่าอกุศลทั้งหมดยังมี อกุศลทั้งหลายยังเต็ม จนกว่าจะได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยด้วยความไม่ประมาทแล้วก็ละอกุศล เจริญกุศล และชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

~ จะไม่มีวันที่จะเข้าใจการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่ไตร่ตรองและเคารพในแต่ละคำที่ได้ฟังว่าจริงหรือเปล่า? ถูกหรือเปล่า? ก่อนได้ยิน ไม่มีได้ยิน พอได้ยินเสียงปรากฏ ได้ยินเฉพาะเสียง แล้วดับไป ที่ไม่รู้ก็คือธรรมใดๆ ก็ตามที่เกิดแล้วดับ ไม่เหลือเลย ค่อยๆ ฟัง จนกว่าจะคลายความยึดถือและเข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่ปรากฏ เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าเพราะไม่รู้ความจริงของการเกิดดับ จึงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

~ กิเลสที่ยังไม่ดับ ถ้ายังไม่มีปัจจัยพอที่จะเกิดก็ยังไม่เกิด แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิด ใครทำอะไรได้ คือให้เข้าใจว่าธรรมเป็นธรรม

~ ความเข้าใจความจริงเป็นบารมีที่จะปรุงแต่งให้กุศลเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การได้เกิดมาในโลกนี้และมีโอกาสได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง เพราะใครจะรู้ว่าชีวิตจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ เร็วหรือช้า ไม่สามารถรู้ได้เลย

~ เกิดมาแล้ว จากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ว่าขอให้ได้เป็นคนดีและเข้าใจธรรม แต่ไม่ลืมความเป็นอนัตตา ทำอย่างดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไร ก็เป็นอนัตตา แต่จะห้ามไม่ให้ทำความดีได้ไหม ในเมื่อสะสมมาที่เห็นคุณของความดี คนนั้นก็จะทำสิ่งที่ดี

~ กิเลสทั้งหลาย อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ ใครก็เอาออกไม่ได้ ความไม่รู้และกิเลสทั้งหมดที่สะสมมา ดี ชั่ว อยู่ที่ใจ แต่สิ่งที่ควรพลัดพรากจากไป ก็คือ อกุศลและความไม่รู้ ใครเอาออกไปได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญาความเข้าใจถูกความเห็นถูก

~ เพื่อนโกรธเพื่อนได้ไหม? โกรธขณะไหน ไม่ใช่เพื่อนในขณะนั้น อกุศลสะสมมามากมายมหาศาล พระธรรมเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงเมื่อเข้าใจ แล้วก็จะรู้ว่าทุกคำ เป็นประโยชน์มหาศาลจริงๆ สามารถจะทำให้สิ่งที่เคยเกิดมากๆ ก็เกิดน้อยลง จนกระทั่งในที่สุดก็สามารถที่จะไม่เกิดอีกเลยได้ในสิ่งที่ไม่ดี

~ ใครว่าเรา ใครโกรธเรา เขาไม่ดีใช่ไหม? อกุศลใช่ไหม?
อกุศลเป็นความไม่ดี เขาว่าเรา ถ้าเราโกรธเขา เราไม่ดีทันที
แต่ถ้าเขาว่าไป แต่เราไม่เดือดร้อน เราก็ไม่มีความไม่ดีที่จะไปเดือดร้อนตามที่เขาว่า สบายไหม? ค่อยๆ ละ เพราะรู้


~ ใครทำอกุศลกรรม สงสารเขาไหม? เริ่มเห็นใจว่าวันหนึ่งกรรมนั้นต้องให้ผล อย่างที่เรารู้เหตุการณ์ต่างๆ มีคนถูกทำร้ายบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย จะไปเจ็บแทนก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่ากรรมทำให้เกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามกรรม

~ การขัดเกลากิเลสเป็นเรื่องที่ต้องเพียรอบรมจริงๆ เพราะเหตุว่า กุศลย่อมเกิดยาก เจริญยากกว่าอกุศล อกุศลเกิดง่าย โลภะ ไม่ต้องระมัดระวังอะไรเลย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีอยู่ตลอดเวลา โทสะ โมหะ ก็เหมือนกัน แต่ที่จะให้จิตเป็นไปในกุศล เป็นไปในการขัดเกลาและดับกิเลส เป็นเรื่องที่ยาก ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล กระทำอกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา วันหนึ่งใครจะรู้ได้ว่า ท่านจะกระทำอกุศลกรรมหนักเพียงไร เพราะว่าการที่จะกระทำอกุศลกรรมหนักๆ ได้ ย่อมมาจากการกระทำไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งขาดความละอาย จึงสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมที่ร้ายแรงได้

~ ทรัพย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์อื่นใด คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกหรือปัญญานั่นเอง เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะมีทรัพย์อื่น ก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากความทุกข์ได้ อาจจะเป็นห่วง แล้วก็ยิ่งมีทรัพย์มาก ก็ยิ่งทุกข์มากก็ได้ แต่ว่าถ้ามีปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ละคลายอกุศลค่อยๆ หมดไปจนกระทั่งไม่เกิดอีกเลยได้

~ ทุกคนจะจากโลกนี้ไป เมื่อไหร่ก็ได้ วันนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ ประโยชน์สูงสุด ก็คือ ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เพื่อเป็นที่พึ่งทุกชาติ เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ทุกคนมั่นคงในการที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจพระธรรมและมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๘




... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
นายภูมิสู่ภพสูง
วันที่ 3 พ.ย. 2567

ผมอยากก็อปปี้ไปโพสต์ลงกลุ่มเฟสบุ๊ค อนุญาตไหมครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 พ.ย. 2567

เรียนความคิดเห็นที่ ๑ ครับ
เผยแพร่ต่อได้เลยครับ ยินดีในกุศลของท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 3 พ.ย. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 3 พ.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 3 พ.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 3 พ.ย. 2567

ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
shsso2551
วันที่ 3 พ.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nattawan
วันที่ 4 พ.ย. 2567

ประโยชน์สูงสุดจริงๆ คือ ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น แม้แต่จะคิดร้าย ก็ไม่คิดร้าย แม้แต่จะพูดร้าย ก็ไม่พูดร้ายกับคนอื่น นี่ก็เป็นเพราะพระธรรมที่ได้เข้าใจแล้ว คอยอารักขาคือรักษา จากการที่เคยได้ฟังบ่อยๆ เข้าใจว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ จนกว่าจะดับกิเลสได้จริงๆ ตามลำดับขั้น

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ