English-Hindi 09 November 2024
English-Hindi 09 November 2024
- เพื่อความเข้าใจความจริงต้องมีความมั่นคงในความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ที่ยังไม่เข้าใจ เพราะเหตุว่า ไม่มีใครรู้ความจริงก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงสอนสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เพื่อให้เข้าใจความจริงในชีวิตของทุกชีวิตในแต่ละชาติหลายแสนชาติที่ผ่านมาและชาติต่อๆ ไปที่ไม่เคยรู้
- เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเราสนทนาถึงปัจจัย คือ สิ่งที่พระองค์ตรัสว่า สังขารธรรมทุกอย่างเกิดแล้วดับและทั้งหมดเป็นอนัตตา รวมทั้งสิ่งที่ไม่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งคือ นิพพานเท่านั้น เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ไม่มีนิพพาน แต่ควรประจักษ์แจ้งควรเข้าใจในสิ่งที่มี มิฉะนั้นจะรู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร
- เพียงเคารพแต่พระองค์ตรัสว่าอย่างไรถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ใกล้ที่สุด เมื่อเราพูดถึงปัจจัยก็หมายถึงขณะนี้ แต่ถ้าคิดถึงสิ่งที่อยู่ในตำราก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เป็นปัจจัย ศึกษาเพื่อเข้าใจขณะนี้ที่กำลังมีว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น มิฉะนั้นเราก็ศึกษาแต่สิ่งที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ทั้งวัน อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จึงศึกษาเพื่อเข้าใจแต่ละคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีขณะนี้ ไม่มีอะไรเกิดเลยถ้าไม่มีปัจจัย ถูกไหม
- ทำไมถึงอยากรู้หรืออยากเข้าใจปัจจัยเพิ่มขึ้น เป็นความจริงอย่างยิ่งว่า ธรรมที่กำลังมีลึกซึ้งมากแต่ไม่รู้เพราะตามไปรู้สิ่งอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เช่น การฟัง เป็นปัจจัย แล้วปัจจัยอยู่ไหน คิดถึงปัจจัยแต่ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่มีขณะนี้ว่าคืออะไรเพื่อที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจัยให้สิ่งที่กำลังมีนี้เกิดขึ้น จริงไหม
- นี่คือการศึกษาเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริง เพราะสิ่งที่มีจริงไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง หลังจากที่ทรงตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่กำลังมีเล็กน้อยสั้นมากแต่ละขณะเป็นไปตามปัจจัย มิฉะนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยและสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นได้เพราะเหตุปัจจัย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เพียงอยากเข้าใจปัจจัย ไม่ใช่เพียงกล่าวง่ายๆ ว่า “มีตา มีสิ่งที่กระทบตาเป็นปัจจัยให้สภาพรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏเป็นปัจจัยให้ธรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทำกิจของแต่ละธรรมพร้อมกันรู้สิ่งเดียวกัน” เห็นไหม แต่ทั้งหมดคือเดี๋ยวนี้
- เราศึกษาสิ่งที่มีขณะนี้ทำไม ก็เพราะขณะนี้สามารถรู้ได้ ขณะที่ผ่านมาแล้วหมดไปแล้ว ขณะอนาคตยังไม่มาถึง เพียงคิดถึงอดีตกับอนาคตแต่ไม่คิดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดแล้วดับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาเพื่อเข้าใจพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประจักษ์แจ้งสิ่งที่มีทุกอย่างด้วยพระธรรมคำสอนที่มาจากพระปัญญา
- เพราะแต่ละคำของพระองค์ส่องให้เห็นถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แต่ละขณะ ไม่ใช่เรา เพราะดับทันที จริงไหม ยังไม่ปรากฏว่าเกิดดับแต่ลองพิจารณาดูว่าจริงไหม ไม่มีอะไรเที่ยง ทุกอย่างดับไปหมดไม่เหลือ แต่ไม่ปรากฏว่าเกิดดับแต่ละขณะอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น จะละความไม่รู้ ความติดข้อง มิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิว่า เป็นเราหรือเป็นของเราตลอดเวลาได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้นปัจจัยมีมากมายที่ค่อยๆ ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างที่เกิดเพราะปัจจัยทีละอย่าง มิฉะนั้นมีปัจจัยมากมายที่เป็นปัจจัยธรรมต่างๆ เกิดขึ้นและถ้าเราไม่พูดถึงความจริงแต่ละขณะจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรเป็นปัจจัยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นซึ่งต่างจากขณะอื่นๆ
- เพราะฉะนั้นเราไปตามความอยากความไม่รู้ไปรู้ชื่อโดยไม่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นธรรมที่ไม่เหมือนอย่างที่กำลังปรากฏอีกต่อไป ทันทีที่ปรากฏก็ดับไปไม่ได้เที่ยงอยู่อย่างนั้นทั้งวันเหมือนทุกวันนี้ สิ่งที่เกิดแล้วดับไปยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงแต่ต้องมีสิ่งนั้นจริงๆ แต่ละขณะหลากหลายแต่ต้องมีสิ่งที่มีจริงที่ดับไปเป็นปัจจัยให้สิ่งใหม่เกิดขึ้นแล้วดับเป็นไปอย่างนี้แต่ละขณะไม่ใช่สิ่งเดิมไม่เหมือนกันเลยเพราะไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเราอยู่ที่ไหน ขณะไหน เป็นเราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด
- มั่นคงไหมว่าต้องประจักษ์แจ้งความจริงเพื่อเข้าใจแต่ละ ๑ มิฉะนั้นจะเป็นความเข้าใจได้อย่างไรเมื่อปะปนกัน ถูกไหม เพราะฉะนั้นตราบใดที่มีความติดข้องมีความยึดถือในปัจจัยหรือแต่ละคำที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่มีขณะนี้ แต่เมื่อมีความเข้าใจความจริงขณะนี้สามารถเข้าใจปัจจัยแต่ละขณะเพิ่มขึ้น ปัจจัยของได้ยินไม่เหมือนปัจจัยของเห็น คิด ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ชอบ ไม่ชอบ ทั้งหมดมีปัจจัยที่แตกต่างหลากหลายไม่เหมือนกัน ต่างกันเพราะปัจจัยต่างกันทั้งหมด เพื่อละความเป็นเรา เป็นความโกรธของเรา ความติดข้องของเรา ความไม่ชอบของเรา ความไม่รู้ของเรา แต่ความจริงไม่เป็นของใคร เพราะเดี๋ยวนี้ดับหมดแล้วทันทีไม่มีเหลือ
- ขณะที่มั่นคงอย่างนี้เป็นอธิษฐานบารมี มั่นคงในความจริงเป็นสัจจบารมี ไม่เปลี่ยน ความจริงเป็นอย่างนี้ เพียงเท่านี้ สิ่งที่ได้ในชาตินี้ไม่ติดตามไปชาติหน้าเพราะแต่ละขณะไม่กลับมาอีกเลย เป็นคำสอนของพระองค์ที่แสดงให้รู้ความจริงหรือเปล่า ไม่ว่าจะได้ยินคำไหนปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เจริญขึ้นทีละน้อยเพราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- ความจริงคือ สิ่งที่ปรากฏเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้เป็นความจริงอย่างยิ่ง และไม่ว่าอะไรที่เกิด ดับไปอย่างรวดเร็ว ตรงต่อความจริงเพราะปัจจัยเป็นปัจจัยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นทันทีที่เกิดขึ้นโดยปัจจัยเกิดแล้วดับแล้วหมดปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นยังคงอยู่ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดที่เกิดแล้วไม่ดับ
- เพราะฉะนั้น นี้คือชีวิตประจำวัน ค่อยๆ ศึกษาสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงที่หลากหลายจากเมื่อวาน จากแต่ละขณะที่ผ่านไปทีละขณะจนเป็นเมื่อเช้านี้ ขณะนี้ เป็นตอนเที่ยง ตอนเย็น กลางคืน แล้วก็เช้าอีกซึ่งเป็นแต่ละขณะที่หมดไปไม่กลับมาอีกเลย
- ความเข้าใจที่ค่อยๆ มั่นคงซึ่งเป็นบารมีเป็นหนทางเดียวที่จะละแม้แต่ขณะนี้ก็ดับไปๆ ยังไม่ปรากฏตามความเป็นจริงจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ อบรมเพิ่มขึ้น ตรงขึ้น ถูกขึ้น ไม่ใช่เข้าใจผิดด้วยความติดข้องหรือโลภะที่คิดว่าแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นง่าย ไม่ใช่อย่างนั้นเลยแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- เพราะฉะนั้นได้ฟังความจริงที่ลึกซึ้ง มีความเข้าใจไหม ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดได้ ความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ไม่มีคำที่จะอาศัยเพื่อพิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้จนกว่าจะมีคำที่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น คำที่มาจากพระปัญญาของพระองค์ จากการประจักษ์แจ้งความจริง จากการตรัสรู้ความจริงจึงมีคำให้คิดไตร่ตรองพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีขณะนี้หรือขณะไหนก็ได้
- ค่อยๆ อบรมให้มั่นคงขึ้นๆ เป็นปัจจัยให้กุศลเกิดเพราะปัญญาเข้าใจว่า กุศลนั้นมีค่ายิ่งกว่าอกุศลมาก เพราะว่าแต่ละวันกุศลเกิดน้อยมาก ทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะมีปัจจัยให้อกุศลเกิดมากกว่าปัจจัยให้เกิดกุศล ด้วยเหตุนี้ปัญญาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิริยะบารมี ขันติบารมีที่เพิ่มขึ้นเพื่ออบรมความเห็นถูกที่จะกั้นกระแสของอกุศลความติดข้องและความไม่รู้ที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวัน
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้ในชาติเดียว ไม่ใช่แค่วันนี้หรือพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ต้องเป็นความตรงและจริงใจที่จะรู้ว่าเข้าใจเห็นที่มีขณะนี้แค่ไหนที่จะเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่เราหรือใครเลย เป็นเพียงสภาพธรรมที่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่คิดถึงชื่อ คิดถึงคำแต่ความเข้าใจที่มั่นคงขณะนี้เป็นปัจจัยให้ไม่ลืมว่า ไม่มีใครไปทำ ไม่มีเราที่จะไม่ลืมแต่เป็นความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นที่ไม่ลืม เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นกุศล เป็นธรรม เป็นปัญญา เป็นขณะที่มีค่ายิ่งที่ทำหน้าที่ไม่มีใครทั้งสิ้น
- มีคำถามอะไรไหมที่ไม่ใช่ถามถึงชื่อของปัจจัยแต่ค่อยๆ รู้ว่าคืออะไรที่ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นความจริงของปัจจัยนั้น เพราะสิ่งที่เป็นปัจจัยเป็นธรรม ถ้าไม่ใช่ความจริงจะเป็นปัจจัยให้มีขณะนั้นไหม ลึกซึ้งไหม
- มีคำถามไหม ทีละเล็กทีละน้อยมั่นคงขึ้นๆ ที่จะค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเพียงธรรม ๑ ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่ไม่รู้เป็นรูปธรรม หรือนามธรรมที่เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้เพราะเป็นสภาพรู้
- มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นพร้อมกันใช่ไหมเพราะสภาพรู้มีหลายอย่าง สภาพที่ปรุงแต่งจิตเป็นสภาพรู้ที่เป็นเจตสิก และจิตเป็นสภาพรู้ที่หลากหลายที่เกิดพร้อมเจตสิกโดยสหชาตปัจจัย สห คือ พร้อมกัน ชาต คือ เกิด เพราะฉะนั้นธรรมที่เกิดพร้อมกันอาศัยซึ่งกันและกันเป็นสหชาตปัจจัยและอัญญมัญญปัจจัย
- ขณะนี้เป็นอย่างนี้ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ เพระฉะนั้นสหชาตปัจจัยกับอัญญมัญญปัจจัยต่างกันตรงไหน (คุณอาช่าตอบว่า อัญญมัญญปัจจัยคือ จิตและเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกัน) โดยสหชาตปัจจัยถูกไหม (ถูก) และโดยอัญญมัญญปัจจัยด้วยเพราะว่า ถ้าไม่มีจิต เจตสิกเกิดไม่ได้และถ้าไม่มีเจตสิก จิตก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงอาศัยกันแและกันเกิดและเกิดพร้อมกันด้วยจึงเป็นอัญญมัญญปัจจัยและสหชาตปัจจัย คนละปัจจัยกัน
- บางขณะมีสหชาตปัจจัยแต่ไม่เป็นอัญญมัญญปัจจัย และรูปเป็นสหชาตปัจจัยได้ด้วยไหม เห็นไหม ไม่ใช่เพียงเรียนคำแต่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เรากำลังศึกษาสิ่งที่มีจริงเพื่อเข้าใจว่าไม่มีใครทั้งสิ้น เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆ
- เพราะฉะนั้นมีรูปที่เกิดพร้อมกันไหม (กัมมปัจจัย) ไม่เป็นไร ไม่เกี่ยวกับเรื่องเวลาที่จะเรียนปัจจัยแต่เป็นความเข้าใจธรรมต่างหากที่จะเป็นปัจจัยให้เข้าใจความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมที่เกิดดับแต่ละขณะเดี๋ยวนี้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ความเข้าใจที่ไม่ใช่เข้าใจชื่อแต่เข้าใจลักษณะของสภาพที่มีจริงที่เป็นจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ขณะนี้
- แต่ละขณะในชีวิตประจำวัน ขณะที่ได้ฟังธรรมมีความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีว่า ไม่ใช่ใครเลยจริงๆ เป็นแค่เพียงความจริง ๑ ขณะที่เกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ มีบ้างไหม เข้าใจขึ้นบ้างไหม
- เพราะฉะนั้นการศึกษาชื่อปัจจัยไม่ใช่หนทาง แต่เป็นความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีที่จะเป็นการศึกษาปัจจัยซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นความเข้าใจพระธรรมคำสอนเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ เพิ่มขึ้น ค่อยๆ มั่นคงขึ้น จนกระทั่งเป็นความเข้าใจรอบที่ ๑ ในอริยสัจจะจนไม่สงสัยเลยในสิ่งที่ควรรู้ และสิ่งที่ควรรู้คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง
- เพราะสิ่งที่กำลังมียังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงจนกว่าจะปรากฏดีตามความเป็นจริง นี่คือจุดประสงค์และจะถึงอย่างนั้นได้เมื่อไหร่ อีกนานไหม ต้องเป็นความเข้าใจลักษณะของสิ่งนี้เท่านั้น เมื่อลักษณะของสิ่งที่มีจริงปรากฏกับความเข้าใจ เพราะปัญญาเข้าใจเมื่อมีความมั่นคงพอในความเป็นธรรมของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เช่น เห็นและสิ่งที่ถูกเห็น
- เราสามารถสนทนาเรื่องธาตุต่างๆ มีคำมากมายเกี่ยวกับธาตุ แต่ลักษณะของแต่ละธาตุซึ่งหลากหลายเพื่อรู้ว่า ลักษณะของแต่ละธาตุเป็นจริงอย่างไรก็จริงอย่างนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ได้เป็นของใครเพราะดับไปหมดแล้ว
- เรากำลังศึกษาความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ไปพร้อมๆ กันเพื่อมั่นคงในความจริง มิฉะนั้นแล้วไม่มีที่พึ่ง ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งเลยเมื่อไม่มีความเข้าใจความจริงของแต่ละ ๑
- เพราะฉะนั้นถ้าตามแต่ละคำในหนังสือไปว่า มีปัจจัยอะไร มีจิตเท่าไหร่ มีเจตสิกเท่าไหร่ แล้วก็ตายก็หมด เมื่อไม่มีความเข้าใจคำชื่อต่างๆ ก็ไม่ได้ตามไปชาติหน้า ชาติที่แล้วพูดภาษาอะไรใครรู้ แล้วถึงชาตินี้ก็ลืมหมดเพราะชาตินี้พูดภาษานี้ หรือแม้แต่ชาติที่แล้วคุณอาคิ่ล คุณอาช่าอาจจะเป็นคนไทยพูดภาษาไทยก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจภาษาไทยไหม (ไม่เข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจเพื่อละความไม่รู้และความติดข้องเพราะว่าละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์โดยไม่มีความเข้าใจแม้ในทุกขอริยสัจจะรอบที่ ๑ ของอริยสัจจ์ ๔
- ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจว่า มีความไม่รู้มากแค่ไหนที่จะต้องค่อยๆ ขัดเกลาให้ค่อยๆ หมดไปทีละน้อยจนหมดไปพร้อมกับอกุศลบางประการ เช่น อย่างแรกคือ ต้องดับมิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิก่อน มิฉะนั้นความไม่รู้ก็ยังอยู่ในทุกขณะในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิด แต่ความจริงดับหมดไปแล้วแต่เพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา โลกยังเที่ยงอยู่อย่างนั้นแต่ความจริงโลกแตกดับไปทุกขณะ
- เรื่องปัจจัยพอไหม หรือต้องการจะสนทนาต่อ เห็นไหม เพราะฉะนั้นเข้าใจหนทางคือเข้าใจธรรม ไม่ใช่ศึกษาคำแต่เข้าใจธรรม ไม่ว่าจะศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมมากมายหลายคำแค่ไหนแต่ก็รวมลงสู่คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าศึกษาอะไรก็ไม่ใช่คน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นธรรมเป็นอนัตตา จนกว่าจะดับหมดสิ้นไม่กลับมาอีกเลย เห็นไหมว่า ลึกซึ้งแค่ไหนและนี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นก็เป็นเพียงคำไม่มีความเข้าใจในความลึกซึ้ง
- เพราะฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้แต่ละขณะที่ได้ฟังคำสอนเป็นประโยชน์เมื่อเข้าใจความจริงว่า มีความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏมากมายขนาดไหน และผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงนทางที่จะเข้าใจความจริงตามลำดับ เราไม่สามารถสนทนาเรื่องปัจจัยถ้าไม่มีความเข้าใจจิตและเจตสิกในขณะที่มี ไม่ใช่เป็นเพียงจำคำที่ผ่านไป แล้วความจริงล่ะ มีลักษณะของสภาพธรรมตามที่พระองค์ทรงแสดง มั่นคง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่งแล้วดับไปเป็นทุกข์ อนิจจังไม่เที่ยงเป็นอนัตตาไม่น่ายินดีพอใจและไม่มีเราไม่ใช่อัตตา
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่แค่อยากจะเข้าใจปัจจัยชัดเจนซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะว่า สิ่งที่ชัดเจนคือ ควรเข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏขณะนี้ทีละน้อย เพราะว่าเมื่อเราพูดว่า “เห็นเกิดจากตาเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีตาเห็นก็เกิดไม่ได้” พอไหม แต่เห็นคืออะไรและอะไรเป็นปัจจัยให้จักขุวัตถุคือตาที่เป็นรูปเกิดขึ้น เห็นไหม ไม่ใช่แค่ชื่อของปัจจัยแต่เป็นควาเป็นไปของปัจจัยที่กำลังมีขณะนี้ ตาเป็นปัจจัย รู้ได้ไหม
- คำตอบคืออะไร รู้ได้ไหม เพราะฉะนั้นเรากำลังศึกษาสิ่งที่สามารถรู้ได้หรือไม่สามารถรู้ได้ ความลึกซึ้งของความจริงคือ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงซึ่งไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นแค่เพียงไม่กี่คำธรรมก็ยังไม่สามารถปรากฏตามความเป็นจริงได้ จริงไหม (จริง)
- เห็นไหม แม้กำลังมีเดี๋ยวนี้กำลังปรากฏแต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่รู้แค่ไหน และเพราะความติดข้องก็เป็นเราเห็นตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังไม่ปรากฏตามความเป็นจริง
- มีคำถามอะไรเกี่ยวธรรมไหม เราศึกษาเรื่องปัจจัยทีละน้อยโดยไม่ได้ใส่ชื่อ ยกตัวอย่างเช่น จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน ภาษาบาลี สห พร้อมกัน ชาตะ เกิด สหชาตปัจจัย เกิดพร้อมกัน เห็นไหม เราศึกษาปัจจัยโดยไม่ต้องเอ่ยชื่อของปัจจัย เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังก็เข้าใจทันทีว่าหมายถึงธรรมอะไรที่เกิดพร้อมกัน ไม่ว่าธรรมอะไรที่เกิดพร้อมกันก็โดยสหชาตปัจจัย
- (คุณอาช่าพูดภาษาฮินดี…มีคำว่า จิต เจตสิก รูป) เห็นไหมคิดถึงชื่ออีกแล้วและอยากรู้ชื่อ แต่เดี่ยวนี้ล่ะ จิตเจตสิกเกิดพร้อมกัน อะไรปรากฏ เห็นไหมสองอย่างเกิดพร้อมกันได้ไหม นี้เป็นปัจจจัยที่ลึกซึ้ง มั่นคงเป็นปัจจัยให้ขณะที่เป็นกุศลเกิดขึ้นอบรมความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังที่ต่างกันไม่ใช่เพียงคำ
- ถ้าเราศึกษาคำมากๆ แต่ไม่เข้าใจว่าลึกซึ้งแค่ไหน ศึกษาธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏก็ศึกษาเพื่อรู้ตรงลักษณะของธรรมที่กำลังมีซึ่งเป็นปัจจัยให้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป โดยคำก็คือสติ สติปัฏฐาน ฯลฯ ไม่ใช่เพียงคำแต่ว่าไม่มีความเข้าใจความจริง แต่ศึกษาความจริงและชื่อต่างๆ ของปัจจัยแล้วเข้าใจความเป็นปัจจัยทันทีว่า ไม่ใช่คำแต่เป็นธรรมซึ่งเกิดพร้อมกัน
- มีปัจจัยหนึ่งที่มั่นคงมากจนเป็นที่ตั้งให้เกิดความเข้าใจหรือเรียนชื่อปัจจัยหลายๆ ปัจจัยแต่ไม่เข้าใจลักษณะของปัจจัย เพราะฉะนั้นเข้าใจจุดประสงค์ของการฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อละความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏและละความติดข้องว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดอกไม้ ที่นอน น้ำผลไม้ โต๊ะ เก้าอี้ โลกของอัตตาไม่มีความเข้าใจอนัตตาของธรรม ๑ ทีละหนึ่งๆ ต่างๆ กัน นี้เป็นหนทางค่อยๆ ละว่าไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลย นี้คือจุดประสงค์ในชีวิตหรือเปล่าที่จะเข้าใจสิ่งที่มีว่าไม่เที่ยง ดับไปหมดแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลในขณะที่เป็นความดีเป็นบารมี
- เพราะฉะนั้นหนทางคืออะไร อยากไปหนทางนี้ไหม เพราะฉะนั้นคำตอบตอนนี้คือ อะไรปรากฏ เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง ผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมอาจพูดว่า ดอกไม้ ประตู เตียง ม่าน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ไม่ใช่ประตู ไม่ใช่ม่าน ไม่ใช่รองเท้าเป็นเพียงสิ่งที่ถูกเห็น เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่ใคร เป็นอนัตตา นี้เป็นจุดประสงค์ที่จะเข้าใจความจริงตรงขึ้น ไม่ใช่ฟังแล้วลืม ฟังจนกระทั่งไม่ลืม เป็นความมั่นคง เป็นอธิษฐานบารมีของสัจจะบารมี ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ไม่ใช่บารมี แต่ตามความไม่รู้ตามความติดข้องไปยิ่งทำให้ห่างออกไปจากความจริงที่มีขณะนี้ตามความเป็นจริง
- เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาเพียงคำเพียงชื่อลืมแน่นอนแม้ในชาตินี้ แล้วชาติหน้าจะจำได้หรือ (คุณอาคิ่ลกล่าวว่า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง) และเป็นหนทางเป็นมรรคที่ลึกซึ้ง มิฉะนั้นจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าง่ายๆ หรือ พระองค์ทรงเป็นใคร เป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเข้าใจ บารมีทุกบารมีจะเกิดได้อย่างไร ตราบใดที่มีแต่ความไม่รู้และอกุศลทุกประการที่ทั้งหนาและหนักไม่มีวันเข้าใจธรรมไม่ว่าจะศึกษามากมายกี่คำ
- เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักพระองค์โดยการเข้าใจคำสอนของพระองค์ ความจริงอันลึกซึ้งเป็นธรรมกายเป็นคำสอน รูปกายไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่พระคุณพระปัญญาอันยิ่งคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์ทรงเสด็จไปบิณฑบาตในตอนเช้าไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เป็นใคร แต่เมื่อมีผู้ได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ ไตร่ตรองพิจารณาจนเข้าใจคำจริง ผู้นั้นก็เริ่มเข้าใจธรรมรู้คุณของพระองค์
- เหมือนทุกวันนี้มีผู้ที่เคารพพระองค์ด้วยความจริงใจแต่เข้าใจธรรมบ้างไหม เพียงกล่าวคำให้ฟังหรือเกื้อกูลผู้อื่นให้เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมเพื่ออบรมเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้นและความเข้าใจนั้นเองจะค่อยๆ ละความไม่รู้ ความยึดถือและกิเลสอกุศลทุกประการ
- ใครสามารถจะละอกุศลโดยปราศจากปัญญาได้บ้าง อกุศลมีมากมายแค่ไหนในแสนโกฏ์กัปป์มาแล้วและในชาตินี้ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ไปถึงเย็นนี้ เคยคิดถึงสิ่งที่กำลังมีบ้างไหม ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้คุณขอพระองค์
- ความจริงคือเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริง หมายความว่า เป็นความเข้าใจธรรม ถูกไหม (ถูกต้อง) เมื่อรู้ว่า ธรรมลึกซึ้งจึงไตร่ตรองละเอียดรอบคอบในแต่ละคำไม่เผินแต่ความจริงลึกซึ้งแต่ก็จริงอย่างยิ่งขณะนี้
- ศึกษาเพื่อเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ รอบที่หนึ่งเพราะยังไม่สามารถรู้ตรงลักษณะของเห็นหรือลักษณะของสิ่งที่ถูกเห็นในขณะที่กำลังเห็น ความเข้าใจพระธรรมคำสอนเป็นประโยชน์ที่จะมีความเห็นถูกในความลึกซึ้งของธรรมเพื่อวิริยะและขันติที่จะพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อยด้วยความรอบคอบ
- เพราะว่า เรากล่าวถึงเห็นบ่อยๆ หลายๆ ครั้ง เป็นแสนๆ ครั้ง แต่ยังไม่เข้าใจเห็นว่าเป็นธรรม มีเพียงคำว่าเห็นเกิดและเห็นก็ดับเท่านี้ไม่พอทุกคนรู้ แต่ยังเป็นเราเมื่อไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่จะละความเห็นผิดทีละน้อย มิฉะนั้นก็ไปทางอื่น ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่เข้าใจว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เข้าใจความจริงของอนัตตาในแต่ละคำที่ทรงแสดง เพียงกล่าวเรื่องของอนัตตาเท่านั้น
- เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพิ่มทีละน้อยในสิ่งที่กำลังมีเพื่อที่เมื่อสิ่งนั้นปรากฏก็สามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้ไปตามลำดับ ยกตัวอย่างเช่น ไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่า จะมีปัจจัยให้เกิดความเข้าใจว่า เป็นกุศลหรือเป็นวิบาก ฯลฯ จากแต่ละขณะๆ ที่ผ่านไป ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนความจริงนี้ได้ และปัญญาไม่ใช่อวิชชา อวิชชาเป็นปัญญาไม่ได้ นี้เป็นความจริง
- เพราะฉะนั้นฟังคำของพระองค์แแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้นอกจากผู้นั้นเองที่ต้องตรงและจริงใจต่อควาามจริง มีสิ่งที่ปรากฏถ้าไม่พิจารณาไตร่ตรองจะเข้าใจตามความจริงได้อย่างไรถ้าไม่ได้ฟังความจริง ไม่มีปัจจัยที่จะเข้าใจ
- เพราะฉะนั้น เราสนทนาเรื่องความเข้าใจแต่ไม่ได้สนทนาชื่อของปัจจัย แต่เมื่อมีความเข้าใจก็เริ่มเข้าใจนิสสยปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ถ้าปราศจากการฟัง การไตร่ตรอง ความคุ้นเคย ถ้าปราศจากสติและปัญญาที่เพิ่มขึ้น ปราศจากสติปัฏฐาน ฯลฯ เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งนั้น แม้จะอบรมสะสมมาเป็นเวลานาน
- ชีวิตของพระอัครสาวกท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ฯลฯ ยาวนานแค่ไหนกว่าที่จะอบรม แล้วเราแค่ไปนั่งเฉยๆ แล้วจะประจักษ์แจ้งความจริง เป็นไปไม่ได้ หนทางผิด ความเห็นผิด ประมาทความไม่รู้ที่มีมากมายมหาศาล ไม่มีความเข้าใจเห็นที่กำลังมีขณะนี้หรือขณะไหนเลย แล้วจะละความเป็นเราได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้นจากนี้ไปศึกษาความจริงของสิ่งที่มีจริง ศึกษาความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นจนคุ้นเคยกับความจริงของปัจจัย เมื่อเพียงได้ยินก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าหมายถึงปัจจัยอะไร นิสสยปัจจัย อุปนิสสยปัจจัยคืออะไร ไม่ใช่เพียงฟังครั้งเดียวแต่ยิ่งคุ้นเคยเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจเพิ่มขึ้นเท่านั้นทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งละความคิดว่า “เมื่อไหร่จะถึงความจริงสักที“ ว่าเป็นความคิด แต่จริงๆ แล้วคือความไม่รู้และความติดข้องซึ่งเป็นอริยสัจจะที่ ๒ ที่ไม่รู้เลย ตรงต่อความจริงแต่ละขณะในชีวิต
- ปัญญาเข้าใจความจริง เพราะว่าจริงๆ ความคิดที่จะต้องไปหาทางไปที่ไหนเพื่อจะไปทำอะไรให้บรรลุ ความคิดว่า ทางนั้นเป็นหนทางเป็นสิ่งที่ไม่ลึกซึ้งเลย แต่การสนทนาถึงความลึกซึ้งของธรรมและเข้าใจว่า ต้องเป็นการอบรมที่ยาวนานที่จะเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ ในรอบต่างๆ ความเข้าใจนั้นคือหนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริงซึ่งเป็นมรรคในอริยสัจจะที่ ๔ ต้องเดี๋ยวนี้ใช่ไหม ถ้าเป็นขณะอื่นก็ไม่มีความเข้าใจในความลึกซึ้ง
- เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า หนทางนี้เป็นหนทางเดียวที่เริ่มพิจารณาว่ามีอะไรเดี๋ยวนี้ที่เป็นความจริงที่มีปัจจัยให้เกิดแล้วดับไปทีละเล็กทีละน้อยที่ไม่ใช่แค่เพียงชื่อของปัจจัย ฯลฯ โดยที่ไม่เข้าใจว่าปัจจัยคือเดี๋ยวนี้ ยิ่งมีความเข้าใจเท่าไหร่ยิ่งอยากรู้ชื่อของปัจจัยน้อยลงเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะฟังเพียงชื่อของปัจจัย ความเข้าใจความจริงต่างหากที่จะเป็นประโยชน์เมื่อได้ยินชื่อปัจจัย เช่น สหชาต จะเป็นปัจจัยอื่นไม่ได้และเราได้กล่าวตอนต้นแล้วว่า สิ่งที่เกิดพร้อมกันโดยไม่ต้องพูดว่า ” สหชาตปัจจัย” แต่ตามความเป็นจริงเป็นไปโดยสหชาตปัจจัย
- และอารัมมณปัจจัย เราเข้าใจว่า อารมณ์คืออะไร ถ้าไม่มีอารมณ์จิตจะเกิดไม่ได้เลยเพราะจิตรู้แจ้งอารมณ์ สิ่งที่ปรากฏถูกรู้โดยจิต เพราะฉะนั้นอารมณ์เป็นปัจจัย ๑ ที่ทำให้จิตเกิดขึ้น อวิชชาเกิดขึ้นโดยปัจจัยอะไร อวิชชาเกิดบ่อยมากจนมีกำลังมาก อุป มีกำลัง ปัจจัยที่เกิดบ่อยเป็นปัจจัยให้มีขณะนี้เกิดขึ้น ธรรมที่เกิดบ่อยจะเป็นปัจจัยให้เกิดธรรมนั้นบ่อยขึ้นๆ
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงชื่อเพียงคำแต่เมื่อได้ฟังคำภาษาบาลี ภาษาฮินดีหรือในภาษาไหนก็ตาม ชื่อของปัจจัยบัญญัติตามลักษณะหรือตามกิจหน้าที่ของปัจจัย เช่น อารัมมณปัจจัยและเหตุปัจจัย แต่ละวันมีใครรู้เหตุปัจจัยบ้าง เดี๋ยวนี้มีเหตุปัจจัยไหม เห็นไหม ไม่ใช่แค่คำ เราสามารถสนทนาถึงชื่อเหตุปัจจัยมี ๖ หรือมี ๙ แต่ว่าเป็นชาติอะไรแต่ไม่มีความเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจว่า เหตุคืออะไรในชีวิตประจำวัน อวิชชาคือ เหตุ เป็นปัจจัยให้ติดข้อง ยึดทุกอย่างว่าเที่ยงเป็นโลกของอัตตาไม่ใช่โลกของอนัตตาอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
- ความคิดของผู้ที่ไม่ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมจะคิดว่าทุกอย่างเที่ยง ของของเรา เพื่อนของเรา สมบัติของเรา แต่ความจริงโลกแตกดับ ถ้าไม่เข้าใจความจริงจะละความยึดถือในสิ่งที่ดับไปแล้วได้อย่างไร อวิชชาเป็นเหตุปัจจัยเป็นปัจจัยที่ทำให้ความติดข้อง ความโกรธ ฯลฯ ตามการสะสมที่เป็นนิสสยปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย
- เราอยู่ในโลกของปัจจัยโดยไม่รู้ แต่อยากรู้ชื่อแต่ความจริงมากกว่านั้น ค่อยๆ ศึกษาเพื่อเข้าใจขณะที่เป็นอวิชชา ขณะที่เป็นโลภะ หรือขณะที่เป็นโทสะในแต่ละวัน และนี้คือการศึกษาธรรม ไม่ใช่เรียนแต่ในตำรา ศึกษาธรรมเพราะธรรมกำลังมีเดี๋ยวนี้ ความเข้าใจธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งต่างกันว่าไม่ใช่เราเป็นการศึกษาธรรมจริงๆ มิฉะนั้นก็คิดถึงแต่ชื่อจิตเจตสิกแต่คืออะไรและอยู่ไหน ไม่มีการคิดถึงธรรมเลย
- จิตอยู่ที่ไหนและมีจิตเมื่อไหร่ ศึกษาเพื่อเข้าใจและค่อยๆ เข้าใกล้ความจริงเพิ่มขึ้นๆ ที่เป็นความเข้าใจในรอบที่สอง ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงในรอบแรกก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจในรอบที่ ๒ ต้องเป็นสติปัฏฐาน ถ้าไม่เข้าใจว่าสติคืออะไร เป็นเจตสิกอะไรจะเป็นปัจจัยได้อย่างไร แค่ไปสถานที่หนึ่งสถานที่ใดแล้วไปเพ่งจ้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั่นไม่ใช่สติและไม่ใช่สติปัฏฐาน
- เพราะฉะนั้นเข้าใจแต่ละคำ สติคืออะไร สติปัฏฐานคืออะไร และคำอื่นๆ ในพระไตรปิฎก สตินทรีย์ สติพละ สติสัมโพชฌงค์ หรือ สัมมาสติในมรรคมีองค์แแปด เพราะว่าแค่สติยังไม่พอต้องอบรมเพิ่มขึ้นๆ เป็นสติเหมือนกันแต่ต่างกันที่กำลัง สติเป็นปัจจัยไหม เป็นปัจจัยอะไรไม่ต้องพูดถึงชื่อเลยแต่เมื่อมีความเข้าใจและได้ยินคำว่าปัจจัยก็สามารถเข้าใจทุกปัจจัยเมื่อความเข้าใจปัจจัยเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
- นี้เป็นหนทางศึกษาธรรมหรือเปล่า หนทางเดียวคือ เข้าใจธรรมรอบที่ ๑ รอบที่ ๒ รอบที่ ๓ เหมือนกับการศึกษาทุกอย่างที่ต้องมีการเริ่มต้นและต่อๆ ไปจนสูงขึ้น แต่การศึกษาพระธรรมในระดับที่สูงขึ้นก็อีกยาวไกลจากนี้มากเพราะต้องเป็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ มิฉะนั้นก็เปล่าประโยชน์ที่จะศึกษาแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้
- ทุกขอริยสัจจะคือเดี๋ยวนี้แต่ยังไม่เป็นอริยสัจจะ ยังไม่จริงเพราะยังไม่ใช่ขณะที่ประจักษ์แจ้งนิมิตของสิ่งที่เกิดแล้วดับ แม้สิ่งที่ปรากฏก็ปรากฏโดยความเป็นนิมิต ลึกซึ้งไหม เดี๋วนี้มีจิตเกิดขึ้นหลากหลายแต่ละขณะตามเหตุตามปัจจัยแต่สิ่งที่มีคือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึกเท่านั้นเองที่ปรากฏ นี้เป็นคำสองของผู้ที่ทรงตรัสรู้เพื่ออนุเคราะห์ผู้ที่ได้สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของความเข้าใจควมจริงที่มีค่าอย่าง
- ลึกซึ้งไหมหนทางละ ไม่ใช่อยากจะรู้แต่ละความไม่รู้ละความยึดถือตลอดเวลาจนกระทั่งความเข้าใจถูกเริ่มรู้เริ่มเปิดเผยความจริงที่กำลังมีที่ไม่เคยรู้เลย และชีวิตสั้นมาก เข้าใจวันนี้ พรุ่งนี้เสียชีวิตก็ได้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ไปเลยดีกว่า เป็นการปลูกฝังความเข้าใจให้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนวันหนึ่งให้ผล ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจว่าแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้แต่ต้องตรงและจริงใจเป็นสัจจบารมี
- เห็นไม่เที่ยง เห็นไม่ใช่เรา แต่เห็นเกิดตามเหตุตามปัจจัยตลอดมาในแสนโกฏ์กัปป์ในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่มีคืออะไร มีวันนี้ มีพรุ่งนี้ ใครรู้ ทั้งหมดเป็นธรรมเป็นอนัตตา
- เพราะฉะนั้นเมื่อมีใครพูดถึงความติดข้อง เป็นสิ่งที่มีจริงปรากฏให้รู้ได้ หรือมีสภาพธรรมอื่นๆ ปรากฏให้รู้แต่ไม่ใช่อวิชชา เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีเจตสิกมากมายแต่ขึ้นอยู่กับว่า สิ่งที่ปรากฏที่สามารถรู้ได้ มีจริงๆ เพราะมีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือไม่เข้าใจขณะนี้
- เพราะฉะนั้นวันไหนเป็นวันที่มีค่าที่สุดในชีวิตจากบัดนี้ ขณะที่เข้าใจเป็นขณะที่ดีที่สุด ใช่ปัจจัยไหม ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่เข้าใจอีกๆ จนเป็นอุปนิสสย และในพระไตรปิฎกมีคำว่า ”อุปนิสยโคจร“ โคจรเป็นอีกคำหนึ่งของคำว่า ”อารัมมณะ“ แต่หมายถึงอารมณ์ที่เป็นที่ท่องเที่ยวไปของพระโพธิสัตว์
- (คุณอาคิ่ลขอให้อธิบายโคจรและอารมณ์อีกครั้ง) โคจรคืออารมณ์แต่เป็นอารมณ์ของพระบิดาและอารมณ์ของผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีที่เป็นอารมณ์ที่ไม่เคยรู้เลย ก่อนที่จะได้ฟังคำสอนของพระองค์ ที่เคยรู้เป็นคน สัตว์ สิ่งของนั่นไม่ใช่อุปนิสสยโคจรของพระองค์และสาวกของพระองค์ คำว่าอารมณ์ก็ต่างกันเพราะอารมณ์ของความเข้าใจถูกก็มี อารมณ์ของความติดข้องยินดีพอใจก็มี
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นอุปนิสยโคจรหรือยัง แต่วันหนึ่งจะเริ่มเป็นอุปนิสยโคจรเมื่อได้ยินได้ฟังความจริงของอารมณ์ ฟังแล้วฟังอีกเพิ่มขึ้น จนมีปัจจัยที่จะผูกพันไว้ไม่ไปไหน เป็นสติปัฏฐานซึ่งมีอุปนิสสยโคจรเป็นที่ตั้งให้สติปัฏฐานเกิดขึ้นกับผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามา แม้จะเป็นอารมณ์เดียวกัน เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาแต่ถ้าสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละน้อยอารมณ์นั้นก็เป็นอารมณ์ที่เป็นอุปนิสสยโคจรแก่ปัญญา เป็นอารมณ์ของพระโพธิสัตว์หรือผู้ที่มีความเข้าใจขณะที่มีค่ายิ่งของปัญญา
- เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจะมีอารมณ์บ่อยๆ จากที่ไม่รู้จนเป็นอุปนิสสยโคจรให้เข้าใจความจริงได้ เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจคำในพระไตรปิฎกได้ สิ่งเดียวกันแต่ทำไมเป็นโคจรไม่ใช่อารมณ์ เป็นโคจรสำหรับผู้ที่เข้าใจและอบรมเจริญปัญญาสิ่งนั้นจะเป็นที่อาศัยหรือเป็นนิสัยที่มีกำลังเป็นอุปนิสสัย
- ถ้าไม่มีการฟัง ไตร่ตรอง เข้าใจถูกในปัญญาซึ่งมีค่ายิ่งจะสามารถมีอารมณ์ที่เป็นอุปนิสสยโคจรได้อย่างไร และอุปนิสสยก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เห็นไหมและเรากำลังเคารพความจริง เคารพการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพพระธรรม และเคารพผู้ที่อบรมเจิญปัญญาจนตรัสรู้ความจริง
- สามารถที่จะเป็นไปได้แต่ไม่ใช่วันนี้เพราะความไม่รู้มีมาก แต่ด้วยความอดทน ด้วยสัจจะ ด้วยความเข้าใจถูกที่เห็นความต่างของกุศลและอกุศล ขณะที่เป็นอกุศลเป็นขณะที่จมลงลึกลงไป แต่ขณะที่เป็นกุศลจะต้องยาวนานแค่ไหนที่ดึงขึ้นจะเหวลึก ไกลจากนรกอเวจีหรือจากอกุศลต่างๆ
- ดูเหมือนว่า กุศลมีน้อยมากแต่มีมากขึ้นได้อย่างไร เป็นขณะที่กุศลคุณความดีเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาอุปนิสสยปัจจัย อะไรที่มีบ่อยๆ เกิดบ่อยๆ จนเป็นนิสัยเป็นนิสสยปัจจัย และถ้าเป็นที่อาศัยที่มีกำลังก็เป็นอุปนิสยโคจร เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะเข้าใจอุปนิสสยโคจรของตนเอง เพราะดิฉันได้ยินว่า ตอนที่อยู่กรุงเทพคุณได้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งถ้าปราศจากอุปนิสสยโคจรสิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้
- อนัตตา ปัจจัย ธรรมดับหมดแล้วไม่กลับมาอีกเลย มั่นคงขึ้นไหม สัจจะบารมีค่อยๆ สะสมมั่นคงขึ้นเพราะเป็นความจริง เกิดแล้วตาย ก่อนตายมีเพียงเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส ความไม่รู้ ความติดข้อง เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีโดยอาศัยคำที่มาจากการตรัสรู้ด้วยความเคารพสูงสุด
- เพราะฉะนั้นไม่มีใครเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพียงพอหากไม่มีความเข้าใจ ไม่สำคัญว่าจะนานแค่ไหนแต่การเห็นโทษของอกุศลเพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยให้กุศลเป็นบารมีไม่ว่าทางไหน เช่น ทานบารมีที่ไม่ใช่เพียงให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น การให้อภัยเป็นทานที่ให้ความไม่เป็นภัยกับผู้อื่น ขณะที่ไม่ให้อภัยจิตเศร้าหมองหนักด้วยอกุศลไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ขณะที่ยกโทษให้ต่างกัน ขณะนั้นหวังดี ช่วยเหลือ กระทำความดีเพื่อคนอื่น เป็นคนดี สิ่งที่สำคัญที่สุดทานที่มีค่าที่สุดคือ ธรรมทานแต่ต้องถูกต้อง ตรง ไม่ผิด มิฉะนั้นไม่ใช่ธรรมทาน แต่เป็นอันตรายเหมือนให้ยาพิษกับผู้อื่น ไม่มีความเป็นมิตรเป็นเพื่อนเลย กัลยาณมิตรสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงปราถนาให้ทุกคนหมดกิเลส
- เพราะฉะนั้นเข้าใจปัจจัยแต่ละขณะที่ไม่ใช่เพียงชื่อ เข้าใจปัจจัยคือ เข้าใจว่าไม่มีเราเพิ่มขึ้น ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งใด เป็นเพียงธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกันโดยสหชาตปัจจัยและอัญญมัญญปัจจัย แต่ละ ๑ อาศันซึ่งกันและกัน แต่ถ้าไม่อาศัยกันก็ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย
- และปัจจัยใดเป็นนามเท่านั้น ปัจจัยใดเป็นรูปเท่านั้น ลักษณะต่างกันปัจจัยก็ต่างกัน ศึกษาปัจจัยเพื่อละความไม่รู้และอกุศล ไม่ใช่ศึกษาผิดเพราะบางคนศึกษาเพื่อชื่อเสียง เพื่อลาภยศสรรเสริญแต่สิ่งนั้นไม่มีค่าเลยเมื่อเทียบกับความเข้าใจถูกว่าต้องเป็นเช่นนี้ด้วยความอดทน ทุกคนชอบอกุศลแต่มีโทษมาก ปัญญาก็เป็นอุปนิสสยปัจจัยด้วย ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ปัจจยุปบันของปัจจัยนี้ คือ ขณะที่เป็นกุศลก็มีเพิ่มขึ้นเท่านั้น
- จำคำว่า ปัจจยุปบันได้ไหม สิ่งที่เป็นผลของปัจจัย เพราะว่า เหตุคือปัจจัยที่ทำให้ผลเกิดขึ้นคือปัจจยุปบัน เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันคือ เป็นไปตามปัจจัยเป็นธรรมและปัจจัยก็เป็นธรรมด้วย ไม่ผิดเลยที่จะกล่าวว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เพียงคำแต่เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น งามขึ้น เป็นประโยชน์ขึ้น มีค่ายิ่งขึ้น ชีวิตก็ต่างไปจากเดิม เป็นปาฏิหาริย์ สิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์ที่สุดคือ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์จากความไม่รู้เป็นปัญญา จากอกุศลเป็นกุศลทีละเล็กทีละน้อย
- ชีวิตเป็นอกุศลน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเพราะชีวิตแสนสั้น สิ่งที่ได้มาไม่ใช่ของเราเลยเมื่อตายก็ไม่เหลืออะไรเลยหรือแม้แต่เดี๋ยวนี้ถ้าไม่คิดถึง แล้วข้าวของของเราอยู่ไหนถ้าไม่คิดถึง ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเราไม่มีใครรู้ได้ อาจจะหมดไปแล้วก็ได้ ถูกทำลายด้วยพายุ ถูกน้ำท่วมพัดไป ถูกไฟเผาไม่เหลือ ใครจะรู้
- เพราะฉะนั้นไม่มีเรามีแต่ปัจจัย มีเหตุปัจจัยที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะและอโลภะ อโทสะ อโมหะต่างกันมาก ขณะที่เป็นโลภะไม่เคยพอแต่เดี๋ยวนี้พอไหม มีเสื้อผ้ามากมาย มีข้าวของต่างๆ มากมาย ใช้หมดทุกชิ้นหรือเปล่าหรือเก็บอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นชีวิตแสนสั้นไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลยว่ามีชีวิตสุขสบายทุกอย่างแต่ความจริงชีวิตเกิดแล้วดับไปแต่ละขณะๆ เป็นขณิกมรณะ มรณะ ๓ คือ ขณิกะ คือเป็นขณะๆ ดับไปเดี๋ยวนี้ เห็นดับไปทุกขณะ ทุกสิ่งทุกอย่างดับไปแต่ละขณะไม่กลับมาอีกเลย สมมติมรณะ เมื่อมีคนตาย และสมุจเฉทมรณะ ไม่เกิดอีกเลย ธรรมทุกอย่างดับหมดไม่เหลือเป็นปรินิพพานเป็นมรณะสุดท้ายเป็นสมุจเฉทไม่กลับมาอีกเลย
- ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ไม่ใช่เรียนตามตำราเป็นคำๆ แต่เข้าใจ เป็นชีวิตประจำวัน และใครจะช่วยอะไรใครได้นอกจากกล่าวคำจริงเป็นธรรมทาน เพราะฉะนั้นชีวิตที่เหลืออยู่เป็นไปเพื่อกุศลและความเข้าใจถูกเท่านั้นที่เป็นหัวหน้าของบารมีทุกประการ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมีเป็นไปเพื่อการสละ ไม่ว่าอะไรที่มีเป็นไปตามเหตุปัจจัย ได้ลาภตามปัจจัย เสื่อมลาภตามปัจจัยแต่สำคัญว่า จิตขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
- ความเสียดายเป็นอกุศล ห้ามได้ไหม ไม่มีใครทำอะไรได้เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อมีความยึดถืออย่างมากจากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่งหลายแสนชาติ บางคนให้แล้วเสียดายเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดเร็วมากตามปัจจัยแต่สามารถรู้ได้ทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ อบรมเจริญภาวนาที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงตามเหตุตามปัจจัยเป็นอนัตตา ขณะนี้เป็นขณะที่ประเสริญที่สุดในชีวิตหรือเปล่า ไม่มืดบอดด้วยความไม่เข้าใจธรรมหรือมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้และติดข้องยินดีพอใจแล้วก็จากไปซึ่งความจริงจากไปทุกๆ ขณะอยู่แล้วอย่างรวดเร็วไม่รู้เลย ด้วยเหตุนี้ปาฏิหาริย์สูงสุดจึงเป็นพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงความจริงของชีวิตในสังสารวัฏฏ์
- ไม่มีอะไรมีค่าเท่ากับขณะที่เป็นกุศลไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะไหนหรือเป็นบารมีอะไร ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี วิริยะบารมี ปัญญาบารมี ขันติบารมี บารมีทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ความเข้าใจถูกเป็นพื้นฐานให้กุศลเกิดขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ตามเหตุตามปัจจัยตามกำลังของความเข้าใจ ความเข้าใจถูกไม่ทำร้ายใครเลยตรงกันข้ามเป็นความเบิกบาน ไม่เห็นผิดอีกต่อไป ไม่เห็นทุกอย่างว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นจากที่เคยอยู่ในโลกของอัตตาค่อยๆ เริ่มละคลายความไม่รู้และความยึดถือว่าเที่ยง ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ว่าเป็นเรามาสู่โลกแห่งความจริง อนัตตา ที่เป็นไปเช่นนี้ก็ด้วยพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งขณะที่ตรัสรู้ถึงขณะนั้นได้ด้วยบารมีที่ได้สะสมมาในแต่ละชาติ ทุกคนเหมือนกัน ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ฯลฯ เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เป็นบารมีได้เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมที่แสดงความจริงว่า วันหนึ่งเมื่อปัจจัยถึงพร้อมถึงเวลาที่กำลังของปัญญาในระดับที่สูงขึ้นก็เกิดขึ้นได้ แสดงถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของความเข้าใจที่มีหลายระดับสะสมทีละเล็กทีละน้อย ยากมากไม่ง่ายเลยแต่ปัญญาไม่ย่อท้อที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้และอกุศลทุกประการ
- เพราะฉะนั้นวันนี้เราสนทนากันเรื่องบารมีโดยความเป็นปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย อุปนิสยโคจรเพิ่มอีกคำหนึ่งทีละคำ เป็นอารมณ์แต่ทำไมใช้ ๒ คำต่างกันเพื่อปัญญาเจริญขึ้น อาจจะมีผู้กล่าวว่า “เห็นเป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรม” แต่การกล่าวอย่างนั้นเป็นโคจรให้เกิดความเข้าใจถูกหรือเปล่า เป็นการอบรมจนถึงระดับที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งเห็นในขณะนี้ที่ไม่เคยรู้ได้หรือเปล่า ไม่ความไม่รู้เป็นบารมีไม่ได้
- เพราะฉะนั้นชีวิตที่เหลือจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะฉะนั้นกุศลกรรมอันตรายอย่างยิ่งแม้จะยังไม่ให้ผลในชาตินี้แต่ก็คอยที่จะเป็นปัจจัยให้ผลในนรกก็ได้ เป็นปัจจัยให้ได้รับความยากลำบาก เกิดความเจ็บป่วย ฯลฯ ทั้งหมดเป็นไปตามปัจจัย มีเพียงคำสอนที่สอนให้เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถที่จะช่วยให้ละคลายความติดข้องและความไม่รู้ทีละน้อยตมกำลังของความเข้าใจ
- เรากำลังศึกษาปัจจัยโดยไม่ใช้ชื่อของปัจจัยหรือเปล่า แต่เมื่อกำลังมีสิ่งนั้นก็สามารถพูดถึงชื่อของปัจจัยนั้นได้ เพราะฉะนั้นอุปนิสสยปัจจัยเป็นปัจจัยทั่วไปของสภาพธรรมหลายอย่างทั้งที่เป็นกุศล เป็นอกุศลหรือเป็นวิบาก อนันตรปัจจัย เมื่อเข้าใจว่าจิตดวงก่อนที่ดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อเพราะฉะนั้นจิตนั้นเองทันทีที่ดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นโดยไม่มีระหว่างขั้นโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยที่ไม่เคยขาดเลย
- และสมนันตรปัจจัย หลังเห็นดับไปจิตใดจะเกิดต่อไม่ได้นอกจากสัมปฏิจฉันนะจิตพร้อมวิตกเจตสิกที่จับอารมณ์โดยฌานปัจจัยจรดอารมณ์เพื่อให้จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยรู้อารมณ์นั้นตราบเท่าที่อารมณ์นั้นคือ รูปยังไม่ดับจึงต้องมีเจตสิกอีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจเพราะไม่ใช่ขณะเห็น ด้วยเหตุนี้จึงมีขณะที่พิจารณาความต่างของจิตแต่ละขณะ ภวังค์ที่ไม่ได้รู้อารมณ์ทาง ๖ ทวาร
- และวิถีจิตแรก ปัญจทวาราวัชชนะเมื่อเกิดขึ้นทางตาเรียกว่า จักขุทวาราวัชชนะซึ่งรู้อารมณ์ทางทวารเดียวเท่านั้นคือ ทางจักขุทวาร แต่ไม่เห็น โดยอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ถ้าอยากจะนับชื่อปัจจัยก็นับได้แต่ไม่จำเป็นเพราะว่าความเข้าใจสำคัญที่สุด เข้าใจขณะนั้นทันที เมื่อความรู้สึกเจ็บทางกายเกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัย กรรมในอดีตไม่ว่าชาติไหนเป็นปัจจัยถึงพร้อมให้เจ็บเกิดขึ้นขณะนั้น
- แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองพระองค์ทรงแสดงว่า กรรมใดในอดีตที่เป็นปัจจัยให้ผลให้ทรงต้องได้รับทุกข์ทางพระวรกาย หรือเมื่อพระองค์ทรงถูกพวกเดียรถีย์กล่าวร้าย ฯลฯ ก็ทรงแสดงว่า เพราะปัจจัยอะไร จากชาติไหน เพราะฉะนั้นกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดปัจจยุปบันคือผลของปัจจัยเป็นกัมมปัจจัย ศึกษาปัจจัยขณะเห็นเป็นวิปากปัจจัยซึ่งเป็นผลของกัมมปัจจัย เพราะนั้น จึงมีขณะที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางขณะเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ
- ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เพราะเป็นไปตามปัจจัยซึ่งไม่ใช่ใคร ปัจจัยต่างๆ กัมมปัจจัย ความเข้าใจว่า จิตเห็นไม่ใช่กัมมปัจจัยแต่เป็นวิปากปัจจัย เห็นเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นทำไมวิบากจึงเป็นปัจจัย เพราะว่าวิบากจิตซึ่งเกิดพร้อมวิบากเจตสิกมีกรรม ๑ เป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ไม่มีใครจัดการเพราะเกิดแล้ว
- เพื่อเข้าใจความจริง คนไม่เข้าใจว่าจุดที่สำคัญที่สุด ต้องเข้าใจสิ่งที่มีกำลังปรากฏเท่านั้น มิฉะนั้นจะมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเพิ่มขึ้นในสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร เพราะอดีตดับหมดไปแล้ว รู้สามารถไม่ได้ อนาคตก็ยังไม่มาถึง แต่ยังห่างไกลมากกับการเข้าใจแม้ความจริงอยู่ใกล้มากเดี๋ยวนี้แต่ละขณะห่างไกลจากความจริง เพราะคิดถึงสิ่งอื่น
- คิดถึงตาเหมือนว่าตาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่าแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีค่าอย่างยิ่งเพราะเป็นปัจจัยให้เข้าใจธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง เคยได้ยินธรรมที่ลึกซึ้งไหม เป็นปัจจัยให้อดทน ขันติ วิริยะว่าสามารถรู้ได้แม้ยังไม่ใช่เดี๋ยวนี้ หนทางเดียวคือความเข้าใจถูก สัมมาทิฏฐิเป็นหนทางเดียวเท่านั้น
- หนทางที่จะศึกษาปัจจัย คือ ศึกษาความจริงขณะนี้ ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่เมื่อเกิดขึ้นโดยปัจจัยอะไร สามารถศึกษาได้ไม่ใช่เรียงเป็นข้อๆ แต่เมื่อกำลังมีขณะนั้นเดี๋ยวนั้น สหชาตปัจจัย จิตและเจตสิก อัญญมัญญปัจจัย อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่สงสัยในปัจจัยที่ได้สนทนากันไปแล้ว เหตุปัจจัย อารัมมณปัจจัย อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย รูปเกิดขึ้นก่อนเห็น
- (ใช่ แต่ละคำต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียด คุณอาคิ่ลกล่าว) เป็นความเข้าใจถูก ไม่ใช่คุณอาคิ่ลแต่เป็นความเข้าใจซึ่งให้ใครไม่ได้ ต้องเป็นการไตร่ตรองใคร่ครวญของผู้นั้นเองแต่เรามารถช่วยเขาได้ ช่วยให้เขาเข้าใจว่าควรศึกษาอะไร อยู่ที่ไหน ไม่ใช่ห่างไกลออกไปอย่างที่แล้วมา สามารถค่อยๆ เข้าใกล้ธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ได้แต่ต้องเป็นเวลาที่ยาวนาน จึงมีคำว่า โอปนยิโก สันทิฏฐิโก เป็นพระคุณของพระธรรม สวาขาโต ภควตา ธัมโม กำลังมีเดี๋ยวนี้และสามารถรู้ได้ ถูกไหม
- เห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ สันทิฏฐิโก อกาลิโกไม่ขึ้นกับกาลเวลาแต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เอหิปัสสิโก รู้ได้ด้วยตน ไม่สามารถให้ใครหรือแลกเปลี่ยนกับใครได้ มิฉะนั้นก็เพียงกล่าวคำหรือสวดโดยไม่เข้าใจว่าคือเดี๋ยวนี้ขณะนี้ เพราะฉะนั้นใครสามารถเข้าใจธรรมได้ด้วยการเข้าใจเพียงคำแต่ทุกคำมุ่งหมายถึงความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ สันทิฏฐิโก ปรากฏให้รู้ได้เดี๋ยวนี้
- นี้เป็นกัมมปัจจัยไหม กุศลจิต เห็นไหม เราใช้คำว่ากุศลจิตแต่เป็นกัมมปัจจัยไหม ขณะที่มีความเข้าใจเกิดขึ้นเป็นมโนกรรมเพราะตามความเป็นจริงเจตนาเจตสิกเป็นกัมมปัจจัย แต่เจตนามี ๒ อย่าง เจตนาที่เกิดพร้อมกับจิตและเจตสิกทุกขณะเป็นสหชาตกัมมปัจจัย แต่เมื่อเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้นต่างขณะเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยต่างขณะไม่ได้เกิดพร้อมกันแต่เป็นปัจจัยเมื่อให้ผลในภายหลัง นานักขณิกะ ต่างขณะกัน เพราะฉะนั้นกัมมปัจจัยซึ่งหมายถึงเจตนาเจตสิกมี ๒ ปัจจัยคือ สหชาตกัมมปัจจัยเกิดพร้อมจิต
- เพราะฉะนั้นเจตนาเป็นกัมมปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุปบัน ปัจจยุปบันเกิดเพราะปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุปบันของสหชาตกัมมปัจจัย เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าเจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกขณะ เกิดขึ้นทำกิจกระตุ้นเตือนสภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วยให้ทำกิจของตนๆ เป็นสหชาตกัมมปัจจัยเมื่อเกิดพร้อมกับจิตแต่ละขณะ แต่กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดผลต่างขณะเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย เจตนา ๒ อย่าง ส่วนปัจจยุปบันของสหชาตปัจจัยคือ จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับเจตนา ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนปัจจัยและปัจจยุปบันไปพร้อมกันไม่ว่าจะให้ผลในขณะเดียวกันหรือให้ผลต่างขณะ
- เพราะฉะนั้นเราศึกษาเดี๋ยวนี้เพราะกำลังมีธรรมให้ศึกษา เพราะฉะนั้นเราจะกล่าวถึงกัมมปัจจัยอีกครั้ง เจตนาเจตสิก โลภะเป็นกัมมปัจจัยได้ไหม ค่อยๆ พิจารณาไม่รีบด่วนคิดถึงคำ แต่พิจารณาความจริง โลภะเป็นกัมมปัจจัยได้ไหม (เป็นได้) ไม่มีทาง เพราะโลภะเป็นเหตุปัจจัย จึงต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เราศึกษาเพื่อเข้าใจโลภะเพิ่มขึ้นว่าเป็นเหตุ ไม่ใช่เจตนา มีโลภะมากขึ้นๆ ได้เพราะโลภะเป็นเหตุให้ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าทางไหน แต่ไม่มีเจตนาที่จะกระทำแต่เป็นปัจจัยให้ติดข้องเพิ่มขึ้นมากขึ้นปรุงแต่งกัมมปัจจัย
- (คุณอาคิ่ลกล่าวถึง กัมมปัจจัย ปัจจัยธรรมเป็นกรรมส่วนปัจจยุปบันธรรมเป็นผล) เจตนาเกิดกับจิตทุกขณะหรือเปล่า (เกิด) เพราะฉะนั้นเจตนาแต่ละขณะเป็นปัจจัยไหม (เป็น) กัมมปัจจัยเกิดกับจิตแต่ละขณะเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นโดยกัมมปัจจัยที่เป็นหัวหน้ากระตุ้นเตือนให้สภาพธรรมกระทำกิจของตน เพราะฉะนั้นเกิดมามีชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงและทรงจำแนกขยายธรรมว่าอะไรเป็นปัจจัยกับอะไร เหตุคือโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะแต่ไม่ใช่กรรมเพราะกรรมเป็นความจงใจตั้งใจโดยมีเหตุเป็นปัจจัย
- เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจปัจจัยและปัจจยุปบันเกิดพร้อมกันเป็นปัจจัยให้ขณะนั้นหรือเป็นปัจจัยในภายหลัง เช่น กัมมปัจจัยมี ๒ อย่างเมื่อเกิดพร้อมจิตแต่ละขณะเป็นสหชาตกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยกับธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับตน จิตเกิดพร้อมเจตนาเจตสิก เจตนาเป็นสหชาตกัมมปัจจัยโดยการเกิดพร้อม ไม่ได้เป็นปัจจัยให้เกิดผลในภายหลังแต่เป็นปัจจัยในขณะปัจจุบัน ปัจจยุปบันกับปัจจัยเกิดพร้อมกัน แต่ถ้าโดยนานักขณิกกัมมปัจจัย กุศลกรรม อกุลกรรมขณะที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัจจัยให้ผลเกิดขณะนั้นแต่เป็นปัจจัยเมื่อให้ผลในภายหลัง เพราะฉะนั้นจึงเป็นสหชาตกัมมปัจจัยเท่านั้นในขณะนั้น แต่เมื่อผลเกิดขึ้นจากเจตนาที่เป็นไปในการกระทำที่ไม่ดี การพูดไม่ดี เป็นกรรมที่ไม่ดี ไม่ใช่ใครเลยเป็นเพียงธรรม ปัจจัยเป็นธรรม อะไรก็ตามที่มีจริงๆ เป็นธรรม
- (คุณอาคิ่ลขอโอกาสท่านอาจารย์กล่าวถึง สหชาตปัจจัย สหชาตกัมมปัจจัยกับกัมมปัจจัยว่าต่างกัน ถามว่าสามารถเป็นหลายปัจจัยได้ไหม) มีปัจจัยมากมายใน ๑ ขณะจิต อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย หรือกรรมปัจจัย เจตนาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิตทุกดวง เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ ๑ ปัจจัย ค่อยๆ สนทนาทีละน้อยๆ แต่ละขณะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีปัจจัยให้เกิด และปัจจัยคือสภาพธรรมต่างๆ นั่นเองที่ปรุงแต่งกันตามลักษณะของตนตามปัจจัยแล้วแต่ว่าเป็นปัจจัยอะไรเพื่อละความยึดถือสิ่งที่มีว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ความจริงดับหมดแล้วอย่างรวดเร็ว จนกว่าจะประจักษ์แจ้งไปตามลำดับของวิปัสสนาญาณ
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจอริยสัจจะรอบแรกจึงไม่ใช่ความเข้าใจในรอบที่ ๒ ไม่ใช่รอบที่ ๓ เลย แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจในรอบแรกจะรู้ได้อย่างไรขณะนี้เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับทันที เป็นสัจจะบารมีมั่นคงว่ายังไม่รู้แต่สะสมอบรมความเข้าใจทีละน้อยไปตามลำดับ และนี้คือคำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เพราะถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งความจริจะกล่าวถึงความจริงให้เข้าใจได้อย่างไร ต่อเมื่อปัญญาเกิดขึ้นรู้ความจริง ไม่สงสัยในธรรมทุกประการเป็นผู้ตรัสรู้สูงสุดเหนือกว่าบุคคลใดในโลก เหนือโลก เหนือกว่ามนุษย์ เทวดาและบุคคลใดในสากลจักรวาล
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อที่จะเคารพพระองค์เพิ่มขึ้น พระผู้ทรงเกื้อกูลสัตวโลกให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง และทุกข์สูงสุดคือการเกิดขึ้นและดับไปขอภาพธรรมแต่ละขณะซึ่งเป็นโลกที่แตกดับหมดไปทุกขณะแต่ไม่รู้เลย ยึดถือสิ่งที่มีว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นที่นอนของเรา บ้านของเรา ห้องนอนของเรา ฯลฯ มีอยู่แต่ความจริงไม่มีอะไรเลยเพราะมีเมื่อปรากฏเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นขณะที่สภาพธรรมกำลังมีกำลังปรากฏจึงจะสามารถรู้ได้ด้วยปัญญา
- เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์จะเป็นปัจจัยให้ปัญญาค่อยๆ เข้าใกล้ความจริงและเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ถ้าไม่มีร่างกายและใจก็ไม่มีโลก เพระฉะนั้นความจริงแต่ละไม่ใช่สิ่งใดและไม่ใช่ใครและความหมายของธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา (คุณอาคิ่ลกล่าวว่า เมื่อเรากล่าวถึงปัจจัย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณเมื่อเราใช้คำว่าปัจจัย เราจะเข้าใจในนัยนี้ได้ไหม)
- เพราะว่าเรากล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่แค่การเชื่อมโยงกันแต่ละข้อแต่กล่าวถึงปัจจัยด้วย เช่น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารโดยปัจจัยอะไร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณโดยปัจจัยอะไร ต้องมีปัจจัยของสิ่งที่กำลังมีในชีวิตทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ปฏิจจสมุปบาทกล่าวถึงความเป็นปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ถูกไหม และเป็นปัจจัยไหนด้วย แต่เรายังไม่ได้พูดถึงปัจจัยแต่บางคนก็ไม่สนใจปัจจัยเพียงท่องตามว่า “อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ฯลฯ ” แต่ด้วยปัจจัยอะไร
- เพราะฉะนั้นธรรมจึงลึกซึ้งกว่าที่ใครๆ จะคิดเองได้ ไม่ใช่แค่คำ หรือแค่ไม่กี่คำ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจโอปนยิโกว่า สิ่งที่กำลังมีทั้งหมดเป็นธรรมที่อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจความหมายของธรรมกว้างขึ้น ทุกสิ่งที่กำลังมีเป็นธรรมเป็นอนัตตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษาและถ้าไม่ศึกษาธรรมอย่างนี้ก็ไม่ใช่ศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อรับปริญญา รับใบรับรอง ฯลฯ แต่เพื่อเข้าใจความจริงและความจริงก็มีอยู่ทุกขณะซึ่งไม่รู้มานานแสนนานจนกว่าจะเข้าใจความจริงทีละน้อยจนกว่าจะรู้ได้ด้วยการไตร่ตรองพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อเข้าใจคำเดียวคือคำว่า ธรรม แต่ไม่ใช่หมอนหรือเก้าอี้ แต่เป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงทางทวารต่างๆ แต่ยังปะปนกันมากจนกว่าจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่า สิ่งที่มีเล็กน้อยสั้นมากเกิดแแล้วดับทันที
- ปัญญามีค่ามากยิ่งกว่าสิ่งอื่นๆ ในชีวิตไหม เพราะฉะนั้นความเข้าใจในพระธรรมคำสอนเป็นหนทางที่จะเข้าใจความจริงและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับผู้ที่ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ไม่เท่าพระองค์ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจก็สามารถที่จะสนทนากันได้ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรที่สามารถรู้ได้ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่เพียงพูดถึงปัจจัยๆ แล้วจบ แต่เข้าใจแม้แต่ปัจจัย เดี๋ยวนี้กำลังเห็นสิ่งที่ถูกเห็นเป็นวิบากเป็นผลของกรรมแต่ละขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และไม่ใช่เฉพาะแต่ในชาตินี้แต่สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดต่างขณะ เช่น ความปวดของพระพุทธเจ้าเกิดจากปัจจัยในสังสารวัฏฏ์ในแสนโกฏิกัปป์ ตราบใดที่ยังมีเหตุก็เป็นปัจจัยให้เกิดผลได้แต่ใครจะรู้ว่าขณะไหน แต่ตราบที่ยังมีผลเกิดขึ้นแสดงว่าต้องยังมีเหตุ
- เข้าใจกรรมโดยละเอียดเพิ่มขึ้น ขณะที่ต่างกันก็เป็นกรรมที่ต่างกันโดยอุปนิสสยปัจจัยหรือโดยกัมมปัจจัย หลากหลายเพราะโลภะที่เกิดร่วมด้วยกำลังต่างกัน ฟังเท่าไหรก็ไม่พอจนกว่าจะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเข้าใจว่าความไม่รู้มีมากมายแค่ไหน ปกปิดสิ่งที่เกิดดับอย่างรวดเร็วสุดประมาณแต่รู้ได้เข้าใจได้เมื่อมีสติเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงของสิ่งนั้น
- ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังสนทนากันแต่ก็มีเห็นที่เกิดแล้วดับสืบต่ออย่างรวดเร็วทีละขณะเหมือนไม่ดับเลยจนปรากฏเป็นสิ่งต่างๆ มากมายเต็มไปหมดทันที ทันทีที่หลับตาหายไปหมดไม่เหลือ จากที่มีเต็มไปหมดก็หมดไปอย่างรวดเร็วด้วยปัจจัย ไม่เห็น ไม่มีการเกิดดับต่อเนื่องของจิตที่ไม่ใช่แค่เห็นแต่สิ่งที่รู้ได้คือนิมิตของเห็นไม่ใช่เห็นเพียงขณะเดียว เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของความจริง
- ขณะที่มีค่าที่สุดคือขณะที่เข้าใจไม่ใช่เข้าใจคำแต่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแค่ถ้าไม่อาศัยคำก็ไม่สามารถรู้ได้ เพราะฉะนั้น ศึกษาแต่ละคำ แต่ละความหมาย แต่ละธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบจึงสามารถเป็นปัจจัยให้มีวิริยะเพิ่มขึ้น อดทนเพิ่มขึ้นและเป็นปัจจัยให้กุศลอื่นเพิ่มขึ้นเพราะว่า ขณะที่เป็นกุศลเป็นขณะจากปลอดจากความไม่รู้และอกุศลทุกประการ
- เพราะฉะนั้นมีความเมตตากรุณาต่อผู้ที่ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด มีเพียงที่แสดงความจริงจากผู้ได้ทรงตรัสรู้เท่านั้นที่จะช่วยทุกคนที่ได้ฟังคำของพระองค์ และไตร่ตรองพิจารณาความจริงด้วยความรอบคอบเป็นการอบรมที่เกิดจากอุปนิสสยปัจจัยที่สะสมมาที่จะรอบคอบหรือไม่รอบคอบ เข้าใจความลึกซึ้งงของธรรมโดยนัยของปัจจัย
- เพราะฉะนั้นเมื่อเราเรียนอุปนิสสยปัจจัย เราเข้าใจได้เมื่อปัจจัยนี้ปรากฏ เช่น ติดอาหารบางอย่าง ติดสีบางสี แต่ละขณะเป็นปัจจัยให้แตกต่่างกัน เพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นปัจจัยให้ชาติต่อไป กรรมต่างกันเป็นปัจจัยให้ผลต่างกัน ใครรู้ แต่เมื่อยังเหตุเมื่อถึงเวลาก็เป็นปัจจัย เป็นปัจจัยให้เห็นเดี่ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ตามปัจจัย
- เพราะฉะนั้นแต่ละขณะที่ยินดีที่ได้รู้ว่าปัญญาเห็นค่าของการการเข้าใจความจริงเป็นขณะที่มีค่ายิ่งเพราะว่ามีอยู่และค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นแต่ละขณะแทนที่จะเป็นอกุศลก็เป็นกุศลเพิ่มขึ้นๆ
- วันนี้พอไหม เพื่อนๆ ชาวเนปาลมีคำถามไหม (คุณดิพญาบอกว่ากำลังฟังตาม) (คุณมานิชกล่าวว่า การสนทนาวันนี้เป็นเรื่องที่ยากมากแต่เมื่อมีความเข้าใจก็ง่ายมาก) ง่ายหรือ ผลึกซึ้งอย่างยิ่ง) ไม่ง่ายเลย (คำศัพท์ก็ยากด้วย) บางแห่งเขากล่าวว่า ทำให้ง่ายๆ ได้แต่ความจริงไม่มีใครสามารถทำให้ง่ายได้ แต่ความเข้าใจถูกที่ลึกลงไปสามารถกระทำให้ตื้นได้ที่จะประจักษ์แจ้งเพราะปัญญาลึกลงไปๆ ในธรรมแต่ละ ๑ แต่ถ้าเผินความจริงก็ไม่ปรากฏ
- เป็นวิริยะบารมีไหมขณะนี้ ขันติบารมี เมตตาบารมี สัจจะบารมี วิริยะบารมีและเนกขัมมะบารมีเพื่อสละอกุศล มิฉะนั้นจะสะสมอกุศลเพิ่มขึ้นๆ ยากขึ้นที่จะละ ยินดีด้วยในกุศลที่เข้าใจ ที่อดทนและเป็นบารมีของทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
กราบยินดีในกุศลผู้ร่วมรับฟังการสนทนาทุกท่าน
กราบอนุโมทนาทีมถ่ายทอดทุกท่าน
กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในความอนุเคราะห์ทุกประการครับ
ความเข้าใจถูกไม่ทำร้ายใครเลยตรงกันข้ามเป็นความเบิกบาน ไม่เห็นผิดอีกต่อไป ไม่เห็นทุกอย่างว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ