เข้าใจในความเป็นธรรม จนกว่าจะเป็นธรรม

 
nattawan
วันที่  8 พ.ย. 2567
หมายเลข  48865
อ่าน  105

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กว่าจะหมดความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด (อัตตา) ต้องไม่ใช่โดยความต้องการ แต่ต้องด้วยความเข้าใจในความลึกซึ้ง

รู้ตัวไหมว่ายังห่างไกลความตรงอีกมาก ห่างไกลความตรงเพราะว่าไม่รู้ธรรมะตามความเป็นจริง ถ้าพิจารณาทุกคำของพระพุทธเจ้าไม่เผิน ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงไม่สามารถจะรู้สิ่งที่ปรากฏได้เลยด้วยตัวเองทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งทั้งหมดที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วทรงแสดงความจริงไว้ตรงกับที่กำลังปรากฏหรือเปล่า? ... เห็นไหม ... ห่างไกล ... สภาพธรรมะเกิด ใครเห็นเกิด? สภาพธรรมะหนึ่งที่กระทบตา ไม่ได้กระทบหู ไม่ได้กระทบจมูก แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ เสียงก็ได้ยิน ตาก็เห็น ... ห่างไกล!!!

แม้แต่คำว่าประพฤติปฏิบัติตามก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตามอย่างไร ... เป็นเรื่องไม่รู้ทั้งหมด ... กว่าจะรู้ต้องแต่ละคำ ... มั่นคง ... ธรรมะหนึ่งเป็นหนึ่ง และปรากฏได้ทีละหนึ่งและทีละทาง ... แค่นี้ห่างไกลแค่ไหน?! ยังเป็นเรา ยังเป็นดิฉัน ยังเป็นทุกคนหมดเลยเหมือนเดิมกับไม่ใช่สักอย่าง ... ห่างไกลแค่ไหน!!!

ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วประพฤติตามหรือเปล่า? ความเข้าใจธรรมะของเราทั้งหมดหรือยัง? ฟังแล้วถ้ายังไม่รู้ว่าพระปัญญาเกินกว่าที่ใครจะรู้ได้เลย ที่สอนเราแค่นี้และแค่นี้เราก็แสนที่จะไม่รู้ แม้แต่ว่าไม่มีเรา มีแต่สิ่งที่กระทบตาและสีสันวรรณะ ฟังแล้วถึงจะรู้ว่ามันห่างไกลระดับไหน? ระดับที่ไม่ต้องหวังเลย!! พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นทุกคำพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ให้เริ่มคิด แค่เริ่มคิดเริ่มเข้าใจ เริ่มมั่นคง เริ่มรู้ว่าห่างไกลมาก อย่าไปนั่งเพ่งจ้องอะไรเลย ... มันไม่ใช่ ... นั่นทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า

ความเป็นพระพุทธเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดในสากลจักรวาล เพราะได้ประจักษ์แจ้งเห็นเกิด เห็นดับ ขณะเห็นไม่มีอย่างอื่นเลย ห่างไกลกันแค่ไหน ... เรียกว่าเราอยู่ในความมืดสนิทถ้าไม่มีคำของพระองค์มาให้เป็นแสงสว่างทีละน้อยมาก เพราะมันมืดสนิท ... แสงสว่างจะแค่ไหนถึงจะค่อยๆ ทำให้สว่างขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นฟังแล้วจริงไหม ... ไม่ใช่ให้เชื่อ ... ห่างไกลกันแค่ไหน คิดว่าเข้าใจธรรมะแล้วเข้าใจคำ พูดถึงเห็น มันเห็นตรงนั้นตรงนี้ แต่ไม่ได้รู้จักเห็นที่เกิดขึ้นเห็น

ณ กาลครั้งหนึ่งสนทนาธรรมที่บ้าน ซ. พัฒนเวศม์ เช้า 23/10/67

youtu.be/Ea7jcoZK9KI

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 8 พ.ย. 2567

เข้าใจคือ เข้าใจแล้วก็ดับ โกรธ โกรธแล้วก็ดับ ชอบ ชอบแล้วก็ดับ ให้เข้าใจในความเป็นธรรม จนกว่าจะเป็นธรรม

สภาพธรรมะเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณ รู้ตรงนั้นมันยากมากๆ ถ้าไม่รู้ว่าอยากจะรู้จักพระพุทธเจ้าไหม? เห็นไหม ... เพราะฉะนั้นเราคิดหรือว่าเรารู้จักพระพุทธเจ้าแล้ว แค่นี้ที่ห่างไกล ... ยิ่งเข้าใจยิ่งห่าง ... เพราะเข้าใจขึ้นจึงรู้ว่ามันห่างแค่ไหน มันหนา มันแน่น มันเหนียว เหนอะหนะ แข็งแกร่ง ทั้งหมดคือความไม่รู้กับความติดข้องและกิเลสทั้งหลาย จะแตะมันหรือยัง มันอยู่ไหน ยังไม่เจอ ... อยู่ตรงนี้โดยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ... ห่างไกลแค่ไหนเพราะฉะนั้นการที่มีความเข้าใจในความห่างไกลถูกต้องมีประโยชน์ ... หนทางเดียวที่จะละ ไม่อย่างนั้นก็หวังทำโน่นทำนี่ให้ได้ ... สารพัดจะทำ ... ผิด ไม่ใช่ความเข้าใจแม้เพียงอย่างเดียวที่เป็นธรรมะแต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้นการที่จะละก็ต่อเมื่อมีปัญญารู้ความลึกซึ้ง อริยสัจจธรรมมีแน่ทุกขณะเดี๋ยวนี้ก็มี ความจริงของธรรมะนั้นคืออะไร ไม่ใช่อย่างนี้ ... เห็นไหมเริ่มเห็นความห่างไกลแสนไกล เป็นคนได้ไงมันเป็นสีต่างๆ ไม่ใช่หรือเวลานี้ ... แล้วจะเป็นคนได้ยังไง?! คิดให้ดีเพราะฉะนั้นฟังเพื่อเห็นความลึกซึ้งเพราะธรรมะลึกซึ้ง ถ้าจะเข้าใจธรรมะ ก็คือเข้าใจในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง มีเราจะเข้าใจ เมื่อไหร่จะเข้าใจ ทำอย่างไรจะเข้าใจ แม้แต่ธรรมะหนึ่งยังไม่รู้เลย แล้วธรรมะไม่ได้มีแค่หนึ่งนะคะเท่าไหร่ และไม่ซ้ำด้วยในสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นความลึกซึ้งและรู้ว่าเป็นธรรมะ ถ้าไม่รู้อย่างนี้ไม่ใช่ปัญญา!!!

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 8 พ.ย. 2567

เราพูดถึงแข็ง มีแข็ง เหมือนรู้แข็ง แต่ขณะใดก็ตามที่มีอย่างอื่นปนอยู่ด้วย รู้แข็งจริงหรือเปล่า?

ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่าลึกซึ้ง มรรคมีองค์แปด อริยสัจจธรรมที่สี่ ลึกซึ้งอย่างนี้คือปกติ แต่เป็นความเข้าใจ..เฉพาะเข้าใจ ... สัมมาทิฏฐิ

กว่าจะรู้ว่าไม่รู้อะไร แล้วถึงจะค่อยๆ รู้สิ่งที่ไม่รู้ทีละน้อย

ปัญญาก็ต้องเริ่มตั้งแต่ระดับต้นๆ ขั้นฟังจนกระทั่งไปถึงขั้นที่ประจักษ์แจ้ง ก็ยังละเอียดต่อไปอีกมากมายมหาศาล เพราะต้องรู้ทั่ว ถ้ายังไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ ... ละไม่ได้

เราอยากจะรู้ความต่าง แต่รู้จริงๆ ต้องรู้ภาวะที่เป็นอย่างนั้น จึงจะรู้ว่าต่าง อย่างความเห็นผิดกับความไม่รู้ ... ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างเดียวกันได้ จึงทรงแสดงความต่างกันของกิเลสตั้งแต่ระดับอาสวะไม่รู้ตัวเลย

ธรรมะละเอียดอย่างยิ่ง ฟังไปเพื่อเห็นความลึกซึ้งก่อน ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งตัวเราจะไปวัดหมด นั่นเท่าไหร่ นี่เท่าไหร่ อยู่ตรงไหน อะไรต่ออะไร เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว "ธรรมะลึกซึ้ง" หนทางเดียวที่จะรู้จักธรรมะคือรู้ความลึกซึ้ง ถ้าตราบใดยังไม่ลึกซึ้งก็ยังไม่รู้จักธรรมะ ได้ยินชื่อธรรมะ ได้ยินเรื่องธรรมะ แต่ความลึกซึ้งของธรรมะจะไม่ปรากฏ

ความลึกซึ้งของธรรมะคือเดี๋ยวนี้ไง ... เกิดดับไง ... กำลังเกิดกำลังดับนะ ... จริงไหม? อย่างเห็นกำลังเกิดดับแต่เราไปคิดว่าเราเห็น เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ความจริง ... เราเต็มว่างั้นเถอะไม่ต้องไปหาช่องว่าง ... นอกจากหลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏ ... เรายังอยู่ในจิต ... ยังไม่ได้ออกไปเลยเต็มที่ ... อนุสัย ... ยังไม่เป็นอาสวะ เพราะฉะนั้นทรงแสดงว่าเชื้อต้องมีอยู่ในจิต ถ้าไม่มีหมดดับเป็นพระอรหันต์ (หมดบางส่วนก็เป็นพระอนาคามี เป็นพระสกทาคามี เป็นพระโสดาบัน) ต้องไม่มีเหลือเลยแม้นิดเดียว ... แม้อนุสัย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 8 พ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ